x close

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ


เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเจาะใจ โพสต์โดย คุณ LadyBimbettes สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            ธงธง ม๊กจ๊ก คือนักแสดงที่มีผลงานผ่านตามาแล้วมากมาย และฝากฝีมือไว้ในวงการบันเทิงมาแล้วนับ 10 ปี แต่เพราะบุคลิกของความเป็นนักแสดงตลก ทำให้เขาไม่ค่อยได้เปิดเผยความจริงของชีวิตในแง่มุมที่โหดร้ายเท่าไหร่นัก รายการเจาะใจ (5 กรกฎาคม) จึงขออาสาเป็นตัวแทนพูดคุยสอบถามถึงมรสุมชีวิตที่เขาต้องเผชิญมาตลอด รวมทั้งวิธีการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรบ้างต้องไปดูเลยจ้า ..

            ธงธง ม๊กจ๊ก หรือ คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมาตั้งแต่กำเนิด โดยชื่อเล่นของเขามาจากการที่เขาเกิดในวันลอยกระทงนั่นเอง หลังจากเกิดมาได้เพียงไม่ถึง 1 ปี กิจการร้านสังฆภัณฑ์และคณะลิเกของคุณแม่ที่เคยโด่งดังก็ต้องปิดตัวลง ครอบครัวของธงธงจึงต้องเผชิญกับความลำบากเรื่อยมา ในช่วงกำลังเรียนชั้นประถม ธงธงกับพี่สาวต้องไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มโต้รุ่ง เพื่อช่วยคุณแม่ที่เป็นแม่ครัวอยู่ในร้าน โดยเขาได้รับค่าจ้างวันละ 20 บาท ซึ่งเขาบอกว่าก็พอใช้จ่ายในสมัยนั้น

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            พอเรียนหนังสือจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ธงธงก็ต้องลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ทำงาน เพราะพี่สาวได้แต่งงานมีครอบครัวและแยกตัวออกไปแล้ว โดยแม่ของเขาเป็นแม่ครัวอยู่ในสถานขายบริการ ดังนั้นธงธงจึงรับหน้าที่เป็นเด็กวิ่งซื้อของให้กับผู้หญิงที่มาค้าบริการ เนื่องจากพวกเธอมักไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนมาไหนข้างนอกเหมือนปกติ โดยเขาได้รับค่าจ้างอยู่ที่วันละ 50 บาท

            2-3 ปีผ่านไป แม่ของเขาก็ย้ายไปรับหน้าที่แม่ครัวให้กับบ่อนไพ่แห่งหนึ่ง ธงธงจึงมีโอกาสได้กลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง พอถึงวันหยุดเขาก็ไปช่วยแม่เสิร์ฟกับข้าวในบ่อน แต่อาจเป็นเพราะแม่ของเขาไปเสิร์ฟอาหารให้กับผู้เล่นที่กำลังเสียพนันอยู่พอดี จึงทำให้เขาเห็นได้ยินเสียงจานชามหล่นโครมครามดังขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าไปถึง และภาพที่วิ่งไปเห็นคือภาพแม่ของเขาล้มอยู่ท่ามกลางจานชามระเกะระกะ มีผู้คนยืนล้อมรอบอยู่ โดยที่แม่ของเขากำลังก้มเก็บกวาดเม็ดข้าวที่ร่วงหล่นลงบนพื้น

            ธงธง ยอมรับว่า เขาไม่ได้พุ่งตรงเข้าไปช่วยแม่ทันทีเพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เค้าช็อคเล็ก ๆ จนต้องวิ่งออกไปร้องไห้ด้วยความเจ็บใจอยู่คนเดียวสักพัก ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้แม่ได้ และเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาฝังใจมาก จนเป็นแรงผลักดันให้เขายอมลำบากทุกอย่างเพื่อแม่ ให้แม่ของเขาหลุดพ้นจากสภาพแบบนั้นสักที

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            โชคดีอย่างหนึ่งที่ครอบครัวของธงธง เป็นครอบครัวที่มีความสุข หลังจากพี่สาวแต่งงานมีครอบครัว และแยกตัวออกไป พวกเขาก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก โดยที่ยังยิ้มแย้มแจ่มใสให้แก่กัน ในทุก ๆ วันธงธงและแม่จะกลับบ้านมาทำกับข้าวรอพ่อ จากนั้นเมื่อพ่อกลับบ้านมา สองแม่ลูกก็จะวิ่งไปหาที่แอบเพื่อรอ “จ๊ะเอ๋” แต่แม่ที่มักจะกลัวพ่อหาไม่เจอ ก็ชอบส่งเสียงหัวเราะ คิกๆ จนพ่อหาเจอทุกครั้ง ธงธงจึงแอบตัดพ้อแม่อยู่เป็นประจำว่าทำให้พ่อหาเจอทุกที

            เขาบอกว่านี่คือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ครอบครัวที่ยากจนของเขามีความอบอุ่น และไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป เขาย้ำว่าทุกครอบครัวสามารถมีความสุขได้ไม่ว่าจะรวยหรือจน ขอเพียงแค่มีความอบอุ่นมอบให้แก่กันเท่านั้น

            ระหว่างเรียนอนุปริญญา สาขาบัญชี ธงธงมักจะเป็นคนเอ็นเตอร์เทนให้เพื่อน ๆ และอาจารย์มีเสียงหัวเราะอยู่เสมอ จนเพื่อน ๆ ทักว่าให้เขาไปลองเป็นตลกดู แล้วก็จัดแจงส่งใบสมัครไปยัง “รายการขบวนการจี้เส้น” ให้เสร็จสรรพ แบบที่เจ้าตัวไม่รู้เลย เมื่อถึงวันที่ต้องมาคัดเลือก ธงธงเดินทางจากนครราชสีมาเข้ากรุงเทพเพียงลำพัง จนเขาได้เข้ารอบเข้ารอบ 12 คน และหนึ่งในคณะกรรมการขณะนั้นก็คือ จตุรงค์ ม๊กจ๊ก ที่มองเห็นแววและชักชวนให้เขาเข้าร่วมคณะตลก จนเป็นที่มาของชื่อ ธงธง ม๊กจ๊ก

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะการขึ้นเวทีเล่นตลกกลับเป็นเรื่องยากที่เขาทำไม่ได้ เขาขึ้นเวทีแบบเล่นตลกไม่ออกอยู่ 7 เดือน จนตัดสินใจลาออกจากคณะ และนำเงินเก็บไปลงทุนขายเสื้อผ้ากับเพื่อนที่โบนันซ่า สยามสแควร์ แต่กิจการก็ไปไม่รอด เขาจึงเบนเข็มไปขายกระเทียมในบริเวณภายในวัดแห่งหนึ่งที่ขื่อเรื่องการใบ้หวย เมื่อมีผู้คนพลุกพล่านร้านกระเทียมของเขาจึงขายดีมากมีรายได้วันละ 2,000 บาท แต่ทำอยู่ได้ไม่นานวัดแห่งนั้นก็มีผู้คนน้อยลง จนขายไม่ดีอีกต่อไป

            หลังจากที่หมดหนทางไปต่อ เขาตัดสินใจโทรไปยืมเงินผู้มีพระคุณอย่าง จตุรงค์ ม๊กจ๊ก เพราะอยากจะเอาเงินไปเปิดร้านขายผลไม้ แต่หัวหน้าคณะที่เขาเคารพกลับชักชวนให้กลับไปร่วมเล่นตลกด้วยกันอีกครั้งแทน เขาจึงตัดสินใจกลับไปลองดูอีกสักตั้ง

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            การกลับมาเล่นตลกคราวนี้ ธงธง รับบทบาทใหม่เป็นนางพยาบาล หลังจากที่เคยรับบทผู้ชายมาตลอด ปรากฎว่าคนดูหัวเราะและให้การตอบรับดีมาก เขาจึงหันมารับบทผู้หญิงเต็มตัว ต่อมาเขามีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งใน “รายการก่อนบ่ายคลายเครียด” และได้รับบทเด่นล้อเลียน “รายการเกมกำจัดจุดอ่อน” รายการดังที่มีคำพูดติดปากที่ว่า “คุณคือจุดอ่อน” ทำให้เขาโด่งดังและมีคิวงานแน่นเอี๊ยดเป็นงานประจำถึง 13 รายการ

            แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชีวิตที่เคยขึ้นสูงสุด ก็กลับร่วงตกลงมาอีกครั้ง งานที่เคยมีเข้ามาต่อเนื่องก็เริ่มน้อยลงไปตามเวลา พี่สาวที่เขารักมากถึงขนาดซื้อรถซื้อบ้านให้ก่อนที่จะซื้อให้ตัวเองด้วยซ้ำ กลับต้องมาเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ธงธงจึงทุกข์ใจมากและร้องไห้อยู่เป็นประจำ เขาบอกว่าถ้าพี่สาวเสียชีวิต เขาสามารถฆ่าตัวตายตามได้เลย เพราะรักพี่สาวคนนี้มากจริง ๆ

            จนกระทั่งได้เจอกับ กิ๊ก มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ เพื่อนนักแสดงในซิทคอมเป็นต่อ ที่เป็นคนธรรมะธรรมโม เขาจึงนำเรื่องราวความทุกข์ใจไปปรึกษาให้เธอฟัง กิ๊ก มยุริญ จึงชักชวนให้เขาไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน ธงธงตัดสินใจลองไปดูสักครั้ง แต่ช่วงแรกที่ไปเขากลับรู้สึกว่าจิตใจของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับธรรมะ เขากลับคิดถึงเรื่องของพี่สาวอยู่เหมือนเดิม การเดินจงกรมพร้อมกับกำหนดสติ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ เขาจึงคิดว่าควรลาพระอาจารย์กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมดีกว่า

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            ในขณะที่ธงธงก้มลงกราบพระเพื่อลากลับ เขาเจริญสติอีกครั้งด้วยการท่องในใจว่า “พนมหนอ ก้มหนอ กราบหนอ” ทันใดนั้นเองขณะที่หน้าผากของเขาจรดลงบนพื้น เขากลับรู้สึกได้ถึงสติจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าโดยไม่ได้เผลอคิดกังวลถึงเรื่องของพี่สาวในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาเข้าใจในคำว่า “สติมาปัญญาเกิด” และตัดสินใจอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไปจนเข้าใจถ่องแท้

            จากนั้นพี่สาวของเขาก็เสียชีวิตลง จิตใจที่ผ่านการเรียนรู้การตั้งสติมาแล้วของธงธง ทำให้เขาสงบและมีสติอยู่กับการจัดการธุระต่าง ๆ ได้แบบไม่จมอยู่กับความฟูมฟาย จนกระทั่งเขาอนุญาตตัวเองให้ปล่อยความทุกข์ออกมาในวันสุดท้ายของงานศพพี่สาว โดยบอกตัวเองว่าวันนี้จะไม่ควบคุมสติและขอร้องไห้ให้พี่สาวเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ปล่อยความเสียใจให้พรั่งพรูออกมาเต็มที่ ก่อนที่ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เพราะการมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมทำให้เขาเข้าใจดีว่า “ไม่ว่าจะมีสติหรือไม่มีสติ คนที่เรารักก็ต้องตาย และคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องจากกันไปอยู่ดี” นั่นเอง

            หลังจากหลุดพ้นความทุกข์ใจจากการสูญเสียพี่สาวที่รักไปแล้ว ธงธงต้องเผชิญมรสุมลูกใหญ่อีกครั้ง และครั้งนี้เขายอมรับว่า ทำเอาเขาสติแตก! แม้จะรู้ดีว่าควรควบคุมสติให้ได้ แต่การที่ต้องเลิกราจากคนรักที่คบหากันมานับ 10 ปี ทำให้ธงธงไม่อยากจะควบคุมตัวเองอีกต่อไป เขาปล่อยให้ความโศกเศร้าเข้าทำลายตัวเอง ปล่อยชีวิตจนเละเทะ และใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นสักระยะหนึ่ง จนในที่สุดก็มีสติฉุกคิดได้ว่า ตนเองก็ทำดีที่สุดแล้ว และก็คงไม่ขอกลับไปแก้ไขอะไรอีก พร้อมทั้งเลิกฟูมฟายกับความเสียใจและหันกลับมาดูแลตัวเอง ซึ่งธงธงยืนยันว่า เวลาเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้จริง ๆ เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนให้มาก ๆ เท่านั้น

เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

            สิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตของ ธงธง ทุกวันนี้ ก็คือการเชื่อมั่นในการทำความดีและปฏิบัติตนเป็นคนดี โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีใครมองเห็นหรือไม่ ขอเพียงแค่รู้อยู่แก่ใจของตัวเองก็พอแล้ว โดยเขาตื่นขึ้นมาตักบาตรตอนเช้า ปฏิบัติธรรม และสวดมนต์ อยู่เป็นประจำ เพราะเขาเชื่อว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เขามีสติมากขึ้น

            ปัจจุบัน ธงธง พบรักกับชายหนุ่มในเครื่องแบบ หลังจากสนิทสนมกับคุณแม่ของหนุ่มคนนั้นด้วยเรื่องของธรรมะ คุณแม่ที่เอ็นดูธงธงมากจึงชักชวนให้รู้จักกับลูกชาย แม้จะเพิ่งรู้จักกันมาได้เพียง 4 เดือน แต่ธงธงก็ไม่หวั่นว่าจะมีความทุกข์ใด ๆ อีก เพราะถึงแม้เขาจะเป็นคนทุ่มเทเต็มร้อยในเรื่องของความรัก แต่เขาก็มีสติรู้ว่าความรักนั้นไม่จีรังยั่งยืน และความรู้สึกรักสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา เขาจึงพร้อมที่จะเผชิญกับมันโดยที่จะไม่ฟูมฟายหากมีการผิดหวังอีก

            สุดท้าย ธงธง ยืนยันว่า ตัวเองไม่เคยรู้สึกท้อแท้ใจกับโชคชะตา ไม่เคยรู้สึกขาดหรือเกิน เพราะเขาเคยชินแล้วที่เกิดมากับความยากจน แต่ทุกวันนี้เขาผ่านพ้นทุกอย่างมาได้ด้วยความมีสติ และใช้ธรรมะในการดูแลจิตใจในยามมีทุกข์ นอกจากนี้ธงธงยังบอกอีกว่าเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ว่าดีอย่างไร เปรียบได้กับผลไม้ที่แม้จะมีคนบอกว่ารสชาติเป็นอย่างไร หากอยากรู้ทุกคนก็ต้องลองชิมเองอยู่ดี เหมือนกับที่เขาเคยเป็นมาก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่เห็นทุกข์ไม่เห็นธรรม” นั่นเอง

            ถึงแม้จะผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายมาหลายครั้ง แต่นี่คือตัวอย่างของคนที่เลือกนำประสบการณ์ในชีวิตมาเป็นบทเรียนสอนใจ มากกว่าที่จะนั่งจมอยู่กับความทุกข์ที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก ธงธง ม๊กจ๊ก ในวันนี้ คือธงธงที่มีทั้ง สติและปัญญา พร้อมด้วยจิตใจที่ดีงาม เชื่อว่าการเปิดเผยประสบการณ์ชีวิตของเขา จะช่วยให้หลายคนเก็บไปคิดและมีสติในการใช้ชีวิตให้มากขึ้นนะคะ




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เจาะใจ ธงธง กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อัปเดตล่าสุด 6 กรกฎาคม 2555 เวลา 14:56:29 5,966 อ่าน
TOP