x close

ท้องนี้แบบไหนผิดปกติ (ไตรมาสแรก)



ท้องนี้แบบไหนผิดปกติ (ไตรมาสแรก) (ดวงใจพ่อแม่)


โดย : น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์

          ตอนท้องร่างกายของผู้หญิงเรามีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงกันบ้าง การเปลี่ยนแปลงปกติเป็นยังไง แล้วที่ไม่ปกติมันเป็นยังไง สำหรับคุณแม่มือเก๋าทั้งหลายถ้ารู้มาบ้าง ก็ถือว่าเป็นการทบทวนก็แล้วกันนะครับ

          หลักปฏิบัติสำคัญสำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคนก็มีอยู่ง่ายๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามปกติ คุณแม่ต้องเข้าใจและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกวิธี ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกตินั้นคุณแม่ต้องรู้ถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น แค่ไหนต้องไปพบแพทย์ และต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา

          แบบนี้ “ปกติ”

          โดยปกติแล้ว 90% ของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็มักจะไม่มีอะไรแทรกซ้อน มีเพียง 10% เท่านั้นเองครับที่อาจจะมีปัญหาให้หมอต้องเหนื่อยกันบ้าง

          เพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็ขอแบ่งระยะเวลาของการท้องทั้งหมดเป็น 3 ไตรมาสก็แล้วกันนะครับ ในไตรมาสแรกหรือใน 12 สัปดาห์แรกก็เป็นช่วงที่ร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ จากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งแต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแม่ซะแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะ ที่พบได้บ่อยๆ ในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ปกติก็เห็นจะหนีไม่พ้นสามข้อนี้ครับ

          คลื่นไส้ อาเจียน

          ปัสสาวะบ่อย

          ถ่วงท้องน้อย เจ็บตึงปีกมดลูก

          อาการคลื่นไส้อาเจียน

          ประจำเดือนขาด แถมยังอาเจียนโอ้กอ้าก ใครรู้เข้าก็ต้องเดาไว้ก่อนเลยว่าตั้งครรภ์ เพราะมากกว่าครึ่งของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะมีการแพ้ท้อง ครึ่งที่เหลือก็นับว่าโชคดีไป เพราะไม่มาลองแพ้ดูเองก็ไม่รู้รสชาติหรอกครับ ว่าแพ้ท้องมันทรมานแค่ไหน อาการแพ้ท้องนี้จะเริ่มแพ้กันตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ หรือประจำเดือนขาดได้ 2 อาทิตย์ แล้วแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาแพ้หนักที่สุดก็สัปดาห์ที่ 9 หลังจากนั้นก็จะเบาลงเรื่อยๆ แล้วมาหายสนิทตอน 14 สัปดาห์ คนที่แพ้ท้องบางคนก็แพ้นิดเดียว แต่บางคนก็อาจจะแพ้หนัก คนที่แพ้น้อยๆ ก็อาจมีอาการแค่เหนื่อยๆ เพลียๆ เหมือนไม่มีแรง ขี้เกียจ อยากนั่งๆ นอนๆ ทั้งวัน ใครชวนไปไหนก็ไม่อยากไปทั้งนั้น อยากจะนอนอยู่บ้านมากกว่า จะกินอะไรมันก็ไม่อร่อยไปเสียหมดลิ้นมันเลี่ยนๆ ขมๆ ยังไงชอบกล ขนาดน้ำเปล่าธรรมดานี่กินแล้วยังขมเลย ก็เลยไม่ค่อยได้ดื่มน้ำเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกปากแห้ง ผิวแห้งไปหมด ตอนเย็นๆ ก็รู้สึกเหนื่อยมีไข้รุมๆ อีกด้วย

          ส่วนคนที่แพ้มากก็อาจแพ้ขนาดต้องกอดชักโครกนอนกันเลยทีเดียวครับ เงยหน้าขึ้นมาก็อาเจียน อาเจียนจนเหนื่อยแล้วก็ซบอยู่บนฝาชักโครกนั่นแหละ เดี๋ยวก็อาเจียนต่ออีก กินอะไรก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่ท้องก็หิว แต่ปากมันไม่รับ ถ้ามีอาการแพ้มากๆ กินอะไรไม่ได้เลยก็จะทำให้เกิดอาการขาดน้ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย หมดแรง เป็นลม ผิวแห้ง ตาโบ๋ ถ้ามีอาการมากขนาดนี้ก็ควรไปหาคุณหมอดีกว่าครับ ถ้ากินอะไรไม่ได้เลยจนชักจะแย่แล้วก็อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ ซึ่งในน้ำเกลือนี้ก็จะมีน้ำเกลือแร่ กลูโคสเพื่อทดแทนฟื้นฟูร่างกายให้มีแรงสดชื่นขึ้น

          คุณพ่อเองก็ต้องเข้าใจเรื่องของการแพ้ท้องด้วยนะครับ หากแต่ก่อนตอนที่ยังไม่ท้องคุณเธอเป็นคนเอาใจยาก ตอนแพ้ท้องนี่สิยิ่งจะเอาใจยากไปกันใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน อาหารที่เคยชอบก็อาจไม่ชอบ ของไม่ชอบก็อาจชอบขึ้นมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ คิดแล้วปวดหัว คุณแม่ที่แพ้ท้องมากกินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด จนบางทีก็ท้อแทบไม่อยากจะกินอาหารเลย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องฝืนกินบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี กินบ้างอาเจียนบ้างก็ไม่ต้องไปเสียดาย เพราะช่วงนี้ความรู้สึกของปากกับท้องมันไม่ตรงกัน ถึงปากไม่อยากกิน แต่ท้องมันก็ยังหิวอยู่ เพราะถ้าคุณแม่ปล่อยให้ท้องว่าง น้ำย่อยจะหลั่งออกมาตามเวลาปกติ หากไม่มีอาหารลงไปเลยก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกแสบร้อนในท้อง จนบางทีต้องอาเจียนออกมาเป็นน้ำลายปนย่อยเขียวๆ อีกทั้งระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดต่ำลงมากเกินไป ทำให้ยิ่งอ่อนเพลียหนักไปอีก... คุณพ่ออาจจะหาขวดโหลน่ารักๆ ใส่คุกกี้ ขนมปังกรอบ หรือลูกอมหวานๆ เอาไว้ให้คุณแม่กินเล่น หรือเป็นพวกขนมหวาน น้ำผลไม้ ใส่ตู้เย็นไว้ ถ้าเป็นน้ำอัดลมควรเลือกที่เป็นน้ำสี เช่น น้ำแดง น้ำส้ม เพราะถ้าเป็นน้ำดำจะมีกาเฟอีนผสม ไม่ดีสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ แต่ถ้าไม่ชอบน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยังเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายด้วย

          ถ้ายังอาเจียนอยู่ คุณพ่อควรใช้วิธีให้คุณแม่กินมื้อละนิด พอให้อยู่ท้องและกินบ่อยๆ เลือกอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ให้พลังงานสูง ไม่คาว ไม่มันเลี่ยน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง และเมื่อกินแล้วอย่าเพิ่งให้คุณแม่นอนพักทันที พาคุณแม่ไปเดินเล่นย่อยอาหารสักครึ่งชั่วโมงเสียก่อน เพราะว่าฮอร์โมนที่ปลี่ยนแปลงจะทำให้หูรูดส่วนบน ของกระเพาะอาหารคลายตัว หากล้มตัวลงนอนทันที อาหารอาจไหลย้อนกลับขึ้นมา คุณแม่ก็อาเจียนออกหมด และก่อนเข้านอนถ้าคุณแม่ได้กินอะไรสักนิด ตื่นมาตอนเช้าจะคลื่นไส้น้อยลง

          หากคุณแม่อาเจียนมาก คุณพ่อควรช่วยเอามือลูบหลังเบาๆ หาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น หาน้ำอุ่นๆ ให้คุณแม่จิบเพื่อช่วยลดอาการพะอืดพะอม และเพื่อล้างกรดน้ำย่อยที่ตกค้างอยู่ในหลอดอาหารลงให้หมดไป กรณีที่อาการหนักมาก เช่น หน้ามืด เป็นลม มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปากแห้ง ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ และหาทางป้องกันหรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้น อาจต้องกินยาแก้ปวดแก้อาเจียนร่วมด้วย แต่ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนครับ

          ยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ท้องก็มีจำกัด ที่ใช้กันบ่อยๆ ก็เป็นอันเดียวกันกับที่ใช้รักษาอาการเมารถเมาเรือนั่นเองครับ ยาที่ว่านี้ก็ใช้ได้ปลอดภัย ใช้กันมานานมากแล้วโดยยังไม่มีรายงานว่ามีผลต่อลูกในครรภ์ แต่ข้อเสียก็คือกินแล้วบางทีก็ไม่หายยังอาเจียนอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น จะพึ่งแต่ยางอย่างเดียวก็คงไม่ได้หรอกครับ การดูแลปฏิบัติที่ดีอาจจะช่วยได้เยอะ

          1. อันดับแรกเลยคุณแม่ก็ควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ไม่คาว ไม่มัน กลิ่นน้อยๆ

          2. กินทีละน้อยๆ อย่ากินทีเดียวเยอะๆ อย่ากินจมอิ่มเพราะเดี๋ยวก็จะรู้สึกอยากอาเจียนตามมา กินนิดกินหน่อยไปเรื่อยๆ ดีกว่า รวมๆ แล้วทั้งวันก็กินได้เยอะกว่ากินเป็นมื้อๆ ด้วยซ้ำไป

          3. อาหารก็ควรกินกันตอนร้อนๆ ควันขึ้นฉุยๆ ค่อยๆ กินไปดีกว่าจะมากินตอนเย็นชืดแล้ว ข้าวเย็นชืด ข้าวต้มค้างคืน ยิ่งกินก็ยิ่งคลื่นไส้ไปกันใหญ่ ของคาวๆ ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปเน้นดีกว่าครับ เลือกกินของที่พอกินได้ กินแล้วไม่อาเจียน บางคนก้นน้ำเต้าหู้ได้ กินแล้วไม่อาเจียนก็กินแต่น้ำเต้าหู้ไปก่อน ของที่ทดแทนของคาวได้ดีที่ผมแนะนำแล้วค่อนข้าง WORK ดีนั้นก็คือ ไอศกรีมนั่นเองครับ ไอศกรีมมีทั้งน้ำ น้ำตาล ไขมัน ให้พลังงานได้สมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ค่อยมีความคาว แถมกินลงไปแล้วละลายไหลผ่านกระเพาะลำไส้ไปดูดได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายได้รับสารน้ำ น้ำตาล ไขมันอย่างเหลือเฟือ มาอาเจียนทีหลังมันก็ไหลลงไปหมดซะแล้ว หลายคนน้ำหนักขึ้นตั้งเยอะทั้งๆ ที่กำลังแพ้ท้องอยู่

          แต่คุณแม่หลายคนก็แพ้ท้องไม่หายไม่ว่าจะใช้สูตรไหน จนบางทีก็ท้อแท้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ยากหรอกครับ การรักษาแพ้ท้องที่เป็นหนักๆ ก็เหมือนกับการรักษาอาการอกหักนั่นเองครับ “ต้องอดทนกล้ำกลืนกับมัน แล้วสุดท้ายมันก็หายได้เองด้วยกาลเวลา”

          คุณแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าไม่ได้กินอะไรเลยจะมีผลต่อลูกหรือเปล่า ...ก็ไม่ต้องห่วงลูกเลยครับ ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า เพราะลูกในท้องจะมีไข่แดง หรือถุงอาหารติดตัวมาด้วย ถุงอาหารที่ว่านี้ก็ทำหน้าที่เหมือนกับใบเลี้ยงเวลาเราปลูกเมล็ดถั่วนั่นเองครับ ถุงอาหารนี้ก็มีอาหารเพียงพอเหลือเฟือสำหรับลูกใน 12 สัปดาห์แรก หลังจาก 12 สัปดาห์ ถุงอาหารก็จะเริ่มฝ่อสลายหายไป ถึงตอนนี้แหละครับที่ลูกเริ่มพึ่งพาอาหารจากแม่ ตอนนั้นคุณแม่ก็มักหายจากอาการแพ้ท้องแล้วครับ

          อย่างน้อยเวลาแพ้ท้องคุณแม่อาจให้กำลังใจตัวเองบ้างก็ได้ คิดในแง่ดีสิครับ เพราะว่า “คนที่แพ้มักไม่แท้ง ส่วนคนที่แท้งก็มักไม่แพ้” คิดอย่างนี้แล้ว คุณแม่หลายๆ คนก็อาจจะฝืนทนอาการแพ้ท้องด้วยความดีใจก็ได้

          อาการปัสสาวะบ่อย  

          เป็นอาการที่คนท้องอ่อนๆ เป็นกันแทบทุกคน ก็ตอนท้องมดลูกมันก็ต้องขยายตัวเรื่อยๆ พอมดลูกโตขึ้นมันก็จะไปกดเบียดทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้รู้สึกปัสสาวะบ่อยขึ้น อาการนี้ก็มักเป็นในช่วง 12 สัปดาห์แรก พอมดลูกลอยขึ้นไปอาการปัสสาวะบ่อยก็จะดีขึ้น มาปัสสาวะบ่อยอีกทีก็ตอนท้องลดหัวลงในตอนท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ อาการปัสสาวะบ่อยๆ ที่ว่านี้ ต้องไม่มีอาการแสบขัดร่วมด้วยนะครับ หรือถ้ามีแสบขัดร่วมด้วยก็ต้องสงสัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบไว้ก่อน

          อาการเจ็บที่ท้องน้อยด้านข้าง

          อาการของคุณแม่ท้องอ่อนอีกอันก็คือ อาการเจ็บที่ท้องน้อยด้านข้าง เท้าความมาแต่เดิมก็ได้ว่า เดิมแล้วมดลูกเราก็มีขนาดเท่าไข่ไก่เท่านั้นเอง ด้านข้างก็จะมีปีกมดลูกสองข้างยึดตึงไว้ไม่ให้มดลูกโยกเยกไปมา ลองนึกถึงเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ๆ ก็แล้วกันนะครับ ที่มักจะมีเส้นลวดสลิงโยงไว้ทั้งสองข้าง พอมดลูกโตขึ้นก็จะงอกโตขึ้นด้านบนไปเรื่อยๆ ปีกมดลูกก็จะตึงมากขึ้นเรื่อยๆ

          หากคุณแม่ลุกขึ้นลุกลงจากเตียงไม่ค่อยระวังไปงัดเกร็งหน้าท้องขึ้นหรืองัดเอนนอน ก็จะทำให้ปีกมดลูกทั้งสองข้างตึงเจ็บ ดังนั้น ตลอดการตั้งครรภ์ก็ขอแนะนำให้ตะแคงขึ้นตะแคงลงด้านข้างดีกว่าครับ การเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นลุกลงในตอนท้องแก่ ก็มีผลทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดอีกด้วย เมื่อท้องโตขึ้นเรื่อยๆ อาการเจ็บที่ปีกมดลูกนี้ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจ็บมาก็กินได้แต่ยาพาราฯ กับไปนอนพักเท่านั้นเองครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเจ็บมากขึ้น ท้องอืด วิงเวียนเป็นลม ก็อย่านิ่งนอนใจนะครับ อาการที่ว่านี้อาจเป็นอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็ได้ ควรไปหาหมอตรวจให้รู้เรื่องกันไปเลยว่าลูกยังอยู่ดีหรือเปล่า

          อาการเจ็บปีกมดลูกที่ว่ามานี้ก็ต้องเจ็บทางด้านข้างเท่านั้นนะครับ ส่วนตรงกลางก็อาจจะมีความรู้สึกถ่วงๆ ได้จากการที่มดลูกมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นจนเป่งพองโตขึ้น อาการถ่วงๆ เหมือนตอนประจำเดือนจะมานั่นเองครับ แต่จะต้องไม่มีอาการบีบๆ เหมือนตอนที่มีประจำเดือนมาแล้วเป็นอันขาด เพราะถ้าหากมดลูกมีการบีบตัว ก็จะเป็นเหตุนำไปสู่การแท้งได้

          ที่เล่ามาให้ฟังเสียยืดยาวเนี่ยก็เป็นเรื่องของการตั้งครรภ์ปกติที่ใคร ๆ ก็อาจเป็นได้

          แบบนี้ “ไม่ปกติ”

          ในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทั้งหมด พบว่าจะมีถึง 25% ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ประมาณครึ่งหนึ่งจะเกิดการแท้ง สาเหตุที่เลือดออกที่พบได้บ่อย ๆ ก็อาจเกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวไปโดนเส้นเลือด ที่หล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกพอดี เลือดที่ออกแบบนี่สมัยก่อนเราก็เรียกว่า “เลือดล้างหน้า” เลือดจะออกไม่มาก มี 2-3 วันก็หยุดได้เอง

          แต่ก็อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบคุณหมอที่ฝากครรภ์ทันที เพื่อตรวจดูว่าลูกในครรภ์ยังเป็นปกติดีหรือเปล่า คุณหมอก็มักจะตรวจโดยใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ดูการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ ตอนนี้แหละครับที่ลุ้นระทึกกันหน่อย เพราะประมาณครึ่งหนึ่งจะยังเห็นหัวใจของตัวอ่อนเต้นอยู่เป็นปกติ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็จะไม่เห็นหัวใจเต้น ถึงตอนนี้ก็เป็นเรื่องเศร้าที่ต้องทำใจ

          ใน 12 สัปดาห์แรก คุณแม่ทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าจะจน จะรวย คนไทย คนจีน คนฝรั่ง ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะแท้งเท่ากันทุกคน โดยจะเกิดการแท้งประมาณ 13% ของคนที่ตั้งครรภ์ทั้งหมด หรือประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เลือดออกนั่นเองครับ สาเหตุของการแท้งก็มักจะเกิดความผิดปกติของตัวอ่อนเอง... ก็คนเรากว่าจะสร้างเป็นตัวเป็นตนออกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ ในไข่ของแม่จะต้องมีโครโมโซมทั้งหมดสามพันล้านตัว เมื่อมีการปฏิสนธิก็ต้องมารวมตัวกันกับโครโมโซมของพ่อที่อยู่ในตัวอสุจิอีกสามพันล้านตัว หากเกิดการรวมตัวกันไม่สมบูรณ์ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งส่งโครโมโซมมาไม่ครบ เป็นผลทำให้โครงสร้างอวัยวะต่างๆไม่ครบสมบูรณ์ ตัวอ่อนไม่สามารถเติบโตมีชีวิตต่อไปได้ สุดท้ายตัวอ่อนก็จะสลายตัวไป แล้วคนเราก็มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกพันธุ์สูงด้วยนะครับ ผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ไม่ค่อยปล่อยเล็ดลอดคลอดออกมาให้เห็นกันหรอกครับ ถ้าเทียบกับช้างม้าวัวควาย พวกนั่นจะคลอดลูกออกมาแปลกเยอะ บางทีมีสองหัวสามเขาดูน่าตกใจ ของคนเราไม่มีแบบนี้หรอก เพราะมักจะแท้งออกมาก่อนตั้งแต่ต้นโดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก

          กรณีที่ตรวจอัลตราซาวนด์แล้วยังโชคดีที่เห็นตัวอ่อนมีหัวใจเต้นอยู่อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงนักหรอกครับ อัตราการแท้งก็ค่อนข้างต่ำ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วนอนพัก ท่องไว้เลยนะครับว่า “Bed rest is the policy” แล้วเลือดก็มักจะออกน้อยลง แล้วก็หยุดในที่สุด ระหว่างนี้ก็ต้องสังเกตอาการ 3 ข้อนี้ครับ

          นับจากจุดที่เริ่มมีเลือดออก เลือดต้องออกน้อยลงเรื่อย ๆ ห้ามออกมากขึ้น

          เลือดออกมาสีดำ ๆ ดีกว่าเลือดสีแดง ๆ ก็เลือดดำมันก็คือเลือดเก่าๆ ที่ตกค้างอยู่ แล้วเลือดที่ไหลออกมาก็มักจะน้อย เรื่องกำลังจะจบ แต่ถ้าเป็นเลือดสีแดงสดก็มักจะบ่งบอกว่า ตอนนี้ข้างในกำลังมีปัญหาเรื่องยังไม่จบง่ายๆ

          สุดท้ายก็ต้องไม่ปวดท้อง ปกติแล้วคนท้องจะรู้สึกถ่วงๆ ท้องน้อยได้จากการที่มดลูกขยายตัว อาการถ่วงก็คือมีปวดท้องนิดๆ คงที่ แต่ถ้าปวดบีบๆ เป็นพักๆ นี่สิแย่เลยครับ เพราะอาการจะมีการแท้งตามมาได้

          โดยมากแล้วคุณแม่ที่มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์ ที่เกิดจากการที่รกลอกตัว เลือดก็มักจะหยุดได้เองภายในไม่เกินสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์

                    เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

                     คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ





ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสารดวงใจพ่อแม่






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ท้องนี้แบบไหนผิดปกติ (ไตรมาสแรก) อัปเดตล่าสุด 28 สิงหาคม 2552 เวลา 16:49:45 118,639 อ่าน
TOP