x close

สกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กัน มีอะไรบ้าง ถ้าไม่อยากหน้าพัง ต้องรู้ !

          สกินแคร์ที่ห้ามใช้ร่วมกัน มีอะไรบ้าง เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวพัง อาจมาจากส่วนผสมในสกินแคร์ที่เราใช้อย่างผิด ๆ มาดูกันหน่อยว่า สกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กัน มีตัวไหนและควรเลือกใช้อย่างไรดี
ครีมบำรุงผิวหน้า

          ใคร ๆ ก็อยากมีผิวสวย เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย และจุดด่างดำ จึงต้องใช้ครีมบำรุงผิวหน้าหรือสกินแคร์เป็นประจำ แน่นอนว่าสกินแคร์รูทีนก็คงไม่ได้ใช้แค่ชนิดเดียว อย่างน้อยก็ต้องมีเดย์ครีม ไนท์ครีม ไหนจะต้องทาเรียงแต่ละตัวเป็นสเต็ป ๆ อีก แต่ถึงอย่างนั้นบางคนกลับพบว่า ทำไมยิ่งใช้ครีมบำรุงหน้ายิ่งแพ้ ผิวอ่อนแอ จากที่ไม่เคยเป็นสิวก็มีผดผื่นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นอาจเป็นเพราะนำสกินแคร์ที่ห้ามใช้ร่วมกันมาจับคู่ ซึ่งเป็นเหตุผลให้เกิดปัญหาผิวหลายอย่างตามมาก็เป็นได้ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ไม่ควรใช้คู่กันอยู่ ดังนั้นถ้าไม่อยากหน้าพัง เราไปดูพร้อม ๆ กันดีกว่าว่า สกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กัน มีอะไรบ้าง และควรเลือกอย่างไรดี

สกินแคร์ที่ห้ามใช้ร่วมกัน

มีอะไรบ้าง ?

1. Vitamin C + Retinol

          ทั้ง Vitamin C และ Retinol น่าจะเป็นชื่อส่วนผสมในสกินแคร์ที่หลายคนโปรดปราน เพราะสรรพคุณล้นเหลือมาก ทั้งลดริ้วรอย ปรับผิวให้สว่างกระจ่างใส และกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวอ่อนเยาว์ ดูมีน้ำมีนวล แต่ถ้าใช้ด้วยกันผิวอาจพังไม่รู้ตัว ! เนื่องจาก Retinol จะทำงานได้ดีที่ค่า pH 5.5-6 แต่ Vitamin C ทำงานที่ค่า pH น้อยกว่า 3 ทำให้แทนที่ทา 2 ตัวแล้วจะได้ผลดี กลับกลายเป็นลดทอนประสิทธิภาพของกันและกันแทน อีกอย่างหนึ่งทั้งคู่นั้นมีความระคายเคืองต่อผิวได้ ถ้าเกิดว่าใช้ร่วมกันก็มีโอกาสที่จะเกิดอาการระคายเคือง แสบ แดงขึ้นมา
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : เลือกทา Vitamin C ในตอนเช้า ควบคู่กับครีมกันแดด แล้วบำรุง Retinol ในตอนกลางคืน

2. Vitamin C + AHA

          แม้จะทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิวและช่วยเผยความกระจ่างใสเหมือนกัน แต่ส่วนผสมทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ควรใช้ร่วมกันนะคะ เพราะ Vitamin C กับ AHA ที่มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งคู่ จึงทำให้ผิวหน้าเสียสมดุล อ่อนแอง่าย เกิดความระคายเคือง เนื่องจากความเป็นกรดที่สูงเกินไป แถม AHA ยังทำให้ประสิทธิภาพของ Vitamin C ลดลงด้วยค่ะ
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : ถ้าอยากใช้ทั้งคู่ Vitamin C ควรบำรุงในตอนเช้า ส่วน AHA ควรใช้ตอนกลางคืน เพื่อป้องกันผิวโดนทำร้ายจากแสงแดด

3. Vitamin C + Benzoyl Peroxide

          Benzoyl Peroxide เป็นส่วนประกอบสำคัญในยารักษาสิวอย่าง Benzac เพราะช่วยละลายหัวสิวได้ดีมาก แต่จะมีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแสบ คันยิบ ๆ และผิวเป็นรอยแดงได้ แล้วยิ่งถ้านำมาใช้คู่กับ Vitamin C ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเป็นกรดเหมือนกัน ก็จะยิ่งทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบมากกว่าเดิมได้
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : ใครที่มีสิวควรรักษาสิวให้หายเสียก่อน แล้วค่อยใช้ Vitamin C เพื่อเพิ่มความกระจ่างใสและลดจุดด่างดำทีหลัง
ครีมบำรุงผิวหน้า

4. Retinol + Benzoyl Peroxide

          การใช้สกินแคร์คู่นี้ร่วมกันจะทำให้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอยของ Retinol ลดลง ในขณะที่คุณสมบัติการลดสิวของ Benzoyl Peroxide ก็ทำได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้ผิวแห้งมากและระคายเคืองตามมา พูดง่าย ๆ ว่าใช้ร่วมกันแล้วไม่คุ้มค่า แถมเสี่ยงหน้าพังอีกต่างหาก
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : แนะนำว่าควรเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือใช้ต่างเวลาจะดีกว่า

5. Retinol + AHA/BHA

          คู่นี้เป็นการปะทะกันของส่วนผสมที่ช่วยเรื่องผลัดเซลล์ผิว ฟังดูเหมือนจะดีนะ เพราะ Retinol นั้นเรามักจะพบในสกินแคร์ประเภทลดเลือนริ้วรอย ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เช่นเดียวกับ AHA และ BHA ทำให้หลายคนนึกว่าใช้ด้วยกันแล้วจะยิ่งผลัดผิวแบบคูณสอง แต่คิดผิดแล้วค่ะ เพราะถ้าเราใช้ทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน จะทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปจนเกิดความระคายเคือง แสบคัน ผิวจะบางและไวต่อแดด ยิ่งหมองคล้ำง่ายไปอีก
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : ส่วนผสมทั้งคู่ควรใช้ในเวลากลางคืน แนะนำว่าใช้สลับคืนกันจะปลอดภัยมากกว่า

6. Retinol + Scrub

          อย่างที่บอกว่า Retinol เป็นส่วนผสมที่ใครหลายคนเลือกใช้ เพราะว่าทั้งปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผลัดเซลล์ผิว และลดเลือนริ้วรอยได้ด้วย แต่มีข้อเสียคือ ทำให้ผิวระคายเคืองง่าย ดังนั้นพอมาใช้คู่กับสครับขัดผิวก็จะยิ่งทำให้ผิวที่อักเสบอยู่น้อย ๆ เกิดอาการระคายเคือง แสบคัน และแห้งลอกอีกด้วย
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : หากช่วงนี้สาว ๆ ใช้ Retinol อยู่ ก็ให้เว้นการสครับผิวไปก่อน หรือใช้ในปริมาณที่พอดี สครับแค่สัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว
ครีมบำรุงผิวหน้า

7. Salicylic + Glycolic

          กลุ่มกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็น BHA ส่วนกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) จะอยู่ในกลุ่ม AHA ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ก็จะมีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิว จริง ๆ ทำงานร่วมกันได้ผลดี แต่ว่ามีโอกาสที่จะระคายเคืองมากขึ้น หากมีค่าความเข้มข้นสูงเกินไป แทนที่จุดด่างดำ ริ้วรอยจะดีขึ้น อาจทำให้ผิวแห้งลอกง่าย ถือเป็นการทำร้ายผิวให้อ่อนแอลงค่ะ
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : ควรเลือกใช้เพียง 1 ตัว และควรเว้นระยะในการใช้ด้วยนะคะ ไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน

8. Niacinamide + AHA

          แม้ว่าส่วนผสมทั้งสองนี้จะไม่ทำให้ผิวระคายเคือง แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมกันค่ะ เพราะ Niacinamide หรือ Vitamin B3 จะช่วยเสริมเกราะให้ผิวแข็งแรงและจะทำงานได้ดีในค่า pH ที่เป็นกลาง ในขณะที่ AHA เป็นสารที่ทำให้ค่า pH บนผิวไม่สมดุล เมื่อใช้ร่วมกันจึงทำให้ส่วนผสมทั้ง 2 อย่างทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร และเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า ๆ
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : แนะนำว่าให้เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น หรือเปลี่ยนเป็นใช้ AHA คู่กับ Ceramides ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ดูเปล่งประกาย หลังจากถูกผลัดเซลล์ผิวเก่าออกไปแล้วค่ะ

9. Niacinamide + Vitamin C

          Niacinamide มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูผิว กระชับรูขุมขน ลดเลือนจุดด่างดำ และปรับสีผิวหมองคล้ำ ส่วน Vitamin C ก็ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ต่อต้านริ้วรอย และเพิ่มความกระจ่างใสให้ได้เหมือนกัน ส่วนผสมทั้ง 2 ตัวจึงช่วยเสริมทัพให้ผิวเรียบเนียน ดูไบรท์ขึ้น ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปถ้าเป็นสกินแคร์ที่กำหนดสูตรอยู่ในขวดเดียวกัน และผลิตจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ต้องระวังว่าเมื่อส่วนผสมทั้งสองรวมกันอยูู่ในอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน Vitamin C อาจจับตัวกับ Niacinamide และสามารถก่อให้เกิดสารใหม่อย่าง “Niacin” สารสีเหลืองที่อาจทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง ในคนที่ผิวบอบบางได้
 

  • วิธีใช้ให้ถูก : ถ้าเราไม่มั่นใจ หรือส่วนผสมแยกสูตรเป็นคนละขวด ควรทาสลับกันวันเว้นวัน หรือสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยก็ได้ แต่หากจำเป็นต้องทาด้วยกันจริง ๆ ควรเว้นช่วงการทาทั้ง 2 ตัวให้ห่างกันอย่างน้อย 30 นาที
ครีมบำรุงผิวหน้า

          รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมเช็กส่วนผสมในสกินแคร์ให้ดีก่อนใช้ จะได้เลือกบำรุงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผิวจะได้ไม่พัง และไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังนั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : instyle.com, everydayhealth.com, allure.com

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สกินแคร์ที่ไม่ควรใช้คู่กัน มีอะไรบ้าง ถ้าไม่อยากหน้าพัง ต้องรู้ ! อัปเดตล่าสุด 5 พฤษภาคม 2566 เวลา 11:44:17 45,182 อ่าน
TOP