x close

ปัญหาเลือดไหลซึมจากช่องคลอด

ตั้งครรภ์

ปัญหาเลือดไหลซึมจากช่องคลอด
(M&C แม่และเด็ก)

           ถ้าพบว่าเป็นเลือดสีน้ำตาลโดยเฉลี่ยแล้วก็คือเลือดเก่า อาจจะเป็นเลือดที่ออกมาแล้วค้างอยู่ในช่องคลอดแล้วค่อย ๆ ไหลออกมาพร้อมสารคัดหลั่งในช่องคลอด

           รบกวนคุณหมอทีค่ะ คือดิฉันตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้วปลายสัปดาห์ก่อน พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมาเป็นสีน้ำตาลค่ะ ก็ตกใจพอดูค่ะแต่ก็ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ตามมา แต่ก็อยากทราบค่ะ ว่าจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่และต้องแก้ปัญหาอย่างไรดีคะ

           การที่คุณแม่มีเลือดออกจากช่องคลอดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์สิ่งที่ต้องระวังคือ โอกาสเสี่ยงที่จะแท้งบุตรค่ะซึ่งในบางครั้ง กรณีที่คุณแม่มีอาการปวดท้องร่วม ด้วยอาจพบว่าสาเหตุเกิดจากบีบรัดตัวของมดลูก โดยถ้าเลือดที่ออกมาเป็นเลือดสด ๆ คือเป็นเลือดใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นแต่ถ้าพบว่าเป็นเลือดสีน้ำตาล โดยเฉลี่ยแล้วก็คือเลือดเก่า อาจจะเป็นเลือดที่ออกมาแล้วค้างอยู่ในช่องคลอดแล้วค่อย ๆ ไหลออกมาพร้อมสารคัดหลั่งในช่องคลอด

           ซึ่งถามว่าเป็นเรื่องปกติไหมก็ไม่ค่อยปกติ เพราะในธรรมชาติแล้ว ช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก คุณแม่ไม่ควรจะมีเลือดออกเพราะกรณีที่มีเลือดออกย่อมบ่งบอกว่าอาจจะ มีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น โอกาสเสี่ยงที่จะแท้งบุตรหรือกรณีที่ท้องอ่อน ๆ ประมาณเดือนกว่าๆ บางครั้งโอกาสที่เด็กจะหลุดหรือจะแท้งก็มี ยิ่งในคุณแม่ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว แล้วเกิดเดินหกล้มก้นกระแทกขึ้นมา เลือดที่ปริ่มๆอยู่แล้วก็มีโอกาสที่จะออกมากกว่าเดิม ดังนั้น สรุปแล้วภาวะที่มีเลือดออกขณะตั้งครรภ์จึงไม่ใช่ภาวะปกติ

           ...ส่วนจะอันตรายมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูสีและปริมาณของเลือดที่ออก ซึ่งกรณีของคุณแม่ท่านนี้ที่มีเลือดออกสีน้ำตาลแสดงว่า เป็นเลือดเก่าที่ค้างอยู่ในช่องคลอด แล้วค่อยๆ ไหลออกมาแต่บอกไม่ได้ว่าค้างนานไหม ก็คิดว่าน่าจะมากกว่าหนึ่งวัน ผลกระทบก็คงต้องมาดูว่าปัญหาของเลือดที่ออกคือ อะไรอาจเป็นได้ทั้งจากการที่มดลูกบีบรัดตัว ทำให้มีภาวะที่ใกล้แท้ง หรือรกไปเกาะอยู่ตรงบริเวณปากมดลูกหรือหลังจากที่เพศสัมพันธ์ เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุทำให้มีเลือดออกได้

           ...อย่างไรก็ดีในช่วง 3 เดือนแรก คุณแม่จะได้พบสูติแพทย์แล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้น ถ้ามีเลือดออก สูติแพทย์ก็จะประเมินดููว่าภาวะเลือดออกของคุณแม่เกิดจากอะไร เพราะบางกรณีอาจไม่ได้เกิดจากการบีบรัดตัวของปากมดลูก ก็คงต้องไล่ดูว่ามีติ่งเนื้อยื่นตรงปากมดลูกหรือเปล่า หรือมีแผลช่องคลอดหรือ เปล่า หรือมีติ่งเนื้อในช่องคลอดหรือเปล่า รวมทั้งต้องประเมินว่า ทารกในครรภ์สมบูรณ์ไหมเพราะปัญหาอาจเกิดจากการตั้ง ครรภ์ที่ผิดปกติ เช่น ท้องลม คือทารกในครรภ์มีการปฏิสนธิแต่ไม่สมบูรณ์ ร่างกายของแม่ก็จะพยายามขับออกมา ทำให้มีอาการปวดมวนและมีเลือดออกได้ หรืออาจเกิดจากการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกซึ่งลักษณะเหมือนเม็ดสาคู เป็นต้น ซึ่งสูติแพทย์ก็จะแก้ปัญหาให้คุณแม่ตามลักษณะของสาเหตุค่ะ

           ไม่ได้เขียนจดหมายถามมานานตั้งแต่ท้องน้องพุชกับน้องพิม ตอนนี้ท้องที่สามแล้วถ้าเป็นผู้ชายก็จะให้ชื่อพอลค่ะ ทีนี้มีเรื่องจะถามหน่อยค่ะตอนนี้ตั้งครรภ์ได้เดือนเศษ สองท้องแรกน้ำหนักจะขึ้นเยอะมาก เพราะค่อนข้างทานเก่งแต่ก็ไม่มีอาการแพ้ท้องนะคะ ท้องนี้ตั้งใจว่าจะคุมอาหารหน่อย จะทานให้น้อยลงเลยอยากทราบว่า เปลี่ยนจากทานมื้อเย็น มาดื่มอาหารเสริมประเภทโปรตีนผสมนมแทนจะได้หรือไม่คะ และช่วงนี้ยังสามารถออกกำลังกายตามปกติได้ไหมคะ

           ก่อนอื่นเราคงต้องมาดูว่า น้ำหนักขึ้นมากนั้น ขึ้นมากจากอะไรค่ะเรามาพูดถึงโดยธรรมชาติก่อน ซึ่งน้ำหนักโดยเฉลี่ยตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์จะอยู่ประมาณ 12  กิโลกรัม อย่างไรก็ดี ในช่วง 3 เดือนแรก น้ำหนักของแม่จะยังขึ้นไม่มาก แต่ถ้าขึ้นมากก็ต้องมาดูว่าคุณแม่รับประทานอาหารแบบไหน ทานของหวาน น้ำตาลแป้งมากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งถ้ามากเกินไป ผลเสียก็จะอยู่ที่คุณแม่ อาจทำให้ภาวะเบาหวานซ่อนเร้นของแม่โผล่มาได้ในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งก็จะมีผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ

           ...และจากคำถามของคุณแม่ที่ถามว่าสามารถเปลี่ยนจากอาหารเย็น เป็นทานโปรตีนผสมนมได้หรือไม่ จริงๆ แล้วหมอแนะนำว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ ที่ดีที่สุดคือทานให้ครบ 3 มื้อนั่นล่ะค่ะอย่างบางคนก็ทาน 6 มื้อด้วยซ้ำ แต่ต้องค่อย ๆ ทาน และไม่ทานมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องอืดหรือคลื่นไส้ซึ่งโดยระบบการย่อยอาหาร และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแม่ตั้งครรภ์ ก็มักจะทำให้คุณแม่แพ้ท้องคลื่นไส้อาเจียนง่ายอยู่แล้ว ทีนี้ถามว่าสามารถทานโปรตีนผสมนมได้หรือไม่ คำตอบคือ ถ้าคุณแม่พึงพอใจที่จะทานก็ทานได้แต่ถามว่าจำเป็นไหม ในช่วงแรกก็ยังไม่มีความจำเป็นหรอกค่ะ เพราะปกติเราก็จะได้โปรตีนจากการทานเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ส่วนการดื่มนมถ้าดื่มได้ก็ดีค่ะ แต่ถ้าดื่มไม่ไหวจริง ๆ ก็อย่าไปฝืนค่ะเพราะอาจทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนเพิ่มขึ้น

           ...สำหรับการออกกำลังกายในช่วงเดือนแรก ของการตั้งครรภ์อย่างที่ได้กล่าวนำไปตั้งแต่แรก ปกติช่วงสามเดือนของการตั้งครรภ์ สูติแพทย์ จะแนะนำให้คุณแม่พยายามประคับประคองให้การตั้งครรภ์ผ่านพ้นสามเดือนแรกไปก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเดือนแรกคุณแม่ก็สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้ แต่คงไม่ถึงขนาดไปแอโรบิกกระโดดโลดเต้น หรือทำท่าโยคะยาก ๆ อย่างนี้ไม่เหมาะสมค่ะ และถ้าทำแล้วรู้สึกปวดหน่วง ๆ ท้อง ก็ควรหยุดพักค่ะ อย่างไรก็ดี การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ถ้าให้ชั่งน้ำหนักแล้วหมอแนะนำว่า เริ่มต้นคุมการทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล รวมทั้งของมัน ๆ ให้น้อยลงจะดีกว่าค่ะ

           ...สำหรับเรื่องอาหารเสริมถ้าคุณแม่ต้องการทานจริง ๆ ก็ทานได้ค่ะ แต่ต้องดูก่อนว่า อาหารเสริมที่ว่าคืออะไรถ้าเป็นอาหารเสริมธรรมดาในรูปนมชง แบบนี้ก็ทานได้ แต่ถ้าเป็นยาวิตามินบางอย่าง เช่นกรดวิตามินเอ และทานเยอะ ๆ อย่างนี้ไม่ควรค่ะ เพราะผลของยาบางอย่างก็มีผลกระทบต่อตัวอ่อนในครรภ์ได้

           มีเพื่อนแนะนำให้ทานยาเม็ดทำจากน้ำมันปลาค่ะเขาว่ามี DHAกับ Omega 3 ช่วยให้ลูกฉลาดได้ จริงหรือไม่คะและถ้าจะทาน ทานได้มากน้อยแค่ไหนคะ

           ต้องอธิบายก่อนว่าคือเรารู้ว่าในน้ำมันปลามี DHA กับโอเมก้า 3 ใช่ไหมคะซึ่งจากผลวิจัยบอกว่า ทำให้มีการแบ่งเซลล์ในการพัฒนาการทางสมองของทารก แน่นอนค่ะว่าเป็นข้อดี แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าเราทานโอเมก้า 3 มากเกินไปจะส่งผลให้เลือดแข็งตัวยาก ดังนั้น ในช่วงใกล้คลอดหรือ 3 เดือนหลังของการตั้งครรภ์เราจึงไม่ค่อยอยากแนะนำให้คุณแม่ท่านนัก การทานยาเม็ดน้ำมันปลาจึงอาจเป็นผลเสียต่อคุณแม่ได้

           ...ที่สำคัญการรับประทานอาหารประเภทเนื้อปลาทะเลวันละตัว คุณแม่ก็จะได้รับ DHA และโอเมก้า3 เพียงพออยู่แล้วยกเว้นว่าถ้าคุณแม่เกิดทานเนื้อปลาไม่ได้เลยเพราะเหม็นเบื่อ คลื่นไส้ก็อาจเลือกทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ DHA และโอเมก้า 3แทนก็ได้ เพราะปริมาณไม่เยอะ และต้องไม่ทานมากเกินไปค่ะ

           เหลืออีก 2 เดือนจะคลอดแล้วค่ะ อยากทราบว่าหลังคลอดจำเป็นทานยาน้ำว่านชักมดลูกหรือไม่คะมีคนแนะนำว่าจะช่วย ให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น อีกอย่าง จะสามารถอยู่ไฟได้ไหมคะ

           ในเชิงสถิติจริงๆคุณหมอก็ไม่สามารถตอบได้ค่ะ ว่าว่านชักมดลูกทำให้มดลูกหดรัดตัวจริงหรือไม่ แต่ส่วนตัวแล้วคำตอบคือไม่จำเป็นค่ะด้วยเหตุผลว่าหลังคลอด มดลูกของแม่ก็จะมีการหดรัดตัวเข้าอู่ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์อยู่แล้วไม่ว่าจะเบ่งคลอดเองหรือผ่าคลอดก็เหมือนกัน โดยจะมีอาการบีบๆ เหมือนผู้หญิงเวลาปวดท้องเมนส์และอาจมีเลือดออกได้ ซึ่งช่วงที่มีเลือดออกใน ช่วงหลังคลอด จะเรียกว่าน้ำคาวปลา โดยจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีคล้ำๆ หรือสีน้ำตาล

           ...และถ้าคุณแม่อยากให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น สูติแพทย์ก็จะแนะนำให้ทารกดูดนมแม่ได้ ช่วยได้ดีกว่ายาชักมดลูกอีกค่ะ เพราะการที่ทารกดูดนมแม่ทุกครั้ง จะส่งประสาทสัมผัสไปยังต่อมใต้สมองของแม่และหลั่งฮอร์โมนออกมา ทำให้มดลูกบีบรัดตัวเร็วขึ้น ทั้งยังเป็นการเชื่อมสายใยรักระหว่างแม่กับลูกด้วย นอกจากนี้หลังคลอด สูติแพทย์ก็จะให้ยากับคุณแม่ช่วยให้มดลูกหดรัดตัวอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่หลังออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว คุณแม่ต้องทานยาขับเลือด ยาขับน้ำคาวปลา ยาดองเหล้า หรือยาว่านชักมดลูก

           ...สำหรับการอยู่ไฟ การอยู่ไฟในปัจจุบันจะแตกต่างจากสมัยก่อน ซึ่งสมัยนี้มักใช้สมุนไพรอบตัว และมีการถูตัว นวดด้วยสมุนไพรคล้าย ๆ สปา ก็สามารถทำได้ค่ะขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจ ไม่ได้มีข้อห้าม แต่มีข้อแนะนำว่าถ้าคุณแม่คลอดโดยวิธีธรรมชาติ ก็ควรให้พ้น 1 สัปดาห์หลังคลอดไปก่อน ยิ่งถ้าผ่าตัดคลอดก็ควรให้พ้นสัก 45 วันไปแล้วจึงค่อยอยู่ไฟค่ะ เพราะการผ่าตัดคลอดจะมีแผลเย็บ บางครั้งการนวดการคลึงตัวอาจกระทบต่อแผลเหล่า นี้ได้ค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปัญหาเลือดไหลซึมจากช่องคลอด อัปเดตล่าสุด 21 พฤษภาคม 2553 เวลา 15:42:10
TOP