x close

สิวหิน เกิดจากอะไร พร้อม 9 วิธีรักษาสิวหินและการป้องกัน เพื่อหน้าสวยใสปิ๊ง

          สิวหิน เกิดจากอะไร ใครคิดว่าสิวหิน หรือ สิวข้าวสารใต้ตา รักษายากสุด ๆ บอกเลยว่าถ้ารู้เคล็ดลับวิธีรักษาสิวหินและการป้องกัน จะช่วยกำจัดสิวหินกวนใจได้ไม่ยาก
        
สิวหิน

          เคยส่องกระจกแล้วสังเกตเห็นตุ่มเม็ดสีขาว ๆ เหลือง ๆ ที่อยู่ตามใต้ตาหรือเปลือกตากันบ้างไหมคะ บอกเลยว่าเจ้าเม็ดเหล่านั้นน่ะคือ สิวหิน หรือ สิวข้าวสาร ที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กสีขาวขุ่นหรือสีเหลือง ไม่มีอาการเจ็บหรือคัน มักเกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา โหนกแก้ม และจมูก ไม่ว่าจะรักษายังไงก็ไม่หายขาดสักที บางทีหายแล้วก็ยังกลับมาอีกเรื่อย ๆ จนรู้สึกปวดใจ ทำให้สาว ๆ อยากจะหาวิธีรักษาสิวหินและวิธีป้องกันการเกิดสิวหินกันใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งขอบอกเลยว่าวิธีรักษาไม่ยากอย่างที่คิด แค่ใช้ 9 วิธีรักษาสิวเด็ด ๆ ที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากวันนี้ก็เอาอยู่ ควบคู่ไปกับการหาสาเหตุและป้องกันไม่ให้สิวหินกลับมาเกิดซ้ำขึ้นอีก จะมีวิธีใดบ้าง ไปดูกันค่ะ

สิวหิน เกิดจากอะไร

          สิวหิน หรือบางคนเรียกว่า สิวข้าวสาร เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อที่ไม่มีอันตรายใด ๆ ไม่กลายเป็นเนื้อร้าย แต่มักก่อให้เกิดความกังวลในแง่ของความสวยงาม ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน ส่วนจะมีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นกับบุคคลและกรรมพันธุ์ แต่จำนวนมักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดสิวหิน แต่สาเหตุจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสิว ดังนี้

          - สิวหินปฐมภูมิ เกิดจากเส้นใยเคราตินที่ติดอยู่ใต้ผิวหนังสะสมรวมตัวกับไขมันในต่อมใต้ผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดการทับถมจนเป็นสิวหัวปิด โดยมักปรากฏบริเวณเปลือกตา หน้าผาก หรืออวัยวะเพศ และบริเวณรอยพับจมูกในเด็กเล็ก หายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์หรืออาจคงอยู่นานหลายเดือน

          - สิวหินในวัยหนุ่มสาว อาจเกิดขึ้นจากอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น มะเร็งผิวหนังบางชนิด หรือความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น ๆ

          - สิวหินชนิดแบนราบ เป็นสิวที่เจริญเติบโตมาจากการติดเชื้อจนปรากฏเป็นปื้นผิวหนังกว้างหลายเซนติเมตร และอาจเกี่ยวข้องกับโรคผิวหนังบางชนิดแต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดได้อย่างแน่ชัด มักปรากฏบริเวณหลังหู เปลือกตา แก้ม และกราม โดยอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยกลางคน

          - สิวหินชนิดบาดแผล เกิดขึ้นเมื่อได้รับบาดเจ็บทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่น ผื่นพุพอง เป็นแผลไฟไหม้รุนแรง หรือแผลจากการขัดถูเสียดสีซ้ำ ๆ ของผิวหนังบริเวณนั้น เป็นต้น ซึ่งอาจรบกวนรูขุมขนและต่อมไขมันจนทำให้เกิดสิวข้าวสารได้บ่อยขึ้น มักปรากฏบริเวณหลังมือหรือนิ้วมือ

วิธีรักษาสิวหิน

          ผู้ที่มีปัญหาสิวหินส่วนใหญ่มักต้องการรักษาให้ก้อนยุบลง ด้วยเหตุผลด้านความสวยงามเป็นหลัก โดยให้เกิดแผลเป็นและกลับมาเป็นใหม่น้อยที่สุด ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้

1. รักษาด้วยการกดสิว

          ลองหาที่กดสิวสักอันมาก่อน แล้วนำด้านเข็มกดลงไปที่สิวหิน จากนั้นใช้อีกฝั่งกดเน้น ๆ ให้หัวสิวด้านในดันออกมา แต่ถ้าหากไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง หรือกลัวผิวบอบช้ำมาก ๆ ก็ให้ไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อให้แพทย์ใช้วิธีนี้รักษาให้จะเซฟกว่าค่ะ

2. รักษาด้วยเลเซอร์

          สาว ๆ คนไหนมีงบมากและอยากหายกลับมาสวยใสเหมือนเดิม แนะนำให้ใช้วิธีเลเซอร์เลยค่ะ ถ้าหากกลัวเป็นแผลหลังทำ บอกเลยเดี๋ยวนี้มีนวัตกรรมใหม่มากมายในการรักษา โดยปกติจะใช้เป็นตัวคาร์บอนไดออกไซด์ เลเซอร์ (CO2 Laser) เพื่อทำลายและตัดสิวหินออก เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง โอกาสเกิดแผลเป็นน้อยกว่าวิธีอื่น แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้ ยังไงก็ลองไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนจะแน่นอนที่สุดค่ะ

3. รักษาด้วยกรดเข้มข้น (TCA)


          การรักษาสิวหินด้วยวิธีจี้ด้วยกรด โดยปกติจะใช้เป็นกรดไตรไตรคลออะซีติก (Trichloracetic acid) เริ่มต้นด้วยการใช้กรดไตรคลออะซีติก 50% ซึ่งสามารถจี้ให้ตุ่มเริ่มแบนราบได้ แต่แพทย์อาจต้องนัดมาทาบ่อยครั้ง ประมาณทุก 2-3 สัปดาห์

4. รักษาด้วยความเย็น (Liquid Nitrogen)

          ใครที่มองหาวิธีรักษาแบบสบาย ๆ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้วยการลองใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลว จี้เพื่อทำลายตัวเนื้องอกสิวหินให้หลุดออกจากผิวหนัง ซึ่งจะหลุดออกอย่างง่ายดาย ทำแค่ไม่กี่ครั้งก็บอกลาสิวกวนใจได้เลย

5. รักษาด้วยการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า (Electrocautery)

          การใช้จี้ไฟฟ้ามีหลักการคือเน้นทำลายและตัดสิวหินออก แต่ควรทำโดยแพทย์ที่ชำนาญเท่านั้น เป็นอีกวิธีที่ให้ผลการรักษาที่ดี โดยผลการรักษาค่อนข้างใกล้เคียงกับเลเซอร์

สิวหิน

6. รักษาด้วยการผ่าตัดเล็ก (Surgical Excision)

          ใครอยากกำจัดสิวหินแบบถาวร อาจเลือกเป็นการใช้มีดผ่าตัด ตัดเอาก้อนสิวหินออก จากนั้นค่อยทำการเย็บแผล ใช้กับก้อนสิวหินที่มีขนาดใหญ่และมีจำนวนไม่มาก เป็นการรักษาที่ให้ผลดี แต่มีโอกาสเกิดแผลเป็นจากรอยเย็บแผลได้

7. รักษาด้วยครีมที่ผสมเรตินอยด์

          ถ้าไม่อยากเจ็บตัวละก็ ลองหายาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอหรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์มาแต้มลงบนสิวหินสิ หากใช้เป็นประจำพวกหัวสิวที่อุดตันอยู่ด้านในก็จะออกมาเอง แต่วิธีนี้ต้องอาศัยความอดทนเพราะต้องใช้เวลาพอสมควร และควรระวังอย่าใช้ตรงบริเวณรอบดวงตา

          นอกจากนี้ยังมีการใช้ยากลุ่มอื่น ๆ เช่น ยาทากลุ่มอะโทรพีน (Topical atropine) และยากินชื่อ Tranilast อีกด้วย

8. รักษาด้วยปูนแดง

          แนะนำเลยว่านี่คือวิธีรักษาสิวหินแบบบ้าน ๆ ที่ได้ผลดีชะงัด แค่นำปูนแดงมาผสมน้ำเล็กน้อย จากนั้นนำมาแต้มไว้ตรงสิวหินวันละ 1-2 ครั้ง แล้วสิวหินจะแห้งพร้อมหลุดออกไปเองโดยไม่ต้องใช้แรงกดใด ๆ ให้เจ็บเลยล่ะ

9. รักษาด้วยการผลัดเซลล์ผิว

          ไม่ว่าจะทำการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีธรรมชาติหรือผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ก็สามารถช่วยกำจัดสิวหินให้ออกไปได้ดีไม่แพ้กัน แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลาไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีละก็ อาจจะลองหาผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่หาซื้อได้ทั่วไปมาใช้เป็นประจำสม่ำเสมอก็ได้

สิวหิน

วิธีป้องกันการเกิดสิวหิน

          สาเหตุที่ทำให้เกิด สิวหิน หรือ สิวเม็ดข้าวสาร ส่วนใหญ่มาจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว การใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้คุณภาพ และการตกค้างของเครื่องสำอางบนใบหน้า เนื่องจากการล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด รวมไปถึงการตากแดดเป็นเวลานาจนผิวหนาและผลัดเซลล์ผิวได้ยากขึ้น ซึ่งการป้องกันการเกิดสิวหิน สามารถทำได้ดังนี้

          1. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงอุดตันรูขุมขน

          2. ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาที่ไม่มีสารระคายเคืองผิว เพื่อช่วยลดจำนวนสิวหินรอบดวงตา

          3. ทาครีมกันแดดเนื้อบางเบาที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอมหรือสารระคายเคือง เพื่อลดการเกิดสิวหิน และการอุดตัน โดยแนะนำว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ที่ประกอบด้วยสาร Titanium dioxide หรือ Zinc oxide ที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

          4. ลดการแต่งหน้าและใช้เครื่องสำอางให้น้อยลง อย่าแต่งหน้าหนามากจนเกินไป เพราะอาจเกิดการอุดตันได้
         
          5. ทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนซิ่ง เช็ดล้างเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกให้หมดจดอยู่เสมอ เพื่อให้รูขุมขนสะอาดมากขึ้นและไม่เกิดการอุดตัน

          การรักษาสิวหิน หรือสิวเม็ดข้าวสาร บางวิธีอาจเป็นวิธีที่สามารถรักษาได้เพียงชั่วคราว จากนั้นไม่นานสิวหินก็จะกลับมาขึ้นใหม่อีก ทางที่ดีสาว ๆ ควรป้องกันการเกิดสิวหินด้วยการดูแลผิวหน้าให้มากขึ้น หมั่นรักษาความสะอาดบนใบหน้า ไม่ให้หน้ามันและมีสิ่งตกค้าง รวมไปถึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอางต่าง ๆ ที่เหมาะกับผิวและรบกวนผิวให้น้อยที่สุด เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแลปัญหาสิวหินไม่ให้มากวนใจได้แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก : healthline.com, skinsight.com, pornkasemclinic.com, lcclinics.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สิวหิน เกิดจากอะไร พร้อม 9 วิธีรักษาสิวหินและการป้องกัน เพื่อหน้าสวยใสปิ๊ง อัปเดตล่าสุด 29 พฤศจิกายน 2564 เวลา 11:46:22 223,185 อ่าน
TOP