ณเดชน์ คูกิมิยะ
Sexy Guy!! (ภาพยนตร์บันเทิง )
เปิดตัวจากการเป็นนายแบบโฆษณา จนมาเข้าตาวิก 3 พระราม 4 ตอนนี้ชื่อของ ณเดชน์ คูกิมิยะ กลายเป็นหนุ่มฮอตที่หลายคนสนใจ เพราะเจ้าตัวกำลังมีผลงานในละครเรื่อง "เงารักลวงใจ" ซึ่งถูกพูดถึงมากที่สุด แม้เรื่องนี้ ณเดชน์ จะไม่ได้รับบทพระเอกของเรื่อง แต่ผลงานการแสดงและหน้าตาถูกใจสาว ๆ เชื่อได้ค่ะว่า อีกไม่นานหนุ่มคนนี้จะต้องมีชื่อเสียงดังขึ้นไปยิ่งกว่านี้แน่นอน
ฟีดแบ็กละครเป็นอย่างไรบ้างคะณเดชน์ : ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ ต้องขอบคุณ พี่จ๋า กับ พี่หนุ่ม กฤษณ์ มาก อยากบอกว่าเปิดกล้องวันแรกผมขาสั่นเลย ตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่เคยทำงานมาก่อน ปากคนข้างนอกก็บอกว่า ผู้กำกับฯ ดูด้วยต้องเล่นให้ดีพูดให้ชัด ผมก็กลัว กลัวโดนด่า แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ทุกคนน่ารักมาก พี่หนุ่มผู้กำกับฯ ก็ใจดี ฟีดแบ็กก็ดีครับ คนพูดถึงเยอะทีเดียว
ละครสำหรับ ณเดชน์ เป็นอย่างไรณเดชน์ : ผมว่าละครต้องมีสมาธิเยอะมาก ทั้งเรื่องบล็อกกิ้ง ไดอะล็อก การออกเสียงทุกอย่างเลยนะ ยากกว่าถ่ายแฟชั่น คือถ่ายแฟชั่นต้องมีอินเนอร์ก็จริง แต่มันเป็นภาพนิ่งมันไม่ชัดเจนเหมือนการถ่ายละครนะครับ ผมชอบนะ แต่ไม่คิดจะทิ้งงานถ่ายแบบเดินแบบเพราะเราเกิดมาจากตรงนี้ แต่งานละครผมก็ชอบ
นอกจากเบื้องหน้า เห็นว่าไปช่วยกำกับอีกด้วยนี่ตอนหลัง ๆณเดชน์ : ผมว่างงานเบื้องหลังก็สนุกดีครับ มีไปเป็นผู้ช่วยเวที ยากดี สนุกดี คือใครต่อบทไม่ได้ผมก็เข้าไปช่วย ผมว่างานเบื้องหลังมันสนุกนะ เรารักมันก็ไม่เหนื่อย เวลาว่างผมชอบขึ้นไปอยู่บนรถโอบีบ้าง แล้วก็ดูทีมงานบ้าง ช่วยขนสายไฟฟ้า
ก่อนหน้านี้ถูกมองเป็นเซ็กซี่กาย เพราะขยันโชว์ซิกแพ็กณเดชน์ : (หัวเราะ) ช่วงนี้ไม่ถ่ายแบบแนวถอดเสื้อโชว์บอดี้มากครับ คือเรามาถ่ายละคร สายตาประชาชนที่มอง อาจจะมองว่าเรายังเด็กอยู่นะ แต่ในวงการแฟชั่นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ถูกโชว์บอดี้ ผมว่าในความเป็นผู้ชายนะ ผู้ชายทุกคนต้องมีดีครับ คือมีร่างกายที่ฟิตนะ ไม่เขินหรอกที่ถูกมองว่าเป็นเซ็กซี่กาย แต่ผู้ใหญ่ทางช่องก็เตือนเหมือนกันครับว่าไม่อยากให้ถ่ายอีก ที่ผ่านมาผมมองว่ามันเป็นงานชิ้นหนึ่งครับ
ณเดชน์คิดว่าอะไรในร่างกายดูแล้วเซ็กซี่ มีเสน่ห์มากที่สุดณเดชน์ : อืมม์...(ทำท่าคิดนาน) คิ้วมั้งครับ เพราะมีแต่คนบอกว่าผมคิ้วหนา ผมเองก็ชอบด้วย ชอบดึงเล่น คือถอนเล่นนั่นล่ะครับ เพราะคิ้ว มันหนามาก ผมว่าเสน่ห์ผมอยู่ที่คิ้วเนี่ยล่ะ เข้ม ๆ หนา ๆ
กลายเป็นขวัญใจชาวสีม่วงณเดชน์ : ขวัญใจชาวเกย์ ไม่ซีเรียสเลยครับ แต่ผมยืนยันนะว่าผมไม่ใช่ชาวสีม่วงนะครับ ผมยังชอบผู้หญิงอยู่ แต่แฟนคลับผมที่เป็นแบบนี้ก็เยอะครับ ผมว่าเขาน่ารักนะครับ คือ ผู้ชายชอบผู้ชายดีออกครับ หายากนะ (หัวเราะ)
ตัวตนของ ณเดชน์ คือ...ณเดชน์ : ผมเป็นคนที่เวลาทำงานคือทำงานครับ ถ้าเวลาพักผ่อน ก็เป็นคนสบายๆ เป็นคนเฮฮาปาร์ตี้นะ แต่ถ้ามาแนวขรึมๆ นิ่งๆ เนี่ย ไม่ใช่ผมหรอก ผมเป็นแนวไฮเปอร์มากกว่าครับ คืออยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ฮาๆ ไปเรื่อยๆ แต่เรื่องมุกตลกเนี่ยคือมีแต่คนบอกว่ามุกผมชอบแป้ก ยิงไปแล้วเขาไม่ขำ มีแต่ทำท่างงๆ กัน จนหลังๆ เนี่ยเขารู้แล้วว่า ณเดชน์ชอบมุกแป้ก (หัวเราะ)
ฉายา "ไอ้ลาว" มาจากไหนณเดชน์ : ในกองเขาจะเรียกผมว่าไอ้ลาวครับ คือ เรามาจากขอนแก่น เราทำตัวปกติล่ะ คือเป็นอย่างที่เราเป็น เขาเลยเรียกเราว่าไอ้ลาว เพราะเราชอบกินส้มตำปลาร้ามาก (หัวเราะ) คือเขาไม่ค่อยทานเผ็ดกันผมก็จะทาน ปลาร้าเนี่ยมาเป็นตัว ๆ ก็ได้เลยนะ แต่ถ้าตัวใหญ่มากก็ไม่ไหว แต่ชอบครับ คือผมกินมันมาตั้งแต่เด็ก อยู่ขอนแก่นกินตลอด
ชีวิตช่วงนี้ แบ่งสรรยังไงบ้างณเดชน์ : ตอนนี้พยายามแบ่งเวลาให้ถูกครับ คือทั้งเรียนแล้วก็ทำงานไปด้วย อยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อที่จะได้ทำงานเต็มที่ แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ในวงการได้นานขนาดไหน คือถ้ามันอยู่ไม่นาน แล้วต้องออกไป คงไปทำธุรกิจส่วนตัวครับ
มีเวลากลับบ้านขอนแก่นบ้างไหมณเดชน์ : ช่วงนี้ไม่มีเวลากลับไปบ้านที่ขอนแก่นเลยครับ 2 เดือนได้แล้ว นี่ผมก็เตรียมตัวสอบเข้ามหิดลอินเตอร์อยู่ คุณแม่จะห่วงผมมากเรื่องเรียน กลัวว่าทำงานเยอะแล้วเรียนไม่ไหว แต่ผลงานผมเนี่ยท่านชอบนะ คือแม่ผมอยากให้เรียนให้จบ เพื่อที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่สุดท้ายต้องดูงานล่ะครับว่าวันนั้นแล้วเราจะมีงานเยอะไหม
ไม่คิดดร็อปเรียนไว้ก่อน แล้วหันมาเต็มที่กับงานเหรอณเดชน์ : คือผมคิดว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ ยังไงก็ทิ้งไม่ได้ แต่การทำงานมันก็เป็นอะไรที่มาเสริมให้เรารู้สึกว่า จะต้องแบ่งเวลาให้เป็น เพื่อที่จะทำได้ดีทั้งสองอย่างพร้อมกัน ความรู้และประสบการณ์ทำงานมันมาเติมเต็มให้เราสามารถใช้ชีวิตได้ดีครับ
ชีวิตเรียนและงาน ด้านสาว ๆ ล่ะคะ เงียบเชียวณเดชน์ : ผู้หญิงของผม ขอแบบนิสัยดีครับ คุยเก่ง ภาพลักษณ์เนี่ยธรรมดา ๆ เลย ตอนนี้ก็ไม่มีเข้ามาหรอกครับ เพราะตัวผมเองไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องนั้นด้วยล่ะ ตอนนี้กลับถึงบ้านได้ก็ขอนอนแล้วครับ ไม่มีเวลาโทร.หาคนอื่นหรอก ขี้เกียจมีแฟนครับตอนนี้ อยากทำงานมากกว่า คุณแม่เองก็เตือน ๆ นะ บอกว่าเราโตแล้วน่าจะคิดกันได้ ถ้ามีอะไรมีข่าวก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเลยคิดว่า ทำงานแล้วก็เรียนอย่างเดียวพอแล้ว ขนาดตัวเองยังไม่มีเวลาจะดูแล จะเอาเวลาที่มีไปดูแลใครได้ล่ะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ปีที่ 36 วันที่ 19-25 พฤษภาคม 2553
