ถือเป็นพระเอกตลอดกาลที่ยังหล่อไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับ แซม ยุรนันท์ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ๆ เจ้าตัวก็ยังคงความหล่อ เท่ เหมือนเดิมเป๊ะ แถมพอกลับมารับงานในวงการ ออร่าก็ยิ่งพุ่ง โดยเฉพาะละครเรื่องล่าสุดในรอบ 15 ปี กับเรื่อง ใบไม้ที่ปลิดปลิว ทางช่อง One 31 กับการรับบทเป็น คุณพ่อตัวร้ายที่ทำเอาคนเกลียดไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ล่าสุด แซม ยุรนันท์ ได้มาออกรายการ Club Friday Show ทางช่อง GMM25 เจ้าตัวได้มาเปิดเผยถึงเรื่องราวชีวิตในช่วงที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้ตั้งใจปิดข่าว แต่ก็ไม่เคยพูดที่ไหน พร้อมทั้งเล่าถึงวินาทีที่คุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปอด ที่ทำเอาเจ้าตัวช็อก
แซม เผยว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็นเจ้าของคลินิก คุณหมอก็เคยเตือนตั้งแต่แรก ๆ แล้วว่า ปอดไม่ดี เราก็พอทราบมาบ้าง และมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นที่กรรมพันธุ์ เพราะคุณพ่อเคยเป็นวัณโรค ส่วนคุณแม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเราก็ดูแลตัวเองมาโดยตลอด แต่วันหนึ่งมันก็ไม่ไหว ซึ่งตอนนั้นคือ ไม่มีแรง เดินไม่ไหว มีผื่นขึ้นทั้งตัว ก็เจาะเลือดไปเช็ก วันที่ผลออกก็มีคุณหมอมามุงกันเยอะมาก เขาก็บอกว่าเป็น มะเร็งนะ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบหัว เหมือนถูกประหารชีวิต โลกมืดไปเลย ถามตัวเองว่าจะตายเหรอ แต่พอตั้งสติได้ก็เฝ้าบอกตัวเองว่า ไม่ตายหรอก ต้องรอด จึงตัดสินใจไม่บอกเรื่องนี้กับเคยเลยแม้แต่คนในครอบครัว
ตนมองว่าจากสิ่งที่เราร่ำเรียนมาทั้งหมด เราต้องต่อสู้ มะเร็งคือเซลล์ของเรา เราประพฤติไม่ดีเขาเลยออกนอกลู่นอกทาง และที่เลือกไม่บอกใครเพราะมันเป็นเรื่องทุกข์มาก ๆ เราเองก็ร่ำเรียนมาทุกวัน อยู่ภายใต้การดูแลของหมอ แต่ยังเป็น เลยไม่ได้บอกใคร ก็ยิ้มทุกวัน เราต้องต่อสู้เอง แต่ขนาดไม่ได้บอกใคร ลูกน้องในโรงพยาบาลเวลาเดินผ่านเรา เขายังน้ำตาไหล เพราะเขารู้สึกห่วงเรา ตอนนั้นก็ต้องทำทุกอย่าง จนมาถึงวันที่ค่ามะเร็งเป็นปกติแล้วเราอยู่กับมันได้ เราควบคุมได้
โดย แซม ยังเผยต่อว่า มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนปกติ ไม่ให้ใครรู้ว่าป่วย ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันกระทบต่อจิตใจเรามาก แต่ก็มองว่าเรารักคนในครอบครัวมากเกินกว่าจะเอาเรื่องพวกนี้ไปให้เขาแบกไว้ ป่วยก็ป่วยคนเดียว ไม่จำเป็นต้องป่วยกันทั้งบ้าน แต่วันหนึ่งเรื่องก็หลุดไปถึงคุณแม่ จนมาถึงภรรยา เขาก็มาถามว่าทำไมไม่บอกเขา เราก็บอกแค่ว่า ไม่ต้องบอกหรอก แต่สิ่งที่เขาทำให้ทุกวันคือสิ่งที่คุณหมอบอก เขาทำให้เราทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งพอทุกคนรู้อย่างลูก ๆ ก็เอาอกเอาใจ เราเลยแบบรู้งี้บอกตั้งนานแล้ว มันทำให้เราเห็นหลาย ๆ อย่าง เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตหลาย ๆ เรื่องเหมือนกัน
ตอนนั้นที่รู้ว่าเป็นมะเร็งไม่ได้คิดว่าจะรักษายังไง แต่คิดไปไกลมาก คิดว่าจะตายไหม จะอยู่ยังไง จะอยู่ได้ถึงเมื่อไร ลูกจะเรียนจบไหม ด้วยความที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว มันเลยจุดกลัวตายไปแล้ว ถ้าเราตายไปคนข้างหลังจะอยู่ยังไง ก็เอาแผนมาวาง ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่า เราต้องไม่ตาย เราต้องอยู่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
รายการ Club Friday Show
