เวลาที่เรามีสิวขึ้นบนใบหน้า นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดจากอาการอักเสบและรอยแผลแล้ว บางครั้งยังทิ้งหลุมสิวให้กลุ้มใจยิ่งกว่า เพราะเจ้าหลุมสิวเหล่านี้เป็นเหตุให้ผิวหน้าดูขรุขระ ไม่เรียบเนียน แต่งหน้ากลบก็ลำบาก ทำเอาหลายคนหมดความมั่นใจ ซ้ำร้ายอาจโดนล้อว่าหน้าปรุเหมือนผิวพระจันทร์ การมีหลุมสิวจึงเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สำหรับใครที่ประสบปัญหานี้อยู่ กระปุกดอทคอมจะพามาดูต้นตอว่า หลุมสิว เกิดจากอะไร แล้วจะมีวิธีรักษาหลุมสิวให้เห็นผลได้อย่างไรบ้าง
หลุมสิว เกิดจากอะไร
หลุมสิวสามารถแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับ ดังนี้
1. Rolling Scar เป็นระดับความลึกทั่วไป มีความกว้างของปากหลุมประมาณ 1-4 มิลลิเมตร หลุมตื้นเป็นเพียงแอ่งเว้าลงไปประมาณ 0.1-0.5 มิลลิเมตร กินพื้นที่ผิวแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหลุมสิวระดับนี้เกิดจากการแกะสิวในระดับที่ไม่ลึกมาก สามารถรักษาได้ง่ายกว่าระดับอื่น ๆ
2. Box Scar เป็นระดับรุนแรงปานกลาง ความกว้างของปากหลุมประมาณ 4-5 มิลลิเมตร มีความลึกแค่ชั้นผิวเท่านั้น ยังไม่ลึกถึงรูขุมขน หากดูแลรักษาให้ดีก็สามารถกลับมามีผิวเรียบเนียนได้
3. Ice Pick Scar เป็นระดับรุนแรงที่สุด มีลักษณะปากหลุมแคบ ประมาณ 2 มิลลิเมตร หลุมลึกมาก จึงรักษาได้ยากและใช้เวลานานในการฟื้นฟูผิวให้เต็ม การรักษาทำได้เพียงช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นเท่านั้น
วิธีรักษาหลุมสิว
1. วิธีรักษาหลุมสิวแบบธรรมชาติ
2. ยารักษาหลุมสิว
การรักษาด้วยยา สามารถแบ่งออกเป็นยาทาและยากิน เหมาะสำหรับรักษารอยหลุมตื้น ๆ ซึ่งมักจะเป็นรอยหลุมระดับทั่วไป
- ยาทา ยาที่นำมาใช้แต้มให้ผิวตื้นขึ้นมีอยู่หลายชนิด เช่น กรดวิตามินเอ, Retin A, TCA, AHA, BHA, PHA ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออก พร้อมซ่อมแซมให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น หรือเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินอี และ BHA ก็สามารถช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวได้เช่นกัน ข้อดีของการใช้ยาทาเหล่านี้คือ ช่วยลดรอยแดง รอยดำ ส่วนข้อเสียคือ ถ้าใช้ความเข้มข้นสูงอาจเกิดการระคายเคือง แสบ แดง คัน หรือด่างขาวได้
- ยากิน ยาที่สกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือ Retinoids สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างผิวใหม่ เพื่อเติมเต็มรอยหลุม และยังช่วยควบคุมความมันได้อีกด้วย แต่เนื่องจากยาชนิดนี้เป็นยาที่มีผลต่อไขมันทั่วร่างกาย ระหว่างใช้อาจทำให้ตาแห้ง ผิวแห้ง ปากแห้งได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ อย่าไปซื้อมากินเอง
3. รักษาหลุมสิวถาวรด้วยเครื่องมือทางการแพทย์
วิธีนี้เป็นการรักษาที่เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวขนาดใหญ่มาก จนยาทาและยากินก็ช่วยไม่ไหว ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง ร่วมกับการทายาและครีมบำรุงร่วมด้วย โดยหลัก ๆ นวัตกรรมการรักษาหลุมสิว มีดังนี้
- เลเซอร์ (Laser) มีทั้งกลุ่ม Fractional CO2, Fraxel, Fine scan, Fotona โดยกรอผิวด้านบนให้เรียบและกระตุ้นคอลลาเจนให้แผลเต็มมากขึ้น เหมาะกับหลุมสิวที่มีขอบชัด มีลักษณะเป็นหลุมลงไป หรือในกลุ่มที่มีรูขุมขนกว้าง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง ทุก ๆ 4-6 สัปดาห์ หลังการรักษาจะมีสะเก็ดบาง ๆ และรอยแดง ซึ่งจะหลุดไปเองได้ แต่ระหว่างนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และทาครีมกันแดด SPF มากกว่า 30 เพื่อปกป้องผิวที่กำลังฟื้นฟูอยู่
- คลื่นวิทยุ (Radiofrequency - RF) เป็นกลุ่มนวัตกรรมที่คล้ายกับเลเซอร์ คือปล่อยพลังงานให้เกิดความร้อนที่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนที่ผิวชั้นล่าง ข้อดีคือ ผลข้างเคียงเรื่องหน้าแดง รวมถึงการพักฟื้นต่าง ๆ ก็จะใช้เวลาสั้นกว่ากลุ่มเลเซอร์ โดยที่ผลของการรักษาหลุมสิวไม่ค่อยต่างกัน
- ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้หลุมสิว ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นและกลับมาใกล้เคียงผิวเดิมของเราให้มากที่สุด เหมาะกับผู้ที่เป็นหลุมสิวชนิด Box Scar และ Rolling Scar ที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่ลึกมาก วิธีนี้เห็นผลรวดเร็วก็จริง แต่ไม่ถาวร เนื่องจากสารเติมเต็มจะสลายตัวไปในเวลา 6-12 เดือน
4. การเลาะพังผืดใต้ผิวหนัง
5. ผ่าตัดรักษาหลุมสิว
วิธีป้องกันการเกิดหลุมสิว
สำหรับการป้องกันหลุมสิวที่ดีที่สุด คือพยายามไม่ให้ตัวเองมีสิวอักเสบ หรือถ้ามีสิวลักษณะนี้เกิดขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบรักษาอย่างถูกต้อง ไม่บีบ แคะ แกะ เกา เพราะมือของคุณอาจมีเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นได้ และอย่าลืมว่ายิ่งสิวมีขนาดใหญ่ก็มีโอกาสที่จะทิ้งหลุมสิวได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังควรรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด ที่มีไขมันสูง เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวประเภท Non-Comedogenic พร้อมทั้งล้างหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบนั่นเอง
วิธีรักษาหลุมสิวที่เรารวบรวมมานี้ สามารถเลือกได้ตามอาการและระดับความรุนแรง และอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ดังนั้นต้องใจเย็นและอาศัยความต่อเนื่องในการรักษากันนิดหนึ่ง รับรองว่าผิวที่เป็นรอยหลุมสิวจะกลับมาเรียบเนียน เรียกความมั่นใจกลับมาได้แน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : si.mahidol.ac.th, skinhospital.co.th, vejthani.com, kanwaraclinic.com