ศัลยกรรมทางสายกลางกับความพอดี (Slim Up)
คุณหมอมีความคิดอย่างไรคะ เรื่องทำศัลยกรรมในสมัยนี้ ซึ่งกำลังฮิตกันมากเหลือเกิน
โดยส่วนตัวหมอคิดว่าไม่ควรจะทำอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิมให้มากนัก เพียงแค่ทำให้ดูดีขึ้นก็พอ ยกตัวอย่างของการปลูกผมที่ควรทำให้ดูสมวัย ไม่หลอกตา การทำโบท็อกซ์ การฉีดแก้มก็ควรจะดูโครงหน้าเราเป็นหลักหรือการฉีดซิลิโคน ซึ่งสวยอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็ห้อยย้อยลงมาของแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องอยู่ในทางสายกลาง มีความพอดีค่ะ
แต่ก็มีคนไข้บางคนที่ชอบทำศัลยกรรมมากๆ ไม่มีความพอดี บางทีก็ต้องแตะให้นิดนึง สบายใจแล้วกลับบ้านได้ แล้วอีกสองอาทิตย์ก็กลับมาขอทำอีกแล้ว ซึ่งแต่ละครั้งหมอจะค่อยๆ สอนให้เขายอมรับ และเปลี่ยนความคิดใหม่ แต่สำหรับบางกรณีที่ไปเจอหมอที่หวังกำไรเยอะๆ ขอทำอะไรก็ทำให้ ผ่าให้ 3-4 รอบ ซึ่งการผ่าแต่ละครั้งก็จะมีแผล ความเจ็บปวด และการเคลื่อนที่ดังนั้นการทำเยอะเกินไปหมอว่าไม่ดี ทำแต่นิดๆ หน่อยๆ ที่เราบกพร่องหรือขาด แล้วช่วยทำให้เราดูดีมั่นใจขึ้นก็พอ
แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่รู้สึกว่าพอล่ะคะ?
คนไข้แบบนี้มีเยอะมากค่ะ ซึ่งหมอว่าควรจะไปพบจิตแพทย์ก่อนจะดีกว่า เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในตัวเองตอนเด็กๆ อาจจะมีปมด้อย เมื่อมาทำแล้วเขารู้สึกดีขึ้น มั่นใจขึ้น คราวนี้เลยทำไม่หยุด ส่องกระจกหาจุดบกพร่องตลอดเวลา แล้วมีตั้งแต่คนอายุน้อยๆ บางทีไปฉีดกันเองตามร้านเสริมสวย ซึ่งเขาฉีดอะไรมาให้ก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าเป็นคอลลาเจน พอมีปัญหาก็วิ่งมาหาหมอ หมอก็บอกไปว่าที่ฉีดเป็นซีลิโคน ไม่ใช่คอลลาเจนและจะมามีผลก็ประมาณ 5-10 ปีหลังฉีด รู้บ้างหรือไม่ เด็กก็ตอบว่ารู้ แล้วถ้าหน้าห้อยหน้าเบี้ยวก็จะมานั่งเศร้าทีหลัง แล้วก็มีอีกประเภทที่หมอไม่ทำให้ เขาก็จะไปเสาะแสวงหาหมออื่น เราก็จะช่วยเขาได้แค่นี้ แต่พอสักพักเขาก็จะรู้สึกไม่สะใจ มาต่อว่า ว่าทำไมหมอทำให้แค่นี้ แล้วก็ไปหาหมออื่นต่อไป พวกนี้ยิ่งทำก็จะยิ่งแย่ไปเรื่อยๆ ส่องกระจกหาคำหนีไปเรื่อยๆ
แล้วฉีดโบท็อกซ์ไปนานๆ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ
คนที่ฉีดมาแล้ว 10-20 กว่าปี อย่างคนที่ค้นพบโบท็อกซ์ นิโคลัส โลว์ ซึ่งเขาเป็นผู้บุกเบิกทางด้านนี้เขาบอกว่า ตัวเขาเองฉีดมา 14 ปี แล้วยังต้องฉีดต่อไปเลย หมอถามเขาว่าไม่กลัวกล้ามเนื้อตายเหรอ เขาตอบเลยว่ากล้ามเนื้อตายได้ก็ดี จะได้ประหยัดค่าโบท็อกซ์ เพราะพวกนี้พอหยุดฉีดก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่สำหรับอะไรก็ตามที่ยังไม่รู้จริง หมอจะแนะนำคนไข้ให้ฉีดๆ หยุดๆ ฉีดสัก 3-4 เข็ม แล้วหยุดสักหนึ่งปีให้กล้ามเนื้อกลับมาสภาพเดิมแล้วค่อยกลับมาฉีดใหม่ก็ได้ เป็นการป้องกันการเกิดริ้วรอยทางสายกลางให้พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป
คุณหมอมีคำแนะนำไหมคะว่า ควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ต้องดูแลอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็ต้องดูแลผิวกันแล้ว ไม่ควรตากแดดเยอะจนเกิดเป็นกระ เมื่อโตขึ้น พออายุมากขึ้นก็ต้องดูแลผิวตามสภาพผิว ถ้าคนหน้ามันดูแลผิวแบบคนผิวแห้ง เพราะกลัวหน้าเหี่ยวก็จะทำให้เกิดสิวและเป็นแผลเป็น แต่ถ้าหน้าแห้งแล้วกลัวผิวมัน ไม่ทำอะไรกับผิวเลย พอผิวแห้งนานๆ ก็จะเหี่ยว ดังนั้นจึงควรคู่ไปตามสภาวะ เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องการแสดงสีหน้าเยอะ ถ้าเราไม่อยากฉีดหรือทำอะไร เราก็ต้องพยายามควบคุมอย่าแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเยอะมาก อย่างยิ้มกว้างมาก หรือขมวดคิ้วเวลาเครียด แต่ถ้าควบคุมไม่ได้อาจต้องไปฉีดโบท็อกซ์หยุดรอยเหล่านั้นสักพัก แล้วจึงเริ่มเปลี่ยนนิสัยการแสดงสีหน้าหนักๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คุณหมอมีความคิดอย่างไรคะ เรื่องทำศัลยกรรมในสมัยนี้ ซึ่งกำลังฮิตกันมากเหลือเกิน
โดยส่วนตัวหมอคิดว่าไม่ควรจะทำอะไรที่เปลี่ยนไปจากเดิมให้มากนัก เพียงแค่ทำให้ดูดีขึ้นก็พอ ยกตัวอย่างของการปลูกผมที่ควรทำให้ดูสมวัย ไม่หลอกตา การทำโบท็อกซ์ การฉีดแก้มก็ควรจะดูโครงหน้าเราเป็นหลักหรือการฉีดซิลิโคน ซึ่งสวยอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็ห้อยย้อยลงมาของแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องอยู่ในทางสายกลาง มีความพอดีค่ะ
แต่ก็มีคนไข้บางคนที่ชอบทำศัลยกรรมมากๆ ไม่มีความพอดี บางทีก็ต้องแตะให้นิดนึง สบายใจแล้วกลับบ้านได้ แล้วอีกสองอาทิตย์ก็กลับมาขอทำอีกแล้ว ซึ่งแต่ละครั้งหมอจะค่อยๆ สอนให้เขายอมรับ และเปลี่ยนความคิดใหม่ แต่สำหรับบางกรณีที่ไปเจอหมอที่หวังกำไรเยอะๆ ขอทำอะไรก็ทำให้ ผ่าให้ 3-4 รอบ ซึ่งการผ่าแต่ละครั้งก็จะมีแผล ความเจ็บปวด และการเคลื่อนที่ดังนั้นการทำเยอะเกินไปหมอว่าไม่ดี ทำแต่นิดๆ หน่อยๆ ที่เราบกพร่องหรือขาด แล้วช่วยทำให้เราดูดีมั่นใจขึ้นก็พอ
แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่รู้สึกว่าพอล่ะคะ?
คนไข้แบบนี้มีเยอะมากค่ะ ซึ่งหมอว่าควรจะไปพบจิตแพทย์ก่อนจะดีกว่า เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในตัวเองตอนเด็กๆ อาจจะมีปมด้อย เมื่อมาทำแล้วเขารู้สึกดีขึ้น มั่นใจขึ้น คราวนี้เลยทำไม่หยุด ส่องกระจกหาจุดบกพร่องตลอดเวลา แล้วมีตั้งแต่คนอายุน้อยๆ บางทีไปฉีดกันเองตามร้านเสริมสวย ซึ่งเขาฉีดอะไรมาให้ก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าเป็นคอลลาเจน พอมีปัญหาก็วิ่งมาหาหมอ หมอก็บอกไปว่าที่ฉีดเป็นซีลิโคน ไม่ใช่คอลลาเจนและจะมามีผลก็ประมาณ 5-10 ปีหลังฉีด รู้บ้างหรือไม่ เด็กก็ตอบว่ารู้ แล้วถ้าหน้าห้อยหน้าเบี้ยวก็จะมานั่งเศร้าทีหลัง แล้วก็มีอีกประเภทที่หมอไม่ทำให้ เขาก็จะไปเสาะแสวงหาหมออื่น เราก็จะช่วยเขาได้แค่นี้ แต่พอสักพักเขาก็จะรู้สึกไม่สะใจ มาต่อว่า ว่าทำไมหมอทำให้แค่นี้ แล้วก็ไปหาหมออื่นต่อไป พวกนี้ยิ่งทำก็จะยิ่งแย่ไปเรื่อยๆ ส่องกระจกหาคำหนีไปเรื่อยๆ
แล้วฉีดโบท็อกซ์ไปนานๆ จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ
คนที่ฉีดมาแล้ว 10-20 กว่าปี อย่างคนที่ค้นพบโบท็อกซ์ นิโคลัส โลว์ ซึ่งเขาเป็นผู้บุกเบิกทางด้านนี้เขาบอกว่า ตัวเขาเองฉีดมา 14 ปี แล้วยังต้องฉีดต่อไปเลย หมอถามเขาว่าไม่กลัวกล้ามเนื้อตายเหรอ เขาตอบเลยว่ากล้ามเนื้อตายได้ก็ดี จะได้ประหยัดค่าโบท็อกซ์ เพราะพวกนี้พอหยุดฉีดก็จะกลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่สำหรับอะไรก็ตามที่ยังไม่รู้จริง หมอจะแนะนำคนไข้ให้ฉีดๆ หยุดๆ ฉีดสัก 3-4 เข็ม แล้วหยุดสักหนึ่งปีให้กล้ามเนื้อกลับมาสภาพเดิมแล้วค่อยกลับมาฉีดใหม่ก็ได้ เป็นการป้องกันการเกิดริ้วรอยทางสายกลางให้พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป
คุณหมอมีคำแนะนำไหมคะว่า ควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ต้องดูแลอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็ต้องดูแลผิวกันแล้ว ไม่ควรตากแดดเยอะจนเกิดเป็นกระ เมื่อโตขึ้น พออายุมากขึ้นก็ต้องดูแลผิวตามสภาพผิว ถ้าคนหน้ามันดูแลผิวแบบคนผิวแห้ง เพราะกลัวหน้าเหี่ยวก็จะทำให้เกิดสิวและเป็นแผลเป็น แต่ถ้าหน้าแห้งแล้วกลัวผิวมัน ไม่ทำอะไรกับผิวเลย พอผิวแห้งนานๆ ก็จะเหี่ยว ดังนั้นจึงควรคู่ไปตามสภาวะ เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องการแสดงสีหน้าเยอะ ถ้าเราไม่อยากฉีดหรือทำอะไร เราก็ต้องพยายามควบคุมอย่าแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเยอะมาก อย่างยิ้มกว้างมาก หรือขมวดคิ้วเวลาเครียด แต่ถ้าควบคุมไม่ได้อาจต้องไปฉีดโบท็อกซ์หยุดรอยเหล่านั้นสักพัก แล้วจึงเริ่มเปลี่ยนนิสัยการแสดงสีหน้าหนักๆ
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก