x close

ชีวิตคู่คนรุ่นใหม่ แปรเปลี่ยนไป



ชีวิตคู่คนรุ่นใหม่ (momypedia)

โดย : ดาหลา

          วันนี้ภาพของการใช้ชีวิตคู่ของคนรุ่นใหม่แปรเปลี่ยนไป

          จากที่คนรุ่นก่อนเคยนิยามการใช้ชีวิตคู่เอาไว้ว่าชายเป็นช้างเท้าหน้า หญิงเป็นช้างเท้าหลัง มาปัจจุบันนี้การณ์กลับกลายเป็นว่าเท้าทั้งสองข้างพร้อมจะเดินเคียงคู่กันไป ในจังหวะที่พอเหมาะพอดีแทน.... หรือว่าในยุคสมัยนี้ นิยามของคำว่าครอบครัวอาจไม่ได้เกิดขึ้นตามขั้นที่กรอบของสังคมกำหนดเสมอไป กรอบที่กำหนดไว้ว่าเมื่อหญิงชายแต่งงานกันแล้ว ต้องมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจเริ่มจะใช้ไม่ค่อยได้เสียแล้ว เพราะบางครอบครัวไม่นึกอยากมีลูกไว้เชยชมอีกต่อไป อาจจะด้วยสภาพเศรษฐกิจ หรืออะไรก็ตาม... ถ้าเช่นนั้นคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้เขาแสวงหาอะไรจากการใช้ ชีวิตคู่กันแน่ ลองอ่านจากคู่รักคู่รส คู่นี้ดูดีกว่า

  ดร.นิธินาถ (สินธุเดชะ) - ธนากร เตลาน
          ชีวิตคู่ที่ไม่คาดหวัง

          หากต้องตั้งคำถามกับสาวสมัยใหม่ผู้เพียบพร้อมด้วยคุณวุฒิ เช่น ดร.นิธินาถ ถึงชาย หนุ่มที่เธอพึงใจ และพร้อมจะตัดสินใจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน หลากหลายคำตอบอาจจะเกี่ยวข้องกับการศึกษา และทัศนคติของฝ่ายชายที่ต้องทัดเทียมกันเท่านั้น และหากต้องตั้งคำถามกลับไปที่ฝ่ายชายผู้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงหญิงสาวที่ควรคู่กับตน แล้วนั้นอาจมีหลากหลายคำตอบอีกเช่นกันว่า หญิงนั้นควรจะครบถ้วนด้วยรูปทรัพย์และปัญญา

          แต่คำเฉลยของคนคู่รุ่นใหม่นี้กลับตรงกันข้ามกับที่เรา ๆ คิดกันเพราะต่างฝ่าย ต่างไม่เคยคาดหวังว่าคู่ชีวิตของตนนั้นควรจะหรือต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แม้ทั้งเขาและเธอต่างมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะเลือกสรรคู่ครองที่ควรคู่กับตนให้มากที่ สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ขอเพียงเลือกใครสักคนที่พร้อมจะรัก เข้าใจ ให้อภัย และยอมรับในตัวตนของกันและกันได้เท่านั้นก็เป็นพอ

          "เพื่อนของพี่ชายแนะนำมาให้เรารู้จักกัน คือคนพูดถึงเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่เราเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ฟังแล้วเกลียดเลย เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยปลื้ม เพราะคิดว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้สนใจด้วยเพราะคิดว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะมาสนใจเรา เพราะท่าทางเขาจะชอบคนสวย ๆ เก๋ ๆ เด่น ๆ แต่เราเป็นคนธรรมดามากทำงานธรรมดามาก ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีความเก๋ ความแปลก สะดุดตา เคยคิดว่าพี่ชายน่าจะชอบคนที่มีลักษณะแบบนั้นมากกว่า"

          "หลังจากวันที่กินข้าวเย็นด้วยกันวันแรก ก็ไม่คิดว่าเขาจะยังจำเราได้อยู่กะว่าถ้าเขานึกไม่ออก จำหน้าเราไม่ได้ เราเองก็จะเดินผ่านเขาไปเลยเหมือนกัน คิดว่าวันนั้นอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน"

          แต่ไม่นานต่อจากนั้นฝ่ายชายก็ โทร.มาชวนฝ่ายหญิงให้ออกไปทานข้าวกันอีกครั้งและอีกหลายครั้ง เพราะตัวฝ่ายชายเองรู้สึกว่า ยิ่งได้พูดคุยยิ่งรู้สึกประทับในความเก่งความคล่องแคล่วของฝ่ายหญิงในขณะที่ ฝ่ายหญิงเองกลับไม่คาดคิดว่าฝ่ายชายจะสนใจตน

          "ตอนเจอกันครั้งแรกเรา ต่างก็ไม่ได้ประทับใจแบบปิ๊งกันในทันทีหรอกนะครับ แต่ก็มีประทับใจบ้างที่ว่า เออ...ผู้หญิงคนนี้คุยดี มีความรู้ด้วย แถมยังคุยได้ทุกเรื่อง คือคุยกับเขาแล้วอยากคุยต่อไปเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา"

          คุณนิธินารถ เสริมว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกหวือหวาหรือแม้แต่จะคิดว่าฝ่ายชายที่ตน กำลังออกเดทด้วยนั้นจะกลับกลายมาเป็นคู่ชีวิตของตัวเองเข้าสักวันหนึ่ง เพราะคิดไว้อยู่เสมอว่าการแต่งงานสำหรับตัวเองนั้นดูเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเอาเสียเลย

          "ปุ้ม คิดอยู่เสมอนะคะว่า ถ้าไม่เจอเนื้อคู่ก็ไม่เดือดร้อนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ การแต่งงานสำหรับปุ้มมันเป็นเรื่องใหญ่มาก คิดว่าตัวเองต้องสูญเสียอิสระในชีวิตมาก สมัยก่อนเพื่อนชายคนไหนจะมาชวนแต่งงาน เราจะบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น ๆ เพราะเรารู้เลยว่ามันไม่ใช่ เราปฏิเสธมาตลอดแต่พอถึงคนนี้แค่คบกันไม่ถึง 1 ปีต่างคนต่างเริ่มรู้สึกว่า อยากอยู่ด้วยกัน มันรู้ของมันเองว่าคนนี้คือคนที่เราอยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต ความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริง ๆ เรารู้แต่ว่าเราสามารถเสียสละอะไรก็ได้ให้แก่เขา และคนคนนี้แหละที่เรารับเขาได้ทั้งข้อดีและไม่ดี"

          ด้วยการเปิดใจและยอมรับในตัวตนของกันและกันมาตั้งแต่เริ่มคบ ทั้งคู่จึงพัฒนาความสัมพันธ์กันไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคงและกลายเป็นความผูกพันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

          "เราชอบอะไรเหมือน ๆ กัน ไม่ต้องพูดกันเยอะอย่างปุ้มพูดมาคำหนึ่งเขาก็ตอบได้ ซึ่งหายากนะปุ้มว่าสำหรับปุ้มแล้วเรื่องไลฟ์สไตล์ และรสนิยมมันจะบ่งบอกถึงตัวตนของกันและกันในเรื่องของความคิด คู่เรามันคงมีความต่างกันบ้าง แต่ความต่างนั้นมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับเราไม่ใช่หลักใหญ่ในชีวิต เราถึงเดินไปได้เรื่อย ๆ พร้อมกันด้วยจังหวะเดียวกัน"

          ในส่วนนี้คุณชายรีบตอบเห็นด้วยอย่างทันทีว่า คู่ของเขามีหลายอย่างที่เหมือนกันและก็มีอีกหลายอย่างที่ต่างกัน แต่ในความต่างนั้น ต่างคนต่างเติมส่วนขาดของกันและกันเสียมากกว่าจะขัดแย้งกัน "อย่างผมไม่ใช่คนที่รอบคอบมาก แต่ปุ้มเขาจะรอบคอบ เขากล้าที่จะเดินไปพร้อมกับผม คอยเตือนผมอยู่ตลอด"

          ยิ่งศึกษายิ่งเรียนรู้ คุณปุ้มและคุณชายจึงตกลงใจร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ในท้ายสุด

          "ตั้งแต่ ปุ้มแต่งงานมากับพี่ชาย ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงอะไรก็แค่เรา 2 คนย้ายบ้านมาอยู่ด้วยกันเท่านั้นเองก่อนแต่งปุ้มคิดไว้อยู่เสมอว่าถ้าแต่งงานแล้วทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขา ไม่ว่าพี่น้องหรือญาติคนไหน ปุ้มต้องรับให้ได้หมด ตัวปุ้มเองไม่เคยคิดว่า เมื่อแต่งงานกันแล้วจะต้องดึงเขามาอยู่กับปุ้มคนเดียว โดยแยกเขาออกมาจากพ่อ แม่ พี่ น้อง"

          ทุก ๆ เย็นหากคุณชายไม่ต้องเดินทางไปยังต่างประเทศด้วยภารกิจการงาน ก็จะรีบกลับบ้านมารอคอยฝ่ายหญิง บางครั้งก็ลงมือทำอาหารไว้รอท่าเพราะมีความถนัดเรื่องทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนที่ฝ่ายหญิงกลับจนดึกดื่น คุณชายก็ยังสู้อุตส่าห์ตื่นมากลางดึกเพื่อมาอุ่นอาหารให้ทาน ระหว่างวันทั้งสองก็จะโทรศัพท์ติดต่อกันตลอดเพื่อถามไถ่ความเป็นไปของกันและกัน ยามว่างวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นวันเวลาที่มีความหมายสำหรับการใช้ชีวิตคู่ ทั้งคู่จะได้พักผ่อนอยู่ด้วยกัน หรือออกไปเล่นกอล์ฟ ขี่ม้า หรือ ดำน้ำซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ต่างก็ชื่นชอบเหมือน ๆ กัน

          "วันธรรมดาเลิก งานพี่ชายจะรีบกลับบ้านมารอบางครั้งก็ลงมือทำอาหาร เพราะเขาชอบทำ บางทีปุ้มว่างก็ช่วยเขาในครัว ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์บางครั้งเราก็ตีกอฟท์ด้วยกันบ้าง ไปนวดด้วยกันบ้าง หรือพี่ชายไปตีกอฟท์ ปุ้มไปขี่ม้า อย่างไงเราก็มีเวลา ส่วนตัวของเราบ้างคือพี่ชายเองก็มีเวลาไปไหนบ้าง ไปกับเพื่อนบ้าง ปุ้มเองก็มีเวลาไป ไหนมาไหนบ้าง"

          แต่ใช่ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมแต่ความสุขกันเท่านั้น ยามที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทุกข์ อีกฝ่ายก็จะรีบถามไถ่และช่วยขบคิดหาทางออกของปัญหานั้น ๆ ให้ซึ่งในจุดนี้เองที่คุณชายรู้สึก ว่าคุณปุ้มเป็นทั้งเพื่อนที่ปรึกษา และคู่ชีวิตที่ดีส่วนคุณปุ้ม..

          "พี่ชายเป็นที่ปรึกษาที่ดี ก่อนที่ปุ้มจะทำอะไรก็จะถามความเห็นเขาว่าทำอย่างนี้ดีไหม และถ้าเวลาที่เราเห็นเขาเครียด คือแค่เห็นหน้าก็รู้ว่าเขามีปัญหาแล้วนะเราก็จะถามเขาทันทีว่าตอนนี้เขามีปัญหาอะไรกลุ้มใจ เล่าให้เราฟังได้หรือเปล่า โชคดีที่สายงาน ของเราใกล้กันอย่างน้อย ๆ ปุ้มก็สามารถแนะนำอะไรให้พี่ชายได้บ้าง คือช่วยเขาคิดบ้าง ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง"

          ด้วยความที่เขาทั้งคู่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมากเช่นนี้นี่เอง คงจะถึงเวลาแล้วกระมังที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะมีโซ่ทองคล้องใจกันเสียที ? สำหรับเรื่องนี้แล้วคุณปุ้ม รีบเสนอความคิดเห็นขึ้นทันควันเลยว่า..

          "พี่ชายบอกว่าถ้าปุ้มมีลูกนี่ ปุ้มจะไม่สนใจเขาเลย และเขาคิดว่าตอนนี้ขอให้สนใจ เขาไปก่อนคือเวลาที่คิดว่าจะเจียดให้เขานี่ เรายังรู้สึกเลยว่าเราทำให้เขาได้ไม่ดีนัก บางทีปุ้มกลับมาตอนตี 4 ก็มีนะงานให้คำปรึกษานี่ไม่ใช่งานเบา ทำงานเยอะ ทำงานหนักไม่ใช่ทำงาน 8 โมงครึ่งแล้วเลิก 5 โมงครึ่งบางทีเราไม่รู้เวลาเลิกงานด้วยซ้ำ ระหว่างนั้นเราก็โทรคุยกัน พอกลับมาบ้านบางทีพี่ชายก็จะลงมาอุ่นข้าวให้กิน"

          ส่วนคุณชายเองก็คิดว่า..

          "ผมดูแล้วนะว่าเวลาผู้หญิงมีลูกแล้ว ชีวิตคู่เขาจะเปลี่ยนไปเลยจากการที่ทำอะไรด้วยกันมันจะเริ่มหมดแล้ว ผู้หญิงจะให้ความสนใจที่ลูกมากกว่า ไปไหนสองคนก็จะห่วงแต่ลูก จะระแวงแต่ลูก คือถ้าจะให้เขามีลูกเลยตอนนี้ เขาเองก็ยังไม่อยากมีหรอก เพราะจะให้เขาเลิกทำงานตอนนี้เขาคงยังไม่อยากเลิก"

          ถึงแม้เวลานี้เขาทั้ง 2 ยังไม่พร้อมสำหรับการมีลูกแต่คุณปุ้มและคุณชายต่างก็ร่วม ชีวิตกันเป็นครอบครัวในนิยามของการพยายามทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่ดีของกัน และกันร่วมรับรู้อารมณ์ทั้งในยามทุกข์และสุข และที่สำคัญยอมรับในตัวตนของกันและกัน ไม่คาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้วกระมังสำหรับคนคู่คู่หนึ่งที่จะสร้างสานฝันร่วมกันต่อไป




ขอขอบคุณข้อมูลจาก





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ชีวิตคู่คนรุ่นใหม่ แปรเปลี่ยนไป อัปเดตล่าสุด 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 10:51:40 16,811 อ่าน
TOP