บิ๊ก ศรุต ยอมรับชีวิตไม่สวยงาม ไม่เคยเป็นครอบครัวกับแม่ของลูก แต่ส่งเสียบุตรเสมอ

           บิ๊ก ศรุต ยันไม่เคยปกปิดเรื่องมีลูกชายอายุ 15 ปี ชี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน รับไม่ได้อยู่เป็นครอบครัว มีเซ็นรับรองบุตร ส่งค่าเลี้ยงดูทุกเดือน
          ทำเอาฮือฮาไม่น้อย สำหรับ บิ๊ก ศรุต หลังเจ้าตัวออกมายอมรับในรายการ ตีท้ายครัว ว่า มีลูกแล้วเป็นลูกชาย ชื่อ ปิ๊ก ตอนนี้อายุ 15 ปี แถมหล่อมากด้วย จนแฟน ๆ บางส่วนถึงกับแปลกใจ เพราะไม่เคยทราบว่าเจ้าตัวแต่งงานและมีลูกมาก่อน

          ล่าสุด (28 มิถุนายน 2561) บิ๊ก ศรุต ก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องลูกตนไม่ได้ไม่ยอมรับ ตนยอมรับมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าไม่มีใครพูดถึง แล้วก็อีกอย่างหนึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตนก็ไม่อยากพูดอะไรที่มันจะไปกระทบจิตใจเขา แต่ว่าเขาโตแล้ว ตอนนี้น่าจะพูดอะไรได้เยอะแล้ว เพราะว่าในเรื่องของความเป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก แล้วมันก็ไม่ได้มีความเป็นครอบครัว

          โดย บิ๊ก ยังเผยต่อว่า อาจจะแรงไปหน่อยแต่ก็ขอพูดตรง ๆ ว่า มันไม่ใช่แม้แต่คำว่าแฟนด้วยซ้ำ คำว่าคบยังไม่เคยคบเลย แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นตนก็ยอมรับและได้ทำตามที่ศาลกำหนดข้อตกลงว่า เรามีการจ่ายเงินเดือนให้ลูกทุกเดือน รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายในเรื่องของเงินเดือน ซึ่งเงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ตามช่วงเวลาที่เขาโตขึ้น แล้วก็เรื่องของค่าเล่าเรียนแล้วก็เซ็นรับรองบุตร ซึ่งลูกก็ใช้นามสกุลของตน

          ช่วงที่เป็นข่าวมาตั้งแต่แรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตนเองก็เด็ก ความคิดความอ่านของเรามันยังไม่ดีพอที่จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ว่าเวลานี้มันผ่านมา 15 ปี แล้ว ตอนนี้ตนก็ 46 จะ 50 แล้วมันก็ผ่านอะไรมาเยอะ แล้วมันไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะต้องมานั่งนึกถึงเรื่องอดีตว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรามีคิดถึงปัจจุบันและสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นข้างหน้าดีกว่า เพราะตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าตนมีแฟน แล้วก็มันก็มีชีวิตของตน ปิ๊กก็มีชีวิตของเขา ตัวคุณแม่ของปิ๊กเขาก็มีชีวิตของเขา ซึ่งเราก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันไป ซึ่งลูกก็เข้าใจ เพราะตนเคยคุยกันแต่ว่าไม่ลงรายละเอียดแล้วกัน แต่ว่าก็คุยกันซึ่งตนก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นเด็กดี และเมื่อถูกถามว่าลูกชายเข้ากับแฟนคนปัจจุบันของตัวเองได้ไหม เจ้าตัวก็เผยว่า ไม่มีปัญหาหรือส่งผลกระทบอะไร เพราะว่าเวลาตนคบกับแฟน เขาก็รู้แต่แรกแล้ว แล้วค่าใช้จ่ายในเรื่องของเงินเดือนของปิ๊กตนก็โอนให้แฟน แล้วแฟนตนก็จะเป็นคนโอนต่ออีกทีหนึ่ง

           ถามว่าสนิทกับลูกไหม เราเจอกัน แต่ว่าไม่ได้เจอบ่อย ด้วยความที่ตนไม่ค่อยได้คุยกับคุณแม่ของเขา แล้วก็เขาก็ไม่ค่อยอนุญาตให้ตนเจอด้วยซึ่งตนก็โอเค มันเป็นสิทธิ์ของเขา ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันไป ตนก็ถือว่าปิ๊กเป็นเด็กผู้ชาย เขาเป็นเด็กที่ไม่มีปัญหาอะไร เป็นคนที่คุยกันรู้เรื่องแล้วก็เขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี ตนเชื่อว่าในวันหนึ่งข้างหน้าได้เจอกันก็จะไม่มีปัญหา เราเจอกันน้อย มันแทบไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าด้วยความเป็นผู้ชายกับผู้ชาย ตนว่ามันคุยกันง่าย คืออย่าไปคิดว่ามันจะยากเป็นดราม่าอะไร คือผู้ชายกับผู้ชายมันคุยกันง่าย แล้วก็คือยุคนี้มันเป็นยุคที่เราต้องอยู่กับความจริง คืออะไรก็แล้วแต่คือจะมานั่งคิดอะไรที่แบบเพ้อฝันหรือว่าอะไรที่มันจะเป็นความสวยงามทั้งหมด มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าชีวิตทุกวันนี้มันก็เป็นอย่างที่เราเห็น คือตนคุยกับเขา เราก็ยอมรับกันได้ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นสิ่งที่มันเป็น

           ส่วนเรื่องอนาคตของเขา ตนเคยบอกเคยคุยกับเขาว่า อยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ด้วยความเด็ก เขาก็ยังตอบอะไรไม่ได้ ตนก็เลยบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ อยากเป็นอะไรก็เป็นไม่บังคับ แต่ว่าสิ่งเดียวที่ขอเลยคืออย่ายุ่งยาเสพติด ปิ๊กอยากไปเที่ยว อยากไปทำนู่นทำนี่ก็ไป ส่วนอนาคต เขาอยากจะเป็นอะไร ตนไม่ยุ่ง แต่ว่าถ้ามีอะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วย เรื่องการส่งเสียก็มีกำหนดไว้ว่าถึงอายุ 20 เรื่องของค่าเล่าเรียนก็ถึงจบปริญญาตรี


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก