ถือเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุค 90 เลยทีเดียว สำหรับ โจอี้ บาซู ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวได้ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ เปิดบริษัทผลิตคอสเมติก และยังเป็นประธานบริษัทที่ประเทศเกาหลีอีกด้วย
มีลูก 5 คนจริงเหรอ ?
โจอี้ บาซู : ใช่ครับ เป็นลูกบุญธรรม 4 คน และลูกตัวเอง 1 คน อายุ 18 แล้ว ชื่อน้องณัชชา ซึ่งแต่ละคนจะมีที่มาแตกต่างกันไป
มีข่าวออกมาว่า โจอี้ บาซู ตกอับ จริงไหม ?
โจอี้ บาซู : จริง ๆ ให้เขารู้แค่นั้นพอมั้ง ไม่อยากให้รู้เยอะ
ความจริงทำงานอะไรอยู่ ?
โจอี้ บาซู : ผมเป็นประธานบอร์ด เซาท์ อีสต์ เอเชีย ของบริษัท เวิลด์ วีเทค ที่เกาหลีครับ ก็พัฒนาซอฟต์แวร์อยู่ที่โน่น ดูแล 57 ประเทศ บินไป-กลับเมืองไทยตลอด ทำงานมา 12 ปีแล้ว เอาจริง ๆ เราไม่ได้ชื่นชอบอะไร เพราะเราไม่ได้เรียนทางด้านวิศวะมา แต่ว่าเราไปเกิดไอเดียตรงโปรดักท์ที่เขาเอามาพรีเซ็นต์เราตอนแรก ด้วยอาชีพที่ผมเคยทำแต่ก่อน ก็คืองานอีเว้นท์ คราวนี้เราก็คิดว่ามันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เลยเอามานั่งคุยกัน และศึกษากันมาตลอด
สาเหตุที่รับอุปการะเด็ก 4 คน เริ่มต้นมาจากอะไร ?
โจอี้ บาซู : มันเริ่มจากความเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เรารู้จักกัน แล้วบางทีน้อง ๆ ที่เขามีปัญหาครอบครัว เราไม่รู้จะช่วยยังไง เลยช่วยได้เท่านี้ ผมไปเซ็นเป็นพ่อ อุ้มออกมาจากโรงพยาบาลเลย ถูกต้องตามกฎหมาย
แล้วลูกสาวคนโต เราไปมีตอนไหน ?
โจอี้ บาซู : ผมมีก่อนเป็นบาซูอีก จริง ๆ ผมเป็นคนที่ไม่เคยปิด แต่ไม่มีใครเคยถาม เพราะไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันตลอด แฟนคลับที่สนิทก็รู้ ถามว่าหวงลูกสาวไหม ก็หวงในสิ่งที่อยู่ในกรอบ ถ้านอกกรอบเราก็จะสอนให้เขารู้วิธีว่าเขาจะรับผิดชอบยังไง
ลูกสาวคนโตเราโอเคไหม กับการที่เรามีน้อง ๆ บุญธรรมมาอีก 4 คน ?
โจอี้ บาซู : สิ่งสำคัญคือเราสอนเขาตั้งแต่เด็ก ในเรื่องที่ควรจะมี นั่นก็คือจิตสำนึกที่ดีที่ควรจะมี ถ้าคุณมีในส่วนนี้คุณจะลืมเรื่องที่เป็นลบทั้งหมด ผมไม่อยากให้เขามาเป็นเหมือนเรา เราอาจจะมีปมเล็ก ๆ ในวัยเด็ก อาจจะเป็นเรื่องผิว เรื่องความกำพร้า ถามว่าคิดจะตามหาพ่อไหม มันไม่มีผล เพราะการตามหามันมีแค่ 2 คำ ซึ่งถ้าเป็นวัฒนธรรมไทย เราไม่มีตรงนี้ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ เขาจะถามกลับมาเลยว่า So What แล้วยังไง เจอแล้วทำยังไงเหรอ
เราอุปการะลูกคนที่ 2 แล้ว แล้วอีก 3 คนล่ะ มันเริ่มจากจุดไหน ?
โจอี้ บาซู : หนึ่งคือความต้องการที่เขาขาด นั่นคือเราไปเติมให้เขา เราไปเติมตรงที่เขาขาดมากกว่า ฉะนั้นจะทำยังไงในสิ่งที่เราเติมให้เขาได้ ในจุดที่เขาขาดหายไป เหมือนที่เราเคยเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน ?
โจอี้ บาซู : มันไม่นิ่งหรอกครับ บางคนอยู่ต่างจังหวัด บางคนอยู่กรุงเทพฯ
สูญเสียภรรยาเมื่อปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ?
โจอี้ บาซู : เป็นโรคประจำตัว โรคหัวใจ ความจริงเขาเป็นมานานแล้ว เราทำบริษัทที่เกี่ยวกับอาหารเสริม คอสเมติก ทำสบู่ แล้วแฟนผมเป็นคนดูแล การที่เราทำพวกโรงงานหรือผลิตแบบนี้ มันจะต้องมีการเทสต์สินค้า ลูกค้ามีเป็นร้อยเจ้า แฟนผมเขาจะเป็นคนที่ลองเทสต์เอง ที่จริงเรามีฝ่ายเทสต์ ฝ่ายดูแล แต่ด้วยความที่เขาจะต้องเอารายละเอียดไปคุยกับลูกค้า เขาจะต้องเป็นคนเทสต์เอง เราจะพลาดไม่ได้เลย
โจอี้ บาซู : คุณหมอเขาจะไม่รู้เลย เพราะเวลาเขาวินิจฉัยโรค เขาจะดูที่ตัวคนก่อน ยังไม่ได้ลงลึกถึงสาเหตุ และอีกอย่างเราก็บอกหมอไม่ได้ด้วยว่า ตัวไหนคือสาเหตุ เพราะสินค้ามีหลายตัวมาก
ตอนที่ภรรยาเริ่มป่วย เริ่มไปหาหมอ จนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันนานไหม ?
โจอี้ บาซู : ช่วงแรก ๆ ไป ๆ กลับ ๆ เพราะว่าเราต้องไปเช็กร่างกายต่อเนื่อง พอสุดท้ายเขาไป เขาก็ไปเลยกะทันหัน หัวใจหยุดเต้น ผมก็อยู่ คุณหมอก็พยายามช่วย ปั๊มหัวใจแล้วฟื้นมาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ได้มีโอกาสคุยกันจนถึงวินาทีสุดท้าย
คิดไหมว่านี่อาจจะเป็นช่วงเวลานาทีสุดท้าย ?
โจอี้ บาซู : เราก็พยายามให้กำลังใจให้เขาอดทนสู้นะ สิ่งที่เขาพูดกับเราก็คือฝากดูแลลูก ซึ่งเราก็ไม่รู้จะทำยังไง
วินาทีที่ใกล้จะครบครึ่งชั่วโมง เรารู้สึกยังไง ?
โจอี้ บาซู : คุณหมอบอกว่าให้เปิดชินบัญชรให้เขาฟัง ซึ่งผมก็เปิดนะครับ แต่เปิดได้ไม่นานแล้วแบตฯ โทรศัพท์หมด แล้วเขาก็ไปเลย ผมทำได้แค่นั้นจริง ๆ สิ่งที่คิดจุดแรกก็คือรับไม่ได้ เราก็อยู่กับลูกสองคน พยายามคุยกับเขาว่า เราคงใช้ความเข้มแข็งไม่พอ
หยุดการทำงานไป 2 เดือน ?
โจอี้ บาซู : ครับ มันนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะทำอะไรต่อ แล้วมันมีมรสุมทุกอย่างตามมา พอไม่มีเขาอยู่ดูบริษัทแล้ว ลูกค้าก็เปลี่ยนพฤติกรรม ชิ่งออกไปเป็นร้อย แล้วเรื่องประกันยิบย่อยอีกเยอะ
แล้วตอนนี้บริษัทยังอยู่ไหม ?
โจอี้ บาซู : ยังอยู่ครับ ผมดึงกลับมาแล้วมาทำเอง