x close

สวยสูงสุดของร่างกาย

เส้นผม

สวยสูงสุดของร่างกาย
(Health & Cuisine)

         ปกติเซลล์ผิวหนังศีรษะของคนเราจะมีการผลัดเซลล์และหลุดลอกไปเรื่อย ๆ การผลัดเซลล์ผิวจะเริ่มต้นจากผิวชั้นล่างสุดเลื่อนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงชั้นขี้ไคลแล้วหลุดลอกไป ถ้าการหลุดลอกเป็นไปอย่างสมบูรณ์ คือหลุดลอกหมดเลยก็จะไม่มีปัญหาเกิดขุยหรือรังแค แต่หากผิวหนังศีรษะชั้นบนมีการลอกตัวออกมาเป็นจำนวนมากกว่าปกติ หรือการหลุดลอกช้าลงแล้วคาอยู่ตรงผิวหนังชั้นบนหนังศีรษะมาก ก็จะเกิดปัญหารังแคขึ้นได้  รังแคมี 2 แบบ คือ

         1. รังแคหนังศีรษะแห้ง (Dry Scalp) เกิดจากผิวหนังศีรษะที่แห้งมาก ฝุ่นผงที่เห็นจะมีลักษณะเป็นผงเล็กๆ หนังศีรษะแห้งมักจะเกิดพร้อม ๆ กับผมมัน เพราะเมื่อผิวหนังศีรษะแห้ง ต่อมไขมันที่รากผมจะถูกกระตุ้นให้สร้างน้ำมันออกมามากกว่าเดิม จนผมของเรามันเยิ้ม สาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากการใช้แชมพูที่แรงเกินไป หรือขาดการบำรุงดูแลหนังศรีษะ เช่น ไม่ได้ใช้ครีมนวดผม ความเครียด หรือสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อผิวแห้งมากผิวหนังส่วนบนก็จะแตกและหากหลุดลอกไม่หมดก็จะเป็นขุยเกิด ปัญหารังแคตามมา

         การรักษารังแคหนังศีรษะแห้งควรนวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันก่อนสระผม สระผมให้บ่อย วันเว้นวัน ด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน และควรใช้ครีมนวดนวดผมด้วย หรือลองหันมาใช้แชมพูสูตรธรรมชาติดูบ้างก็ได้ค่ะ

         น้ำมันนวดหนังศีรษะ พยายามนวดหนังศีรษะทุกครั้งก่อนสระผม นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันจมูกข้าวสาลี 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันโจโจ้บา 1 ช้อนโต๊ะ เติมกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วแต่ชอบ หรือแล้วแต่ว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมแบบไหน เช่น หากเป็นรังแค ก็ใช้ น้ำมันไซเปรส จูนิเปอร์ หรือซีดาร์วูด เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหยดลงไป 8-10 หยด

แชมพูสูตรธรรมชาติ

         1. นำมะกรูด 1 ลูก มาผ่าครึ่งต้มกับน้ำสัก 1 ถ้วย จนเดือด แล้วนำทั้งน้ำและมะกรูดมาปั่นในเครื่องปั่น

         2. ฝานขิงแก่1-2 แว่น  ใส่ลงไปร่วมด้วย

         3. เสร็จแล้วเอารำข้าวอ่อน 1-2 ช้อนโต๊ะใส่ลงไปในน้ำมะกรูดที่ปั่นแล้ว

         4. นำ ส่วนผสมที่ได้มาผสมน้ำ 5-10 ลิตร ตักน้ำชโลมเส้นผมไปเรื่อย ๆ พร้อมกับนวดหนังศีรษะไปด้วยสัก 10 นาที แล้วสระด้วยน้ำธรรมดาล้างเอามะกรูด ขิง กับรำข้าวออก สระเสร็จแล้ว เช็ดผมให้หมาด ปล่อยให้แห้งเองตามชาติ หลีกเลี่ยงการใช้ไดร์เป่าผมเพื่อป้องกันหนังศีรษะแห้งโดยไม่จำเป็น

         มะกรูดที่ปั่นลงไปทั้งลูกจะให้น้ำมันมะกรูดซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ ผิวหนัง และความเป็นกรดขอของมะกรูดจะช่วยให้ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกขณะสระผม จึงช่วยกำจัดรังแคได้

         ขิงจะมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งช่วยรักษาหนังศีรษะโดยเฉพาะรักษารังแคได้ดี และควรเลือกใช้ขิงที่แก่จัด รำข้าวมีกรดแพนโทเทอนิคจะช่วยปรับสภาพผมให้มีสภาพเหมาะสมไม่มันหรือแห้งจน เกินไป

         2. รังแคหนังศีรษะมัน (Oily Scalp) คือ หนังศีรษะจะมันมากกว่าปกติ และมีสะเก็ดเล็ก ๆ หลุดลอกจากหนังศีรษะ ซึ่งเป็นอาการของเซ็บเดิร์ม(seborrheic dermatitis) เกิดจากต่อมไขมันทำงานมากไป ซึ่งไขมันบนหนังศีรษะที่มากขึ้นจะเป็นอาหารของเชื้อรา เมื่อเชื้อราเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนมากขึ้น และเซลล์ผิวหนังศีรษะตอนบนมีการแบ่งตัวมากแล้วลอกหลุดไม่หมด ทำให้เกิดเป็นขุย ผื่นแดง ร่วมกับมีการอักเสบ และอาการคันตามมา

         วิธีรักษา ควรสระผมทุกวัน หรือวันเว้นวัน ด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนและควรใช้ครีมนวดนวดผมด้วย ควรนวดหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นต่อมไขมันให้กลับมาทำงานปกติ โดยใช้นิ้วมือนวดให้ทั่วหนังศีรษะทุกคืนก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันเยอะ ไม่เกาหนังศีรษะแรงจนเกินไป ลองใช้แชมพูสูตรธรรมชาติข้างต้นก็รักษารังแคหนังศีรษะมันได้เช่นกัน

         สำหรับคนที่เป็นรังแคเรื้อรัง ควรใช้แชมพูขจัดรังแคป้องกันไว้เลยก็ได้ เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมฆ่าเชื้อรา ได้แก่ คีโตโคนาโซล(Ketoconazole), ซิงค์ไพริไทออน (Zinc pyrithione),เซเลเนียมซัลไฟล์ (Selenium sulphide) ควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมดังกล่าวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สลับกับการใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน ถ้าเป็นนิดหน่อยใช้แชมพูที่มีตัวยาขจัดรังแคก็จะหาย แต่หากเป็นขั้นรุนแรงก็ควรพบแพทย์

         นอกจากนี้การเกาหรือหวีผมแรง ๆ จะทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดรังแคตามมาได้ หรือแม้แต่ภาวะที่เราเครียด ร่างกายอ่อนแอ ไม่สบาย จะกระตุ้นให้เกิดรังแคได้ง่ายขึ้น สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้เซ็บเดิร์มกลับมากำเริบ จะรู้สึกคัน และมีรังแคตามมา หรือจากอากาศปกติแล้วร้อนขึ้น ทำให้เชื้อราบนหนังศีรษะแบ่งตัวเร็วขึ้น และหากดูแลหนังศีรษะไม่ดี ก็จะคันและเกิดรังแคขึ้นไป แต่จะเป็นในช่วงแรก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น เมื่อร่างกายปรับตัวได้ รังแคก็จะหายไป
 
ผมร่วงบางสูญเสียความมั่นใจ

         เส้นผมของคนเราจะมีการหลุดร่วงเป็นประจำทุกวันขึ้นอยู่กับสุขภาพเส้นผมและ ระบบไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ หลังจากนั้นก็จะมีเส้นผมใหม่งอกขึ้นมาแทนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ แต่หากพบว่าในหนึ่งวันเส้นผมของเราหลุดร่วงมากกว่า 100 เส้น ถือเป็นอาการผิดปกติ

สาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ เช่น

         1.โรคเชื้อ ราบนหนังศีรษะทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ร่วมกับมีผื่น ตุ่ม คันศีรษะ มีรังแค และอาจมีน้ำเหลืองร่วมด้วย เมื่อมีอาการควรพบแพทย์ผิวหนัง

         2.ผมร่วงจากกรรมพันธุ์ เกิดจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อว่าแอนโดรเจน(Androgen) อาจถ่ายทอดจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทำให้มีโอกาสผมร่วงกว่าคนอื่น จะพบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นผมร่วงกรรมพันธุ์สูง กว่าเพศหญิง ถ้าเข้ารับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เช่น ตั้งแต่ 2-3 ปีแรกที่มีอาการ โอกาสที่จะรักษาให้อาการดีขึ้นจะมีสูงกว่าการปล่อยทิ้งไว้นาน

        แพทย์ผิวหนังแนะนำตัวยาที่มีประสิทธิภาพรักษาอาการผมร่วงจากกรรมพันธุ์ได้ดี เช่น

         1. ไมนอกซิดิว (Minoxidil) เหมาะใช้รักษาอาการผมร่วงในผู้ชาย ผู้หญิงไม่ควรรับประทานเพราะจะทำให้ขนงอกดกทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและ ลำคอ

         2. โพรพิเชีย ไฟเนสเทอร์ไรด์ (Fropecia Finesterih) ยาตัวนี้จะให้ผลดีกว่า Minoxidil บางคนใช้แล้วอาจมีผลให้ประสิทธิภาพทางเพศลดลงแต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบมาก

         3. ผมร่วงจากความเครียด ช็อก ตกใจ เสียใจอย่างรุนแรง ป่วยหนัก เจ็บป่วยเรื้อรังซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรากผมไม่เพียงพอ หรือหลังคลอด 2-3 เดือน แต่ละอาการจะทำให้ผมร่วงมากน้อยแตกต่างกันไป

         4. ผมร่วงจากการดึง ถือเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง ผมจะบางเป็นหย่อม ๆ เฉพาะบริเวณที่โดนดึงหรือแกะเกาหนังศีรษะบ่อย ๆ เมื่อไหร่หยุดดึงอาการผมร่วงก็จะหายไป

         5.ผมร่วงจากรังแค รังแคทำให้คันศีรษะ และเมื่อเกามาก ๆ กระชากผมแรง ผมก็ร่วงและบางลงได้ การรักษารังแคจะช่วยให้ผมร่วงน้อยลง

         6. ผมร่วงแบบ อโลพีเชีย อเรียตา (Alopecia areata) ผมจะร่วงบางเป็นวงๆ หย่อมๆ อาจเป็นที่คิ้วหรือหนังศีรษะ เกิดจากความบกพร่องของภูมิต้านทานในร่างกายต้านทานผม และขนของตัวเอง ทำให้ผมบริเวณนั้นหลุดร่วงไป เมื่อมีอาการควรพบแพทย์ผิวหนัง

         นอกจากนี้ การเป่าผมด้วยความร้อนสูงและจ่อใส่หนังศีรษะก็เป็นสาเหตุให้รากผมอ่อนแอ และร่วงไปได้เช่นกัน หรือเป็นโรคขาดสารอาหารประเภท โปรตีน ธาตุเหล็ก วิตามินบี

         ก่อนจะถึงขั้นต้องไปพบแพทย์ เราลองพยายามป้องกันผมร่วงด้วยตัวเองกันก่อนดีไหมค่ะ อาจลองเปลี่ยนมาใช้ยาสระผมจากธรรมชาติเพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมี นวดหนังศีรษะทุกวัน กินอาหารเพื่อสุขภาพผม เช่น ข้าวกล้อง ปลา ผักสด ผลไม้สด นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารเสริมสำหรับผมร่วง เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินบีรวม วิตามินซี ไบโอติน และสารสะกัดจากถั่วเหลือง และอย่าลืมทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่ควรเครียดค่ะ

         สำหรับการดูแลรักษาหนังศีรษะโดยทั่วไป เราควรเลือกใช้แชมพูที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ มีความเป็นกรดหรือด่างเหมาะสม(ค่า pH อยู่ระหว่าง 4.5-7) ไม่ควรแกะ เกาหนังศีรษะแรงเกินไปเพราะเชื้อโรคในเล็บอาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ ไม่ควรดัดหรือย้อมผมบ่อยๆ เพราะจะทำให้เซลล์ผมไม่แข็งแรง

         หากจำเป็นต้องดัดหรือย้อม ก็ควรบำรุงผมมากขึ้นด้วย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม และหนังศีรษะ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบีและบี 12 ไบโอติน และกำมะถัน การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงรากผมได้ดีขึ้น ส่งผลให้รากผมแข็งแรงขึ้นด้วย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สวยสูงสุดของร่างกาย อัปเดตล่าสุด 10 กันยายน 2552 เวลา 00:43:07 1,106 อ่าน
TOP