เอ๋ นรินทร ณ บางช้าง เปิดใจ นาทีช่วยปฏิบัติการภารกิจค้นหา 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง ไม่ขอรับคำว่าฮีโร่ ดีใจที่เด็ก ๆ ทีมหมูป่าปลอดภัย
- ไปอยู่ถ้ำหลวงทั้งหมดกี่วัน ?
เอ๋ นริทร : น่าจะประมาณครึ่งเดือน รอบแรกก็ประมาณ 10 วันแล้วรอบที่ 2 ประมาณ 5 วัน
- ตอนแรกที่ไปคือวันไหน ?
- พอทราบข่าวแล้วรีบบินไปเลยไหม ?
เอ๋ นริทร : ไม่ค่ะ ตอนแรกก็พยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของพื้นที่เพื่อที่ให้เราเข้าไปช่วยเหลือได้ แล้วตอนแรกก็ยังไม่มีใครอนุญาต เพราะเห็นว่าทางทีมซีลเขาปิดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วมาช่วงบ่ายก็เห็นข่าวว่าถ้าเจอเด็กแล้วก็คงต้องหาวิธีนำเด็กออก ซึ่งตอนนั้นพี่เป้ เขาเป็นนักดำน้ำถ้ำอยู่ แล้วเขาก็จะมีอุปกรณ์ดำน้ำมี Connection ส่วนตัวกับนักดำน้ำถ้ำด้วยกัน แล้วเขาก็แบบว่าให้ทำยังไงดีอยากจะไปช่วย พี่ก็เลยโพสต์ไปว่าขอให้เราได้ไปช่วยเถอะ
- ทีมนรินทร มาได้ยังไง ?
เอ๋ นริทร : คือทุกคนเขาก็เรียกกันว่านรินทรคือเราไม่ได้เป็นมูลนิธิ เราไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่ตั้งมาเพื่อกู้ภัยหรือใด ๆ เราเห็นว่าอันนี้น่าจะทำประโยชน์ได้ อยากจะช่วยจริง ๆ ก็ไปมันเลยไม่ได้ตั้งชื่อทีมเอาไว้ ทุกคนก็เลยเรียกว่าทีมนรินทร
- แล้วทีมนรินทรมีทั้งหมดกี่คน ?
- งั้นแสดงว่าทั้งวงการดำน้ำจะต้องรู้จักกันหมดมี Connection กัน ใช่ไหมครับ ?
เอ๋ นริทร : คือต้องบอกว่าวงการดำน้ำในเมืองไทยเนี่ยไม่ใหญ่มาก ทุกคนจะรู้จักกันหมด ว่าใครทำอะไรมีศักยภาพด้านไหนบ้าง ต้องบอกว่าแทบจะรู้จักร้านดำน้ำเกือบทุกร้าน
- คุณเป้นี้คือเชี่ยวชาญด้านการดำน้ำถ้ำใช่ไหม ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : เอาจริง ๆ จะเป็นในเรื่องของด้านเทคนิคซะมากกว่า ถ้าการดำน้ำในถ้ำจริง ๆ โดยส่วนตัวผมเคยดำมานานแล้ว แต่ว่าผมมี Network ที่เป็น ครูมีเทรนเนอร์ที่สอนในเรื่องของการดำน้ำถ้ำ
- ถ้ำหลวงเป็นถ้ำที่ยากที่สุดจริงไหมเท่าที่เจอมา?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ตามที่ได้คุยกันในหมู่นักดำน้ำถ้ำ ที่เป็นครูที่มาเจอประสบการณ์จริง มีประสบการณ์ดำทำมา 20 กว่าปี ดำถ้ำมาเกือบจะทั่วโลกแล้วเนี่ย อันนี้เป็น Top 1 ใน 3 ที่ยาก ที่สุดที่เคยเจอมา
- พอได้ยินข้อมูลแบบนี้แล้วเรารู้สึกเป็นไงบ้าง ถอดใจเลยไหม ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ไม่ถอดใจครับ อันนี้เป็นข้อดีของทุกคนที่อยู่หน้างานเลย ไม่ใช่แต่ทีมเราอย่างเดียวคือ เขามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ว่าเราต้องไปเจอให้ถึงตัวเด็ก แล้วต้องพยายามเอาตัวเด็กออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร เราจะโฟกัสอยู่จุดเดียวก็คือทำยังไงเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา แล้วก็ค่อย ๆ แก้กันไปทีละสเต็ป
- ที่สัมผัสมาจริง ๆ มันยากลำบากมากจริงไหม ?
- อากาศข้างในเป็นยังไงบ้างหนาวไหม ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : อุณหภูมิในถ้ำโดยเฉลี่ยนแล้วตอนที่อยู่โถง 3 ประมาณ 25 องศาเซลเซียส แต่ว่าอุณหภูมิน้ำจะอยู่ที่ 21 ถึง 22 องศาเซลเซียส ครับ
- เห็นว่าถุงของนักดำน้ำหนักมาก ขนาดไหน ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ที่พวกผมแบกกับหน่วยซีลก็ประมาณ 25 ถึง 30 กิโลกรัม
- ระยะเวลาที่จะเข้าไปถึงโถง 3 ใช้เวลาเท่าไหร่?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ก็จากปากทางจนถึงโถง 3 ประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า ถ้าเดินจริง ๆ เอาเต็มที่หน่วยซีลเขาเดินกันก็ประมาณ 50 นาทีถึงชั่วโมงกว่า ๆ เพราะแบกของไปด้วย
- ความรู้สึกตอนที่ค้นหาเป็นยังไงบ้าง ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ความรู้สึกตอนแรกที่คุยกับหน่วยซีลวันแรกคือเค้ามีความรู้สึกว่าต้องเจอแน่ ๆ เพราะเขาสามารถเข้าไปถึงพัทยาบีชได้แล้วแต่ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะว่าตอนนั้นมีเกี่ยวกับเรื่องน้ำเริ่มขึ้น อากาศหมดอะไรหมดเขาก็ต้องถอยกลับมาก่อน แล้ววันต่อมาก็กลับเข้าไปใหม่แต่ว่าไปต่อไม่ได้ เพราะทางมันแคบและน้ำก็เริ่มท่วมสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ต้องถอยร่นกลับมาเรื่อย ๆ
- ในฐานะนักดำน้ำสามารถอธิบายเหตุการเสียชีวิตของจ่าเอกสมาน กุนันได้หรือเปล่า ?
- พอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนักดำน้ำที่เหลือมีกังวลบ้างไหม?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ผมคิดว่าบางคนก็ต้องมีกังวลบ้าง แต่อันนั้นคือข้อดีของหน่วยซีล คือทุกคนมีสภาวะที่พร้อมมาก และทุกคนมีจุดมุ่งหมายอยู่อย่างเดียวคือต้องพาน้องออกมาให้ได้ ไปถึงตัวน้องให้ได้ อย่างท่านผู้การที่อยู่ข้างในก็บอกว่าเราก็เสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้ แต่เรามีหน้าที่สำคัญที่เราจะต้องทำเพราะฉะนั้น เราต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่เจอก็คือไม่กลับ
- วินาทีที่เจอน้องส่งข่าวกันยังไง ?
เอ๋ นรินทร : ตอนที่รู้ข่าว ทีมของพวกเราก็ขึ้นมาพักที่รีสอร์ทพอดี พวกเราก็รู้ข่าวก่อนออกทีวีแค่ 1 นาทีเองค่ะ ก็เฮกันเลย
- มีหลายคนชื่นชมว่าเป็นฮีโร่ ?
เอ๋ นรินทร : หลาย ๆ คนก็มาเรียกพวกพี่ว่าฮีโร่ ก็พูดเลยนะคะว่าไม่ใช่ว่าแค่ตรงนี้ เราไม่กล้ารับคำนี้ เพราะว่าอันนี้มันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มากพวกพี่ทุกคนถือว่าเป็น เกียรติในชีวิตด้วยซ้ำที่ได้มีส่วนร่วมเล็ก ๆ ในภารกิจครั้งนี้ คำว่าฮีโร่หรือซุปเปอร์ฮีโร่มันอีกเยอะมากเลยที่สมควรจะได้รับ เรามันเป็นแค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ ไม่ต้องให้เกียรติเราขนาดนั้นก็ได้ ไม่จำเป็น มันเป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องช่วยกันค่ะ
เป้ เรืองฤทธิ์ : ในส่วนของนักดำน้ำเองนะครับ ผมก็ขอพูดแทน ทุกคนว่า โดยเฉพาะทีมทหารบก หน่วยป.พ. หน่วยป่าไม้ ที่เขาเป็นคนยกอุปกรณ์ของหนักเข้าไปในถ้ำ โถง 3 ถ้าเกิดเราไม่ได้พวกเขา เราก็ดำน้ำไม่ได้เหมือนกัน เราไม่สามารถที่จะแบกอุปกรณ์พวกนั้นเข้าไปหมดได้ แล้วถ้าเกิดเราแบกเข้าไปเองเราก็ไม่สามารถดำน้ำได้เหมือนกัน
- ในฐานะที่เราเป็นนักดำน้ำหนักใจไหมที่จะต้องนำน้อง ๆ ออกมาโดยวิธีการดำน้ำ ?
- อยากจะบอกอะไรกับน้อง ๆ ทั้ง13คน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ใจดีที่ไปช่วยออกจากถ้ำ ?
เอ๋ นรินทร : อยากจะบอกน้อง ๆ ว่าอย่าโทษตัวเอง ที่ทำให้ต้องเกิดเรื่องราวเสียเงินมากมายหรือว่า เสียคนไปหรืออะไร อย่าไปลงโทษตัวเองเด็ดขาดเพราะว่า เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ก็แค่ให้น้องน้องรอดปลอดภัยออกมา ทุกคนก็แฮปปี้แล้ว เหลือน้อง ๆ ก็ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนแฮปปี้แล้ว แล้วก็พยายามอย่าฟังเยอะ หนูมีหน้าที่ทำอะไร หนูทำให้เต็มที่ เรียนหนังสือให้เต็มที่ เล่นกีฬาให้เต็มที่ ไปเอาชนะ นำรางวัลกลับมาให้ทีมนั่นคือ รางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทั้งประเทศแล้ว
- ฝากถึงคนที่เสพข่าวนี้แล้วนำมาตีความกันต่าง ๆ นานาหน่อย
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
นับว่าเป็นภารกิจที่หลาย ๆ คนต่างเอาใจช่วย และมีการร่วมมือจากหลายฝ่าย
สำหรับปฏิบัติการค้นหา 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง หนึ่งในนั้นคือ คุณเอ๋ นรินทร และคุณเป้ เรืองฤทธิ์ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยในเรื่องของการดำน้ำ
และอุปกรณ์ดำน้ำ โดยล่าสุด (13 กรกฎาคม 2561)
ทั้งคู่ได้ออกมาเปิดใจถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจบภารกิจผ่านรายการคุยแซ่บSHOW
ที่มี พีเค ปิยวัฒน์ และ ธัญญ่า ธัญญาเรศ เป็นพิธีกร
- ไปอยู่ถ้ำหลวงทั้งหมดกี่วัน ?
เอ๋ นริทร : น่าจะประมาณครึ่งเดือน รอบแรกก็ประมาณ 10 วันแล้วรอบที่ 2 ประมาณ 5 วัน
- ตอนแรกที่ไปคือวันไหน ?
เอ๋ นริทร : พี่เห็นข่าววันที่ 24 ตอนเช้าแล้วก็ไปถึงถ้ำหลวง วันจันทร์ที่ 25 ตอนค่ำ
- พอทราบข่าวแล้วรีบบินไปเลยไหม ?
เอ๋ นริทร : ไม่ค่ะ ตอนแรกก็พยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของพื้นที่เพื่อที่ให้เราเข้าไปช่วยเหลือได้ แล้วตอนแรกก็ยังไม่มีใครอนุญาต เพราะเห็นว่าทางทีมซีลเขาปิดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วมาช่วงบ่ายก็เห็นข่าวว่าถ้าเจอเด็กแล้วก็คงต้องหาวิธีนำเด็กออก ซึ่งตอนนั้นพี่เป้ เขาเป็นนักดำน้ำถ้ำอยู่ แล้วเขาก็จะมีอุปกรณ์ดำน้ำมี Connection ส่วนตัวกับนักดำน้ำถ้ำด้วยกัน แล้วเขาก็แบบว่าให้ทำยังไงดีอยากจะไปช่วย พี่ก็เลยโพสต์ไปว่าขอให้เราได้ไปช่วยเถอะ
- ทีมนรินทร มาได้ยังไง ?
เอ๋ นริทร : คือทุกคนเขาก็เรียกกันว่านรินทรคือเราไม่ได้เป็นมูลนิธิ เราไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่ตั้งมาเพื่อกู้ภัยหรือใด ๆ เราเห็นว่าอันนี้น่าจะทำประโยชน์ได้ อยากจะช่วยจริง ๆ ก็ไปมันเลยไม่ได้ตั้งชื่อทีมเอาไว้ ทุกคนก็เลยเรียกว่าทีมนรินทร
- แล้วทีมนรินทรมีทั้งหมดกี่คน ?
เอ๋
นริทร : ประมาณ 15-16 คน จะมีเธอ พี่เอ๋ประสานงาน 4
คนแล้วที่เหลือก็จะเป็นนักดำน้ำที่เป็น connection ของคุณเป้ มาช่วย
มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
เอ๋ นริทร : คือต้องบอกว่าวงการดำน้ำในเมืองไทยเนี่ยไม่ใหญ่มาก ทุกคนจะรู้จักกันหมด ว่าใครทำอะไรมีศักยภาพด้านไหนบ้าง ต้องบอกว่าแทบจะรู้จักร้านดำน้ำเกือบทุกร้าน
- คุณเป้นี้คือเชี่ยวชาญด้านการดำน้ำถ้ำใช่ไหม ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : เอาจริง ๆ จะเป็นในเรื่องของด้านเทคนิคซะมากกว่า ถ้าการดำน้ำในถ้ำจริง ๆ โดยส่วนตัวผมเคยดำมานานแล้ว แต่ว่าผมมี Network ที่เป็น ครูมีเทรนเนอร์ที่สอนในเรื่องของการดำน้ำถ้ำ
- ถ้ำหลวงเป็นถ้ำที่ยากที่สุดจริงไหมเท่าที่เจอมา?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ตามที่ได้คุยกันในหมู่นักดำน้ำถ้ำ ที่เป็นครูที่มาเจอประสบการณ์จริง มีประสบการณ์ดำทำมา 20 กว่าปี ดำถ้ำมาเกือบจะทั่วโลกแล้วเนี่ย อันนี้เป็น Top 1 ใน 3 ที่ยาก ที่สุดที่เคยเจอมา
เป้ เรืองฤทธิ์ : ไม่ถอดใจครับ อันนี้เป็นข้อดีของทุกคนที่อยู่หน้างานเลย ไม่ใช่แต่ทีมเราอย่างเดียวคือ เขามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ว่าเราต้องไปเจอให้ถึงตัวเด็ก แล้วต้องพยายามเอาตัวเด็กออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร เราจะโฟกัสอยู่จุดเดียวก็คือทำยังไงเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา แล้วก็ค่อย ๆ แก้กันไปทีละสเต็ป
- ที่สัมผัสมาจริง ๆ มันยากลำบากมากจริงไหม ?
เป้
เรืองฤทธิ์ : ถ้าเกิดดูจากลักษณะถ้ำ
ตอนที่ผมไปถึงวันแรกคือตอนนั้นน้ำอย่างท่วมไม่เต็ม ผมสามารถเข้าไปถึงโถง 3
เลยไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากนั้นน้ำก็จะท่วม
ลักษณะถ้ำข้างในมันไม่ใช่ถ้ำที่เค้าทำเป็นลักษณะของการท่องเที่ยว
คือมันไม่มีทางเดินแบบสะดวกสบาย เหมือนโถงที่ 1 กับโถงที่ 2
ผมว่ามันมากกว่ายากลำบากเพราะมีทั้งการปีน
ขึ้นบางส่วนก็เหมือนกับทางชันเป็นเหวลึกลงไป
ต้องมุดบางทีต้องคลานเข่าเข้าไป มันไม่มีทางที่จะสามารถเดินได้สบายจริง ๆ
- อากาศข้างในเป็นยังไงบ้างหนาวไหม ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : อุณหภูมิในถ้ำโดยเฉลี่ยนแล้วตอนที่อยู่โถง 3 ประมาณ 25 องศาเซลเซียส แต่ว่าอุณหภูมิน้ำจะอยู่ที่ 21 ถึง 22 องศาเซลเซียส ครับ
- เห็นว่าถุงของนักดำน้ำหนักมาก ขนาดไหน ?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ที่พวกผมแบกกับหน่วยซีลก็ประมาณ 25 ถึง 30 กิโลกรัม
- ระยะเวลาที่จะเข้าไปถึงโถง 3 ใช้เวลาเท่าไหร่?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ก็จากปากทางจนถึงโถง 3 ประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า ถ้าเดินจริง ๆ เอาเต็มที่หน่วยซีลเขาเดินกันก็ประมาณ 50 นาทีถึงชั่วโมงกว่า ๆ เพราะแบกของไปด้วย
เป้ เรืองฤทธิ์ : ความรู้สึกตอนแรกที่คุยกับหน่วยซีลวันแรกคือเค้ามีความรู้สึกว่าต้องเจอแน่ ๆ เพราะเขาสามารถเข้าไปถึงพัทยาบีชได้แล้วแต่ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะว่าตอนนั้นมีเกี่ยวกับเรื่องน้ำเริ่มขึ้น อากาศหมดอะไรหมดเขาก็ต้องถอยกลับมาก่อน แล้ววันต่อมาก็กลับเข้าไปใหม่แต่ว่าไปต่อไม่ได้ เพราะทางมันแคบและน้ำก็เริ่มท่วมสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ต้องถอยร่นกลับมาเรื่อย ๆ
- ในฐานะนักดำน้ำสามารถอธิบายเหตุการเสียชีวิตของจ่าเอกสมาน กุนันได้หรือเปล่า ?
เป้
เรืองฤทธิ์ : สาเหตุการเสียชีวิตจริง ๆ นี่เราไม่ทราบจริง ๆ
ต้องบอกอย่างนั้น เพราะว่าตอนที่เกิดเหตุจ่าสมานแกหมดสติไปแล้ว
พยายามช่วยแต่ก็ไม่สามารถสำเร็จได้ นี่เป็นคำบอกเล่าของหน่วยซีลต่อ ๆ กันมา
เพราะตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่หน้างาน แต่สาเหตุการเสียชีวิตจริง ๆ
อาจเกิดได้หลายอย่าง
อาจจะต้องเอาอุปกรณ์ออกมาเช็กดูว่าตอนนั้นอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นยังไง
หรืออากาศ เค้าใช้อากาศหมดหรือเปล่า หรือร่างกายอาจจะเหนื่อยเกินไป
พักผ่อนน้อย เป็นไปได้ครับ
- พอมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนักดำน้ำที่เหลือมีกังวลบ้างไหม?
เป้ เรืองฤทธิ์ : ผมคิดว่าบางคนก็ต้องมีกังวลบ้าง แต่อันนั้นคือข้อดีของหน่วยซีล คือทุกคนมีสภาวะที่พร้อมมาก และทุกคนมีจุดมุ่งหมายอยู่อย่างเดียวคือต้องพาน้องออกมาให้ได้ ไปถึงตัวน้องให้ได้ อย่างท่านผู้การที่อยู่ข้างในก็บอกว่าเราก็เสียใจกับการสูญเสียครั้งนี้ แต่เรามีหน้าที่สำคัญที่เราจะต้องทำเพราะฉะนั้น เราต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่เจอก็คือไม่กลับ
- วินาทีที่เจอน้องส่งข่าวกันยังไง ?
เอ๋ นรินทร : ตอนที่รู้ข่าว ทีมของพวกเราก็ขึ้นมาพักที่รีสอร์ทพอดี พวกเราก็รู้ข่าวก่อนออกทีวีแค่ 1 นาทีเองค่ะ ก็เฮกันเลย
เป้
เรืองฤทธิ์ : ตอนนั้นพวกเรากำลังจะกินข้าวกันครับ ก็รีบกิน
หลังจากนั้นก็รีบแต่งตัวเพื่อที่จะกลับไปที่ถ้ำหลวงเผื่อว่า
เขาจะต้องการความช่วยเหลือรีบไปสแตนบายครับ
- มีหลายคนชื่นชมว่าเป็นฮีโร่ ?
เอ๋ นรินทร : หลาย ๆ คนก็มาเรียกพวกพี่ว่าฮีโร่ ก็พูดเลยนะคะว่าไม่ใช่ว่าแค่ตรงนี้ เราไม่กล้ารับคำนี้ เพราะว่าอันนี้มันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มากพวกพี่ทุกคนถือว่าเป็น เกียรติในชีวิตด้วยซ้ำที่ได้มีส่วนร่วมเล็ก ๆ ในภารกิจครั้งนี้ คำว่าฮีโร่หรือซุปเปอร์ฮีโร่มันอีกเยอะมากเลยที่สมควรจะได้รับ เรามันเป็นแค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ ไม่ต้องให้เกียรติเราขนาดนั้นก็ได้ ไม่จำเป็น มันเป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องช่วยกันค่ะ
เป้ เรืองฤทธิ์ : ในส่วนของนักดำน้ำเองนะครับ ผมก็ขอพูดแทน ทุกคนว่า โดยเฉพาะทีมทหารบก หน่วยป.พ. หน่วยป่าไม้ ที่เขาเป็นคนยกอุปกรณ์ของหนักเข้าไปในถ้ำ โถง 3 ถ้าเกิดเราไม่ได้พวกเขา เราก็ดำน้ำไม่ได้เหมือนกัน เราไม่สามารถที่จะแบกอุปกรณ์พวกนั้นเข้าไปหมดได้ แล้วถ้าเกิดเราแบกเข้าไปเองเราก็ไม่สามารถดำน้ำได้เหมือนกัน
- ในฐานะที่เราเป็นนักดำน้ำหนักใจไหมที่จะต้องนำน้อง ๆ ออกมาโดยวิธีการดำน้ำ ?
เป้
เรืองฤทธิ์ : หนักใจแน่นอนครับเพราะว่า
คือต่อให้เราวางแผนดีแค่ไหนก็แล้วแต่ทุก ๆ เหตุการณ์เราก็รู้สึกหนักใจ
กลัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
- อยากจะบอกอะไรกับน้อง ๆ ทั้ง13คน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ใจดีที่ไปช่วยออกจากถ้ำ ?
เอ๋ นรินทร : อยากจะบอกน้อง ๆ ว่าอย่าโทษตัวเอง ที่ทำให้ต้องเกิดเรื่องราวเสียเงินมากมายหรือว่า เสียคนไปหรืออะไร อย่าไปลงโทษตัวเองเด็ดขาดเพราะว่า เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ก็แค่ให้น้องน้องรอดปลอดภัยออกมา ทุกคนก็แฮปปี้แล้ว เหลือน้อง ๆ ก็ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนแฮปปี้แล้ว แล้วก็พยายามอย่าฟังเยอะ หนูมีหน้าที่ทำอะไร หนูทำให้เต็มที่ เรียนหนังสือให้เต็มที่ เล่นกีฬาให้เต็มที่ ไปเอาชนะ นำรางวัลกลับมาให้ทีมนั่นคือ รางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทั้งประเทศแล้ว
- ฝากถึงคนที่เสพข่าวนี้แล้วนำมาตีความกันต่าง ๆ นานาหน่อย
เอ๋
นรินทร : อยากจะบอกนะคะว่า ถ้าเอาข่าวให้ชัวร์
แล้วก็ให้ถูกต้องและชัดเจนที่สุด
ข่าวจากทางราชการถูกต้องและชัดเจนที่สุดแล้วค่ะ
บางครั้งเราก็เข้าใจว่าทุกคนอย่างที่จะ มีส่วนร่วม แสดงความรู้สึก
แต่บางทีพอมันไปแล้วมันพลาดเนี่ย มันก็
กลับมาแล้วถูกตีความกันไปอีกแบบหนึ่ง แล้วมันก็จะมากคนมากความ
ขึ้นด้วยเรื่อย ๆ ฉะนั้น ก่อนจะแชร์ก่อนจะอะไรช่วยเช็กก่อนสักหน่อย
เพราะเดี๋ยวนี้เรื่องพวกนี้มันไวมาก รบกวนนิดนึงนะคะ และตอนนี้มัน Happy
Ending แล้ว เด็ก ๆ มีชีวิตใหม่อย่างสมบูรณ์แล้ว คือเหมือนได้เกิดใหม่
เขาก็เป็นลูกหลานคนไทย เราก็ดูแลเขาอย่างดีที่สุด ในสิ่งที่ควรจะทำ
แล้วก็อย่าให้เด็กน้อย ๆ ต้องมารับรู้อะไรในสิ่งที่มันไม่สมควร
เพราะจะทำให้เขารู้สึกติดใจกับความรู้สึกแย่ ๆ ไปตลอด
ใส่แต่เรื่องที่ดีให้เขา เขาจะมีชีวิตที่ดีแน่นอนค่ะ
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama