ปัญหาทำแท้งไม่ปลอดภัย เวลาเปลี่ยนสังคมปรับ?!? (ไทยโพสต์)
ในปัจจุบันปัญหาการทำลักลอบทำแท้งเถื่อนยังคงมีให้เห็นกันอยู่มากมาย ซึ่งผลพวงจากปัญหาดังกล่าวนั้นมักจะตามมาด้วยการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนในระหว่างทำแท้งเถื่อน รวมถึงการเจ็บป่วยอื่น ๆ และเพื่อหาแนวทางป้องกันปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัย จึงได้จัดให้มีการสัมมนาขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยต่อไป
ศ.เกียรติคุณ นพ.กำแหง จาตุรจินดา ประธานมูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ของสตรี (แห่งประเทศไทย) กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์หันไปทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยนั้น มาจากการที่พวกเขาไม่ได้รับบริการที่ถูกกฎหมาย ประกอบกับความจำเป็นที่จะต้องยุติการตั้งครรภ์ เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะมีบุตรจากหลากหลายสาเหตุ ดังนั้นจึงหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกฎหมายก็ตาม
โดยในส่วนของ ศ.นพ.กำแหง ได้กล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยผ่านมุมมองของตนว่า วิธีแรกนั้นต้องป้องกันตนเองไม่ให้ท้องก่อน ไม่ว่าจะเป็นรับประทานยาคุมกำเนิด หรือการทำหมันโดยการใส่ห่วงทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เป็นต้น แต่ในกรณีผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และต้องการหยุดการตั้งครรภ์ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การรับประทานยาปรับฤดู เพราะการเข้าถึงยานี้ยิ่งเร็วเท่าไรก็จะลดอันตรายจากการตั้งครรภ์ได้มากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการทำแท้งที่ว่าไม่สมควรเกิดขึ้นในประเทศไทยเพราะเป็นเมืองพุทธเพราะอย่างไรก็ตาม เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ทุกศาสนา และถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้หญิงมักตกเป็นจำเลยเพียงคนเดียวของสังคมเกี่ยวกับเรื่องทำแท้ง และบางครั้งผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีในการทำแท้ง จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจเรื่องการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของผู้หญิงในระหว่างที่ทำแท้งเท่าที่ควร ตลอดจนทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องของการทำแท้ง โดยที่สังคมไม่ได้มองว่าการยุติการตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายเรื่องของการสร้างอนามัยเจริญพันธุ์ที่ดีตั้งแต่ปี 2539 แล้ว
รศ.ดร.กฤตยาได้ยกตัวอย่างเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ที่ตามมาตรา 276 ในวรรคของมาตรา 305 ที่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ ในกรณีที่มีปัญหาทางสุขภาพกายสุขภาพจิต ตลอดจนมีปัญหาเรื่องของการถูกข่มขืน แต่ในทางปฏิบัติจริงแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ยังไม่บริการให้ผลที่ตามมาคือ ผู้หญิงเข้าไปรับบริการที่ไม่ปลอดภัยนั่นเองดังนั้น ทางออกสำหรับการแก้ไขปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยนั้น รศ.ดร.กฤตยากล่าวว่า จำเป็นต้องมีเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงจะสามารถลดปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยได้โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องลงมาดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน มากกว่าการเข้าไปดำเนินคดีกับคลินิกทำแท้งเถื่อน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการทำแท้งไม่ปลอดภัยว่า หากเรายอมให้ผู้หญิงสามารถตัดสินใจได้เอง เช่นการให้ผู้หญิงสามารถซื้อยาคุมกำเนิดได้เอง รวมถึงการอนุญาตให้ยาคุมกำเนิดนั้นมีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ตลอดจนราคาไม่แพงมากนัก ปัญหาเรื่องของการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยก็จะไม่เกิดขึ้น พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะสร้างความปลอดภัยให้แก่เด็กแล้ว ก็จะทำให้ผู้หญิงมีสิทธิและเสรีภาพในการตัดสินใจด้วยตัวของตนเองมากขึ้น
พร้อมกันนี้ รศ.ดร.ทวีเกียรติกล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว สนับสนุนในเรื่องของการคุมกำเนิดด้วยวิธีที่ถูกต้องมากกว่าการทำแท้ง แต่ในกรณีที่เราได้มีการสอนให้เด็กวัยรุ่นรู้จักรักนวลสงวนตัวแล้ว แต่เขายังทำผิดพลาดจนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้น อาจารย์แนะนำว่าก็คงต้องยอมให้เด็กคุมกำเนิด แต่หากการคุมกำเนิดแล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็ต้องยอมให้เขายุติการตั้งครรภ์โดยมีเหตุผลจำเป็น แต่ถ้าหากหญิงตั้งครรภ์เต็มใจที่จะไม่ยุติการตั้งครรภ์ ทางภาครัฐนั้นจำเป็นต้องดูแลทั้งเด็กและแม่ อาจจะเป็นในลักษณะของการให้ทุนทรัพย์ในการเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
