4 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณสวยและมีสุขภาพดีได้อย่างยั่งยืน มีดังนี้
เราอาจจะลืมสังเกตไปว่าในแต่ละวันเราดื่มน้ำน้อยกว่าที่คิด บางคนดื่มแค่เวลาหลังมื้ออาหาร หรือประมาณวันละ 3-4 แก้วเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบ 1 ลิตรสำหรับการหายใจและเหงื่อ ถ้าดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร หรือ ประมาณ 8 แก้ว จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้ แต่สำหรับปริมาณที่ควรดื่มใน 1 วันเพื่อสุขภาพที่ดี ถ้าเป็นผู้ชายควรดื่มวันละ 3 ลิตร หรือประมาณ 13 แก้ว ส่วนผู้หญิงวันละ 2.2 ลิตร คือ ประมาณ 9 แก้ว เพราะน้ำมีประโยชน์มหาศาลมากกว่าที่คุณคิด น้ำช่วยดีทอกซ์สารพิษออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสารพิษจากอาหารขยะ อาหารปิ้งย่าง อาหารแคลอรี่สูงต่าง ๆ รวมทั้งพวก ชา กาแฟ น้ำอัดลม อีกทั้งยังช่วยรักษาค่าสมดุล pH ของผิว ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ ช่วยบำรุงผิวที่อ่อนล้าให้เปล่งปลั่งสดใส คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า ซึ่งการดีทอกซ์ยังช่วยลดการเกิดสิวด้วย ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ซื้อน้ำขวดลิตรมาตั้งข้างโต๊ะแล้วฝึกกินให้หมดขวดทุกวันให้เป็นนิสัยกันดีกว่าค่ะ
ช่วงเวลานาทีทองที่แพทย์แนะนำสำหรับการเข้านอน คือ 4 ทุ่ม แต่เราเข้าใจว่าคงทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะแต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ที่แตกต่างกันไป กว่าจะปลดเปลื้องความรับผิดชอบได้หมดก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มครึ่งแล้วค่ะ แต่การเข้านอนในช่วงเวลา 5 ทุ่มก็ยังจัดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ขอให้ไม่เกินไปกว่าเที่ยงคืนถือเป็นใช้ได้ และควรหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะช่วงก่อนเที่ยงคืนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต่อต้านไม่ให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัย หรือที่บางคนอาจเรียกว่า "สารต่อต้านความชรา" (Anti-aging) ก็จะไปกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน หรืออนุมูลอิสระที่เกิดจากความเครียดและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ก็จะถูกกำจัดออกไปด้วย การนอนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอมากขึ้น มีระบบเผาผลาญที่ดี ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนได้เต็มที่ซึ่งช่วยให้ผิวเด้งเต่งตึง หน้าใสอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ตับ ไต ลำไส้ ที่ช่วยในเรื่องการขับสารพิษจะทำงานได้ดีขึ้นตอนที่เราหลับ ซึ่งส่งผลดีต่อผิวพรรณและสุขภาพแน่นอน
เวลาทำงานเครียด เรารู้ว่าร่างกายคุณต้องการน้ำตาล แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำตาลที่เรากินเข้าไปจะถูกย่อยสลายเป็นกลูโคส ร่างกายจะใช้กลูโคสในการเผาผลาญเพื่อเป็นพลังงาน หากมีกลูโคสเหลือ ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไกลโครเจนแล้วสะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ แต่ถ้ายังเหลืออีกกลูโคสจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมเอาไว้ในร่างกาย ซึ่งส่วนมากจะไปอยู่ในส่วนที่มีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เช่น หน้าท้อง สะโพก และต้นขา เห็นที่มาของสัดส่วนที่เรียกว่า "เกิน" หรือยังคะ น้ำตาลที่มากไปคือที่มาของความอ้วนที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องทำให้เกิดโรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย วิธีการควบคุมน้ำตาลที่ดีคือ ให้เลือกทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อยหรือไม่มีน้ำตาล หรือพยายามเลือกอาหารที่มีรสหวานด้วยน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ผลไม้ต่าง ๆ มันหวาน ข้าวโพด เป็นต้น และพยายามลดน้ำหวานต่าง ๆ หรือ น้ำตาลที่จงใจใส่เข้าเพิ่ม ไม่ว่าเราจะใส่เองในก๋วยเตี๋ยวเครื่องปรุงต่าง ๆ เป็นต้น
การทานโยเกิร์ตเป็นประจำเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพ ที่เริ่มมาจากการดูแลลำไส้ ซึ่งจะสามารถช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ทำให้ไม่มีของเสียสะสมในร่างกาย ส่งผลให้หน้าท้องแบนราบพุงไม่ป่อง ผิวพรรณก็จะดีตามไปด้วย เพราะในโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งช่วยสร้างสมดุลในลำไส้ ช่วยกำจัดจุลินทรีย์ที่ไม่ดี และช่วยป้องกันโรคในระบบทางเดินอาหารได้และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีโยเกิร์ตมากมายหลายชนิดวางขายในท้องตลาด ทั้งแบบถ้วย แบบเนื้อเหลว แบบเนื้อแน่น หรือแบบขวด โดยชนชาติที่นิยมการทานโยเกิร์ตอย่างบัลแกเรีย หรือในเอเชียอย่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าบริโภคโยเกิร์ตเป็นจำนวนมากถึง 20 กก.ต่อคนต่อปี และพบว่าเป็น 2 ชนชาติที่มีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว โดยชาวบัลแกเรียและชาวญี่ปุ่นนิยมทานโยเกิร์ตธรรมชาติ มีรสหวานน้อยอย่างสายพันธ์ LB81 ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายเป็นปกติ ห่างไกลจากโรคท้องผูก ทำให้ไม่มีของเสียสะสมในร่างกาย ส่งผลให้รูปร่างและผิวพรรณสดใสอีกทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ รวมไปถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
เพียงแค่ปฏิบัติตาม 4 ข้อนี้ คุณก็จะมีสุขภาพที่ดีความคู่ไปกับการมีรูปร่างและผิวพรรณที่ดีต้อนรับปีใหม่ และถ้าทำได้เป็นพฤติกรรม จะสวยไฉไลได้ไปอีกนานเลยล่ะ
