x close

เหตุผลของเด็กก้าวร้าว

baby



เหตุผลของเด็กก้าวร้าว (modernmom)
โดย: หมอนุ


           หลายวันก่อน อาจารย์สมัยมัธยมต้นได้นัดศิษย์เก่าหลาย ๆ รุ่นให้มาพบปะสังสรรค์ เพื่อทำความรู้จักกัน หลังจากจบการศึกษาไปคนละกว่ายี่สิบปี ซึ่งแต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันเติบโต และทำมาหากินกันคนละทิศละทาง จะมีบ้างก็บางคนที่จับกลุ่มกันเหนียวแน่น ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ พอพบกันก็คุยกันเรื่องเก่าๆ คืนนั้นก่อนแยกย้ายกัน ก็มีการนัดหมายว่าจะต้องมาเจอกันอีกครั้ง



           หลังกลับจากงานวันนั้น ผมนั่งทบทวนถึงชีวิตสมัยขาสั้นเทียบกับสมัยนี้แล้ว แม้จะดุๆ เหมือนกัน แต่ก็แตกต่างกันมากเลยครับ วัยรุ่นสมัยผมตีกันชาวบ้านไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างน้อยเราก็ตีกันในวงของเรา นักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ส่วนที่ไม่ได้ตีกับเขาก็จะมีความรู้ ในระดับรู้หลบเป็นปีกกันทุกคน คนที่ดูเป็นเด็กเรียนส่วนมากก็ได้รับการยกเว้นไม่มีใครไปทำอะไร


           สมัยนี้ตีกันไม่รู้เรื่องรู้ราว ชาวบ้านชาวช่องเขาเดือดร้อนกันไปทั่ว เด็กเรียนที่ไม่รู้เรื่องราวก็พลอยเป็นเหยื่อไปด้วย บางทีทำตัวเหมือนโจรมากกว่านักเลง มีคนเคยถามผมว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้เป็นอะไรกัน ก้าวร้าวเหลือเกิน แล้วจะมีทางป้องกันหรือไม่ ถ้าจะตอบตรงๆ ก็ตอบได้เลยครับว่าไม่รู้ แต่ถ้าให้สันนิษฐานผมว่าเป็นมาจากการเลี้ยงดู ที่กระบวนการบางอย่างซึ่งเคยมีในอดีตนั้นขาดหายไป ทำให้เด็ก ๆ ไม่สามารถควบคุมบังคับความกร้าวและอะไรอีกหลายอย่างในตัวเองได้


           กระบวนการที่หายไป ก็คือการฝึกการควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์และการแสดงออก


           สมัยก่อนเราจะหัดให้เด็กควบคุมเจ้าสองตัวนี้มาก แตกต่างจากในสมัยนี้ครับที่ยอมรับการแสดงออกมากขึ้นจนอาจจะมากไป


           สมัยก่อนวันที่ไม่มีอารมณ์จะเรียนก็ต้องอยู่ในห้องเรียนจะออกนอกห้องไม่ได้ หรือหากออกได้ก็ต้องออกไปนอกโรงเรียนเลย ถ้าโชคไม่ดีเจออาจารย์ใหญ่ขับรถวนๆ แถวนั้น ก็เป็นอันเรียบร้อย อาจารย์ใหญ่โรงเรียนผมท่านชอบหนีโรงเรียน ไปขับรถตระเวนจับเด็กหนีโรงเรียน พอจับได้ อาจารย์จะใช้อาวุธประจำตัวอยู่ที่ท้ายรถสำเร็จโทษคล้ายในหนังฝรั่งที่พระเอกต้องมีปืนกระบอกโตๆ ไว้ท้ายรถ แต่ของอาจารย์ผมเป็นหวาย ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือยาวกว่าหนึ่งช่วงแขน จับได้ที่ไหนโดนหวายตรงนั้น


           หวายประจำโรงเรียนไม่รู้ใช้กันมาอีกนานแค่ไหน แต่ในสมัยผมนั้นเป็นที่ครั่นคร้ามของนักเรียนทั้งโรงเรียน โทษทัณฑ์สูงสุดประจำโรงเรียนก่อนไล่ออกจากโรงเรียน คือ การเฆี่ยนหน้าเสาธง จริงๆ การโดนหวายนาบก้นมันก็เจ็บเท่ากันทุกที่แหละครับ ผมเองก็เคยโดนหนึ่งที นึกขึ้นมายังแสบก้นอยู่เลย แต่การเฆี่ยนหน้าเสาธงดูจะต่างกันมาก


           บรรยากาศไม่เหมือนการประจาน เพราะนักเรียนก็รู้ๆ กันว่าใครเป็นอย่างไร แต่บรรยากาศเหมือนเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์มากกว่า คิดดูสิครับร้องเพลงชาติต่อหน้าเสาธง สวดมนต์ก็ต่อหน้าเสาธง เสาธงจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความดีงามและความขลัง การโดนตีหน้าเสาธงจึงไม่ธรรมดา ที่แปลกคือนักเรียนไม่เคยประท้วงครู ไม่เคยถือป้ายขับไล่ ไม่เคยดักทำร้าย กลับรักและเคารพยำเกรง ไม่ได้หมายความว่าเด็กสมัยก่อนไม่มีปัญหาความก้าวร้าว แต่อย่างที่บอกว่ามีไม่บ่อยและไม่แรงเท่าสมัยนี้


ผมว่ามีหลายสิ่งที่เด็กสมัยก่อนได้เรียนมากกว่าเด็กสมัยนี้ เช่น


           1. การบังคับเด็ก ๆ สมัยก่อนจะถูกบังคับมากจนอาจจะมากเกินไป แต่ก็ทำให้หลาย ๆ คนรู้จักวิธีบังคับและสามารถใช้วิธีนั้นกับตัวเองในเรื่องที่จำเป็นต้องทำ


           2. การควบคุม เด็ก ๆ ถูกควบคุมมากกว่าสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัดกระดิกตัวไม่ค่อยได้ แต่ในที่สุดเมื่อเป็นอิสระจากการควบคุมของพ่อแม่ เด็กๆ กลับได้ทักษะในการควบคุมตัวเองติดมาด้วย


           3. การอดกลั้น เด็ก ๆ ถูกห้ามไม่ให้แสดงความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทั้งที่บางทีผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายผิด แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตอบโต้ ถูกหัดให้อดกลั้น จนข่มใจเป็น


           4. ความอดทน เด็ก ๆ ถูกกดดันให้ทำเรื่องยาก ๆ งานหนัก ๆ สารพัดทั้งการบ้าน ทั้งงานฝีมือ พ่อแม่ก็เหงื่อตกไปด้วย เคี่ยวกรำกันไปนานๆความลำบากก็กลายเป็นเรื่องที่ทนได้


           ส่วนครอบครัวสมัยนี้เริ่มให้ความสำคัญกับคุณสมบัติ สี่ประการที่กล่าวมาน้อยลง หันไปเน้นที่การแสดงออก การอำนวยความสะดวก ขาดการปลูกฝังคุณลักษณะทั้งสี่ข้อ เป็นทั้งกับบ้านที่ยากจนพ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูหรือบ้านที่ร่ำรวยแต่ไม่ยอมหาเวลาดูแลลูก ซึ่งคุณลักษณะทั้งสี่นี้มีประโยชน์มาก


           คุณลักษณะทั้งสี่ประการมีฐานรากตัวเดียวกัน คือ control พูดให้ชัดๆ ก็คือ self-control เริ่มสร้างได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบครับ และต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ต้องมีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา ต้องไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ถ้าเป็นคนที่เคร่งครัด บังคับตนเองมากเกินไปก็ไม่ดี แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ดียิ่งกว่า บทเรียนบทแรกของ self-control คือ การคุมกับ อึ ฉี่ เป็นครั้งแรกที่เด็ก ๆ ได้รู้ว่าฉันคุมได้และทำตามที่สังคมต้องการได้ด้วย ก่อนหน้านี้อาจจะมีความรู้สึกนี้บ้างจากการยืนเป็นและเดินได้ ถ้าพูดได้เด็ก ๆ อาจจะบอกว่า "ไชโย เดินได้แล้ว” “เย้ ฉี่ลงส้วมแล้ว เหมือนพ่อเลย ๆ"


           บทเรียนที่ยากที่สุดของ self-control เห็นจะเป็นความดื้อครับ เพราะเป็นความขัดแย้งระหว่าง “หนูอยาก” กับ “พ่อให้ไม่ได้” กลับไปดูคุณสมบัติสี่ข้อที่ว่าสิครับ ต้องใช้ชุดนั้นแหล่ะถึงจะจัดการปัญหานี้ได้ พอ “หนูอยาก” แต่ “พ่อไม่ให้” การอาละวาดก็เกิดขึ้น ตัวก้าวร้าวที่นอนสงบในร่างเด็กน้อย ก็ตื่นจากหลับลุกขึ้นควบคุมเจ้าตัวเล็ก ถ้าเราช่วยให้ลูกชนะตัวก้าวร้าวได้ มันก็จะแอบๆ ไปสักพักแล้วกลับมาใหม่ วันแล้ววันเล่าจนวันที่ลูกเป็นวัยรุ่นเจ้าตัวก้าวร้าวนี้จะโตเต็มที่ พร้อม ๆ กับวัยฉกรรจ์ของลูก ยกนี้จะเป็นยกสุดท้าย ถ้าลูกชนะได้ตอนเป็นผู้ใหญ่ ตัวก้าวร้าวจะตัวเล็กกว่านี้ลูกจะชนะได้อีก


           ถ้าตอนเล็กเตรียมลูกมาดีก็ไม่ต้องใช้พลังมาก แต่ถ้าเตรียมมาไม่ค่อยดี ก็ขอให้ The force be with you จะใช้ดาบเลเซอร์ หรือหวายอาญาสิทธิ ก็เลือกเอานะครับ


เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เหตุผลของเด็กก้าวร้าว อัปเดตล่าสุด 26 เมษายน 2553 เวลา 15:52:03
TOP