เรียบเรียงข้อูลโดยกระปุกดอทคอม
"มีปัญหาผิวเหรอ ไปทำเลเซอร์สิ" หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินเช่นนี้บ่อย ๆ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ที่การเลเซอร์สามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับผิวหนังหลาย ๆ แบบได้ ทังยังทำให้เกิดอาการบาดเจ็บน้อย โอกาสเกิดบาดแผลต่ำ ทำให้ช่วงระยะเวลาในการพักฟื้นลดน้อยลงตามไปด้วย ถ้าอย่างนั้นลองไปทำความรู้จักดูการเลเซอร์ผิวหนังที่นิยมทำกันมากที่สุด 4 ประเภทต่อไปนี้กันค่ะ
1. เลเซอร์เพื่อปรับสภาพพื้นผิว (Laser Skin Resurfacing) ผู้ที่มีผิวที่มีรอยเหี่ยวย่นย่อมต้องการให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น จึงหันสู่การทำทรีตเท้นต์แบบต่าง ๆ ซึ่งมีจุดประสงค์เหมือนกัน คือการกำจัดผิวชั้นนอกออกไป เพื่อที่ผิวที่เกิดใหม่จะได้ขึ้นมาแทนที่ และขึ้นมาเติมริ้วรอยเหล่านั้นให้ดูตื้นขึ้นด้วย กระบวนการทรีตเม้นต์เพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน เช่น การลอกผิว และการกรอผิว แต่การกรอผิวนี้ดูจะเป็นกระบวนการที่ทำให้ผิวเกิดบาดแผลได้ง่าย และผลลัพธ์หลังการทำยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะออกมาดีเพียงใด แตกต่างจาการทำเลเซอร์เพื่อปรับสภาพพื้นผิวซึ่งสามารถควบคุมการออกฤทธิ์กับผิวชั้นนอก หรือที่ระดับความลึกใด ๆ ของผิวก็ได้ตามต้องการ ตามแต่ประเภทของเลเซอร์ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการจัดการแก้ไข
ทั้งนี้การเลเซอร์เพื่อปรับสภาพพื้นผิวทำงานกับผิวชั้นที่ลึกกว่าการกรอผิว แต่ยังไม่ลึกเท่ากับการเลเซอร์เพื่อปรับสภาพผิวจากรอยแผลเป็น โดยการปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นโดยวิธีการนี้ให้ผลที่น่าพึงพอใจได้ยาวนานกว่าวิธีอื่น ๆ และยังยุ่งยากน้อยกว่าอีกด้วย
2. เลเซอร์เพื่อลบรอยแผลเป็น (Laser Scar Removal)รอยแผลเป็นเกิดมาจากกระบวนการรักษาบาดแผลของร่างกายที่ผิดเพี้ยนทำงานมากหรือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เช่น การที่ผิวชั้นผิวผลิตคลอลาเจลออกมามากหรือน้อยเกินไป ก็ทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยบาดแผลแบบไหนก็ล้วนไม่เป็นที่ปรารถนาสำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวเรียบสวยทั้งนั้น การลบรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์จึงเกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้ ซึ่งรอยแผลส่วนใหญ่ที่มีปัญหาและสามารถจัดการได้ด้วยวิธีการเลเซอร์ ได้แก่
แผลคีลอยด์ (keloid scarring) เป็นรอยแผลสีแดงหรือออกม่วงคล้ำนูนออกมาจากผิวหนัง (เกิดจากการชั้นผิวผลิตคอลลาเจลมากเกินไป) และขยายออกเกินขอบเขตของแผลเดิมไปมาก แผลเป็นนูนเกิน (hypertrophic scarring) เป็นรอยแผลเป็นสีแดงออกม่วงคล้ำ นูนออกมาจากผิวหนัง แต่ไม่ขยายขอบเขตออกเกินแนวบาดแผลเดิม แผลเป็นแบบบุ๋มลง (atrophic scarring) เป็นรอยแผลที่บุ๋ม หรือเป็นหลุมลงไปในผิว ซึ่งพบได้ในผู้ที่มีรอยแผลสิวหรือเป็นแผลจากอาการทางผิวหนังอื่น ๆ 3. เลเซอร์ลบรอยสัก (Laser Tattoo Removal)คุณอาจมีรอยสักที่ไม่ต้องการแล้วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุลผลเรื่องการงาน รสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือของเดิมที่ทำเอาไว้ไม่ประณีตถูกใจและต้องการลบมันทิ้ง แม้จะเป็นการสักเข้าไปในผิวเนื้อ แต่การลบมันทิ้งไปนั้นก็เป็นไปได้ด้วยการใช้แสงเลเซอร์ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพในการลบนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริเวณที่สักและสีของหมึกที่ใช้ด้วย เนื่องจากแสงเลเซอร์จะทำงานโดยส่งพลังงานเข้าทำลายหมึกเหล่านั้นให้สลายเป็นอนุภาคที่เล็กลง และจากนั้นก็สามารถถูกกำจัดไปได้ตามระบบภูมิคุ้นกันของร่างกาย นั่นแปลว่าหมึกสีดำจะสามารถดูดซึมพลังงานจากแสงเลเซอร์ได้ดีที่สุด และอวัยวะของร่างกายที่เลือดไหลไปหล่อเลี้ยงได้มากที่สุด (ระบบเลือดคือทางเดินของระบบภูมิคุ้มกัน) จะเป็นส่วนที่การลบรอยสักได้ผลดีที่สุดนั่นเอง (อันเป็นเหตุผลที่รอยสักที่บริเวณมือและเท้าจะลบได้ยากกว่า เพราะบริเวณนั้นมีเลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย)
4. เลเซอร์กำจัดขน (Laser Hair Removal)การเลเซอร์เพื่อกำจัดขนตอบโจทย์เรื่องความงามของสาวขนดกได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องเสียเวลากับการกำจัดขน ที่ให้ผลได้แค่ชั่วระยะหนึ่ง ทั้งบางวิธีก็ทำให้เจ็บปวดด้วย (การแว็กซ์นั่นไง) แถมยังเป็นการทำร้ายผิวในทางอ้อม (วิธีถอนและโกน) เลเซอร์เพื่อกำจัดขนสามารถให้ผลที่น่าพึงพอใจ มีผิวกายที่เรียบเนียนปราศจากเส้นขนได้ยาวนานราว 11-17 สัปดาห์ (ตามแต่บริเวณของร่างกาย) ก่อนจะมีขนที่บางลงและสีอ่อนลงขึ้นกลับมา ซึ่งจะต้องกลับไปทำเลเซอร์อีกหลายครั้งเพื่อให้ขนลดลงจนบางและสีอ่อนมากจนแทบสังเกตไม่เห็น ทั้งนี้การทำเลเซอร์กำจัดขนจะได้ผลที่เห็นชัดเจนกับผู้ที่มีผิวขาวและขนเส้นหนาสีเข้ม เพราะสามารถดูดซับพลังงานจากเลเซอร์ได้ดีที่สุดนั่นเอง
การทำเลเซอร์ทั้ง 4 รายการนี้ เป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากบรรดาผู้รักสวยรักงาม ส่วนสาว ๆ ที่สนใจจะทำเลเซอร์ตัวไหนเป็นพิเศษ ก็อย่าลืมหาข้อมูลเพิ่มเติม และเปรียบเทียบวามคุ้มค่าและความพึงพอใจระหว่างผู้ให้บริการทำเลเซอร์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบด้วยนะคะ
