x close

ท้องผูก สู่ปัญหาริดสีดวงในแม่ตั้งครรภ์

ตั้งครรภ์

"ท้องผูก" สู่ปัญหาริดสีดวงในแม่ตั้งครรภ์ (M&C แม่และเด็ก)

           บ่อยครั้งปัญหาเล็ก ๆ ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ โดยเฉพาะในแม่ตั้งครรภ์ เช่น อาการท้องผูก ซึ่งมักสร้างความรำคาญและทรมาน ยิ่งรายที่มีอาการท้องผูกรุนแรง และถ่ายนาน เส้นเลือดดำส่วนล่างของร่างกายอาจเกิดการโป่งพอง ทำให้เกิดริดสีดวงตามมา รวมทั้งอาจมีปัญหาต่อการคลอดได้

           เราจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อพูดคุยกับคุณหมอวนิชา ปัญญาคำเลิศ ผู้อำนวยการศูนย์สูติ-นรีเวช เกี่ยวกับเรื่องท้องผูกและริดสีดวง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ คุณหมออธิบายว่า

           "ปัญหาแม่ตั้งครรภ์กับเรื่องท้องผูก ต้องอธิบายก่อนว่า เป็นเรื่องปกติ ที่แม่ตั้งครรภ์จะมีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ระบบต่าง ๆ ในลำไส้ ทำงานไม่ค่อยดี ฉะนั้นโอกาสที่แม่ตั้งครรภ์จะท้องผูกก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 นอกจากนี้มดลูกของแม่ตั้งครรภ์ก็จะเริ่มโตขึ้นและไปกดเส้นเลือดใหญ่ ทำให้การไหลเวียนของเส้นเลือดส่วนล่างของร่างกายช้าลง บ่อยครั้งแม่ตั้งครรภ์จึงมีปัญหาท้องผูกและริดสีดวงตามมา

           ...นอกจากนี้ยังมีเรื่องของยาในแม่ตั้งครรภ์ ทั้งยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กและแคลเซียม คือในแม่ตั้งครรภ์ ธาตุเหล็กเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแม่ตั้งครรภ์มักจะได้จากอาหารไม่เพียงพอ ส่วนแคลเซียม ถ้าแม่ตั้งครรภ์ดื่มนมได้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้แคลเซียมเม็ด แต่แม่ตั้งครรภ์ที่ที่ดื่มนมไม่เก่งหรือทานแคลเซียมไม่เพียงพอ ก็อาจจำเป็นต้องได้แคลเซียมเม็ด ซึ่งแคลเซียมก็จะมีหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะทำให้แม่ตั้งครรภ์ท้องผูกได้ทั้งนั้น ส่วนจะผูกมากผูกน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่ชนิดของแคลเซียม"

เป็นนานแค่ไหน ยาลดกรดช่วยได้หรือไม่

           "จะท้องผูกกี่วันคงตอบยาก ขึ้นอยู่ที่อาการท้องผูกของคุณแม่เดิมด้วย รวมทั้งการปฏิบัติของคุณแม่ก็สำคัญ ควรทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ยิ่งในแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการท้องผูกเดิมอยู่แล้ว ก็ต้องเน้นเป็นพิเศษ หรืออาจขอให้คุณหมอจัดยาที่เป็นส่วนประกอบของกากใย ซึ่งทำเป็นเม็ดไฟเบอร์ หรือเป็นผงชงละลายน้ำ ก็จะช่วยได้ รวมทั้งดื่มน้ำเยอะ ๆ และออกกำลังกาย เดินไปเดินมาบ้าง ทำให้การบีบตัวของลำไส้เพิ่มขึ้น สำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาท้องผูกอยู่เดิม ควรแจ้งให้คุณหมอที่คุณแม่ฝากครรภ์รับทราบ จะได้ปรับยาว่าควรใช้แบบไหน

           ...สำหรับการใช้ยาลดกรด จริง ๆ ส่วนใหญ่เราจะไม่แนะนำในแม่ตั้งครรภ์ค่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ในแง่ของการที่จะเอายาลดกรดมาทำให้ดีขึ้น มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ส่วนหนึ่งของคนไข้ที่ทานยาลดกรดอาจจะดีขึ้น เพราะมันมีแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ช่วยให้การบีบตัวของลำไส้ดีขึ้น แต่มันไม่ใช่ยาถ่ายโดยตรง จึงไม่แนะนำให้ใช้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการกินผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยนี่ล่ะค่ะ หรือถ้าไม่ได้ ก็ทานยาเม็ดที่ทำจากไฟเบอร์ หรือยาบางตัวเป็นกลุ่มของน้ำตาลที่ไม่ดูดซึม ก็สามารถทานได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหน่อยนะคะ โดยทั่วไป จะใช้เวลา 1- 3 วันขึ้นไปถึงจะถ่าย ถ้าแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องผูกเดิมอยู่แล้ว ก็อาจต้องทานนานขึ้นที่สำคัญ ยาพวกนี้เมื่อถ่ายดีแล้วก็ลดปริมาณลง ไม่ได้หมายความว่า เราทานวันนี้ พรุ่งนี้จะต้องถ่ายเสมอไป

สาเหตุและปัญหาของริดสีดวง

           "ปัญหาแรกของมันก็คือ คนไข้จะรู้สึกคัน เจ็บ ถ่ายแล้วมีเลือดปน เป็นเลือดสด ๆ เลยก็ได้ บางรายอาจมีปัญหาเลือดออกรุนแรง อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ แต่ถ้าคนไข้ไม่มีอาการ ไม่มีปัญหาเลือดออก ก็อาจแค่ปฏิบัติตัวตามที่เล่ามา อย่าไปเสี่ยงกับการรักษาเพิ่มเติม

           ...สำหรับสาเหตุของริดสีดวงนั้น จริง ๆ เราไม่ทราบว่าอะไรคือสาเหตุ รู้แค่ว่าเกิดจากการที่เส้นเลือดดำขยายตัว พูดง่าย ๆ ริดสีดวงก็คือเส้นเลือดขอดที่อยู่ในลำไส้ตรง ฉะนั้น สาเหตุชัดเจนไม่มีอะไรบอกได้ แต่เรารู้ว่ามีสาเหตุที่ทำให้ริดสีดวงเป็นมากขึ้น ทั้งท้องผูกและท้องเสีย ซึ่งถ้าท้องเสียบ่อย ๆ ก็เป็นได้เช่นกัน แต่คงไม่เกี่ยวกับการทานอาหารแล้วไม่ย่อย นั่นเป็นเรื่องของกระเพาะอาหาร แต่เกี่ยวข้องกับอายุครรภ์ เพราะเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น มดลูกก็จะขยายโตขึ้นและไปกดทับเส้นเลือดดำ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งกดทับมากเท่านั้น ทำให้การไหลเวียนของเลือดส่วนล่างน้อยลง ยิ่งถ้าคุณแม่มีปัญหาเส้นเลือดขอดในลำไส้หรือเป็นริดสีดวงอยู่เดิม

           ...นอกจากนี้ การตั้งครรภ์ก็จะทำให้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง เส้นเลือดดำก็จะมีการยืดขยายและยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้แม่ตั้งครรภ์มีปัญหาเรื่องท้องผูกตามมา ยิ่งนั่งห้องน้ำนาน ก็จะทำให้มีโอกาสเป็นริดสีดวงมากขึ้น โดยริดสีดวงนั้นมี 2 ประเภท คือ ริดสีดวงภายในกับภายนอก ลักษณะก็จะเป็นติ่งเนื้อเหมือนเส้นเลือดขอดอยู่ในลำไส้ใกล้ๆ ทวารหนัก ซึ่งปกติคนเราจะมีติ่งเนื้อที่ปากทวารหนักอยู่แล้ว ทีนี้คนที่นั่งห้องน้ำนาน เส้นเลือดบริเวณรอบ ๆ ก้นก็จะขยายตัวขึ้น และโป่งพองออกมา ทำให้เป็นริดสีดวง คนไข้ก็จะเจ็บ โดยเฉพาะถ้ามันมีการไหลเวียนกลับของเส้นเลือดไม่ได้ ก็จะเกิดเซลล์ตาย

           ...ซึ่งปกติเส้นเลือดดำจะต้องมีการไหลเวียนกลับเข้าไป ระหว่างเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง แต่กรณีที่คนไข้เป็นริดสีดวง การที่เส้นเลือดดำจะไหลกลับเข้าไปมันน้อย ทำให้เส้นเลือดโป่งพองขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเส้นเลือดโป่งพองมากขึ้น ริดสีดวงก็จะโตขึ้น คนไข้ก็จะเจ็บ ถ้าโชคร้าย ทำให้บวมมากจนเลือดไหลกลับไปไม่ได้ ก็จะมีเซลล์ที่ตาย คนไข้ก็จะปวดมากขึ้น ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนแบบนี้ ไม่ว่าจะมีเลือดออกมากหรือมีเซลล์ที่ตาย ก็อาจต้องพิจารณาการรักษาโดยการผ่าตัด"

การรักษาริดสีดวง

           "ปัญหาก็คือ การผ่าตัดริดสีดวง ถ้าเราทำในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงใกล้คลอดแล้ว ถ้ามีการผ่าตัดริดสีดวง เวลาที่คุณแม่เบ่งคลอด หัวเด็กก็ต้องผ่านช่องทางคลอดใกล้กับรูก้น ก็จะมีการยืดขยายบริเวณนั้น ทำให้แผลอาจมีปัญหาได้ ซึ่งถ้าคนไข้มีริดสีดวงแล้วไม่มีอาการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอาการก็ต้องดูว่า มีข้อบ่งชี้ที่จะต้องผ่าตัดหรือไม่ เช่น มีการตายของเซลล์ หรือมีการอุดตันที่ทำให้มีอาการปวดมาก หรือมีเลือดออกมาก ก็ต้องมาตรวจเพื่อเอาริดสีดวงออก ซึ่งบางครั้งสูตินรีแพทย์อาจดูได้แค่ริดสีดวงภายนอก แต่ริดสีดวงที่อยู่ข้างใน อาจต้องให้ศัลยแพทย์มาช่วยดูว่าถึงเวลาที่จะต้องทำหรือยัง ซึ่งถ้าพบว่า มีการโป่งพองของริดสีดวงภายนอก เราก็จะพยายามดันหัวของริดสีดวงกลับเข้าไป แต่ถ้าเป็นเยอะ ก็อาจจะดันกลับไม่ได้ หรือดันกลับเข้าไปแล้วอาจออกมาใหม่ อย่างไรก็ดี ถ้าเราดันกลับเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วท้องไม่ผูก นั่งห้องน้ำไม่นาน โอกาสที่ริดสีดวงจะโตมากขึ้นก็จะน้อยลง

           ...สำหรับแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องก้อนบวม เจ็บ ก็สามารถใช้ยาได้ โดยยาที่ช่วยในการลดการอักเสบ บวม มีทั้งยาทาและยาเหน็บก้น แต่ต้องบอกก่อนว่า โดยทั่วไปยาที่ช่วยลดริดสีดวง เป็นยาที่ไม่มีการศึกษาในคนตั้งครรภ์ ฉะนั้นเราจะไม่ใช้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ คือถ้าแม่ตั้งครรภ์บอกว่าเป็นริดสีดวง เราก็ต้องดูว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน อย่างบางคนแค่มีติ่งเนื้อที่ก้น ถ่ายออกมาแล้วบวม แต่ถ้าไม่มีปัญหาไม่เจ็บ ไม่เลือดออก ก็อาจแนะนำให้คุณแม่ดันกลับเข้าไป เน้นทานอาหารที่มีกากใยหรือไฟเบอร์ ไม่นั่งห้องน้ำนาน ถ้านั่งแล้วไม่ออกก็ไม่ต้องไปเบ่ง ถ้าคุณแม่ปฏิบัติตามได้ดี ก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ดี ไม่แนะนำให้ซื้อทั้งยาเหน็บและยาทาตามร้าน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ให้แพทย์ดูว่าใช้แล้วปลอดภัยแค่ไหน เพราะยาเหน็บที่ก้นมักมีส่วนผสมของสเตรียรอยด์ ซึ่งช่วยลดการอักเสบ ทำให้การยุบบวมดีขึ้น แต่ไม่ได้ไปรักษาริดสีดวงโดยตรง

           …ขณะเดียวกัน ก็จะแนะนำให้คุณแม่ดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวัน นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ก็มีเรื่องการออกกำลังกาย การเดินมาก ๆ การทำงาน นั่งนาน ยืนนาน ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหาริดสีดวงเพิ่มขึ้นได้ วิธีที่แก้ได้คือ แม่ตั้งครรภ์อาจต้องฝึกกายบริหารกล้ามเนื้อในช่วงอุ้งเชิงกราน เช่น การขมิบค้างไว้แล้วปล่อย การทำแบบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ทวารหนักมีการบีบรัดตัว เลือดก็จะไหลเวียนดีขึ้น จะทำตอนเป็นแล้วก็ได้ หรือทำก่อนเป็นก็ได้"


   
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ท้องผูก สู่ปัญหาริดสีดวงในแม่ตั้งครรภ์ อัปเดตล่าสุด 25 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:57:30 6,582 อ่าน
TOP