ทราย เจริญปุระ เปิดใจเล่าหัวอกคนเป็นลูก หลังถูกคนมองประจานแม่ตัวเอง เผยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ใช่ไบโพลาร์ พร้อมอัปเดตเรื่องความรัก ตั้งใจไม่แต่งงาน-มีลูก
ล่าสุด ทราย เจริญปุระ มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง One31 ที่มี นุ้ย สุจิรา และ เข็ม ลภัสรดา เป็นพิธีกร
หลายคนมองว่าพี่เป็นคนแรงถึงขั้นเป็นไบโพลาร์ ?
ทราย : ใจเย็น ๆ ป่วยอะป่วยจริง ป่วยเป็นซึมเศร้า ไม่ใช่ไบโพลาร์ ซึ่งซึมเศร้าเริ่มต้นมาจากอุบัติเหตุ ตอนนั้นรักษาตัวกินยาจนหายแล้ว หมอก็เตือนว่ามันจะมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกนะ
คิดยังไงกับคนที่บอกว่าเราแรงไม่กล้าเข้าหา ?
ทราย : มองว่าแรงไม่เคืองเท่าบอกว่าเรียกร้องความสนใจ คือชีวิตไม่สนุกแล้วยาก็แพงมาก ๆ แล้วมันจะมีวันที่แย่มาก ๆ
ทราย
: เราเหมือนมีลูกใจแตกที่แบบจะออกจากบ้านทุกครั้งที่เราเผลอ
นี่คืออาการของคุณแม่ บางวันเราออกไปถ่ายละคร แม่ก็บอกทำไมไม่กลับมาหาเขา
เราก็บอกว่าไม่ใช่ไม่อยากกลับมาหาแต่เราทำงานอยู่
จนแบบแม่บอกว่างั้นฉันจะฆ่าตัวตาย หรือว่าบางวันตื่นสายลงมาจากบ้าน
แล้วรถไม่อยู่ ประตูพัง คือแบบแม่ฉันไปไหน มันอยู่ด้วยความแบบเครียดมาก
หรือบางครั้งไม่ให้ไปไหนให้อยู่แต่ในห้อง
เก็บกุญแจรถทุกอย่างไปไหนก็ต้องเอาไป กลับมาถึงมีของมาตั้งหน้าบ้านแม่โทร.
สั่งจากรายการทีวีทุกวัน วันละ 50,000 บาท เขาซื้อทุกอย่างที่โฆษณา
คือมันเป็นอาการหนึ่งของเขาที่เขาพยายามยืนยันตัวตนว่าเขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้นะ
พวกเธอมาปิดกั้นฉันอะไรประมาณนี้ คุณหมอก็บอกแอดมิตไหม
เราก็คิดในใจจะพาแม่แอดมิตศรีธัญญาเหรอ มันดูรุนแรงไป
แล้วพี่จัดการยังไง ?
ทราย : เราก็เอาแม่เป็นหลัก ให้เขาอยู่ในมือหมอที่ดีที่สุด เพื่อที่เวลาเขารักษาเราก็รักษาตัวไปด้วย
ทราย
: เรื่องหัวใจของเขาเป็นแบบตำนานรัก มหากาพย์ของเขามาก
ในความเป็นลูกมันก็เจ็บ ลำพังแค่เราให้แม่มีความสุขได้ไม่มากพออีกเหรอ
ทำไมต้องไปมีผู้ชายคนอื่น แต่พอมองย้อนกลับไปจริง ๆ แม่ก็เหงา
เพราะว่าเขาแต่งงานตั้งแต่อายุ 25 ปี ก็มีลูก 3 คน พอลูกเริ่มโตลูกก็ทำงาน
เราก็เข้าใจเมื่อวันหนึ่งลูกโตแล้วสามีก็ตายแล้วเขาก็คงอยากกลับไปมีชีวิตเป็นสาว
คือคุณแม่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์
คือคุณแม่กับเขาคนนี้ไปเจอกัน เขารู้จักกันตั้งนานแล้ว
เรามองอย่างใจกว้างที่สุดนะ อย่างน้อยเขาเป็นเพื่อนกันในวัยขนาดนี้
แต่เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ทำไมแม่ต้องแยกตัวออกไป ทำไมต้องไปทำบ้านใหม่
ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ ซื้อแอร์ 20 เครื่อง คือมีทุกที่
กับแม่เราไม่ได้งก แต่บ้านหลังนี้ถ้าไม่นับแฟนเขาก็มีแม่เราอยู่แค่คนเดียว
คือเราดูแลครอบครัวมาตลอดอยู่แล้วตั้งแต่พ่อเสีย
เราก็ทำงานมาตลอดซึ่งทั้งหมดมันก็คือเงินเรา
ถ้าแม่ซื้อทีวีมาเรียงกัน 5 เครื่อง ในห้องตัวเอง
ในบ้านของตัวเอง มันก็จะงงประมาณนึง แต่นี่คือเจ็บ
ถึงขนาดพี่โพสต์ว่าจะเผาบ้านทิ้งเลยเหรอ ?
ทราย : มันเดือดมาก ห้องเราไม่มีทีวีเป็นของตัวเอง แอร์ก็คือแอร์เก่าที่ใช้มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งไม่มีปัญหา เสียงมันดัง น้ำมันหยดแล้วก็เรียกช่างมา พอขอทีวีแม่ แม่ก็บอกว่าไม่ต้องไปดูหรอก มาก็นอนสิจะมาดูทีวีอะไรดึกดื่น เป็นดาราต้องพักนะ ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรใด ๆ ต้องผ่านแม่หมดเพราะแม่เป็นคนถือเงิน แต่พอภาพตัดไปอีกที่ที่แบบมีทีวีอยู่ทุกมุม คือเราไม่ได้อยากได้ทีวี มันก็เลยเกิดคำถามในใจว่าทำไมเราดีน้อยกว่าคนนั้นตรงไหน
ทนกับความรู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหน ?
ทราย : ก็นานตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นเราทำงานเราต้องดูแลทั้งครอบครัว น้องก็ยังเรียนอยู่ พ่อก็ไม่สบาย ก็เกือบ 20 ปีแล้วที่รถชนต้องผ่าเนี่ยจริง ๆ มันต้องเปลี่ยนแล้ว แต่เราไม่มีตังค์เพราะเราได้เงินเดือนจากแม่ ถ้าเขาเอาตังค์ไปเปลี่ยนยางเราก็ไม่มีตังค์พอที่จะไปกองหรือว่าเติมน้ำมัน แล้วพอมาเจอเรื่องที่แม่ซื้อของสนั่นมันก็เลยแบบเฮิร์ต
ทราย
: ไม่ได้ เราก็บอกเหตุผลแต่เขาถือทุกอย่าง แต่เรายังไม่มีบัตรประชาชน
ฉะนั้นลายเซ็นทุกอย่าง สมุดบัญชีทุกเล่ม บ้าน รถ
แต่เรื่องธนาคารให้พนักงานมาดูแล้ว ว่าตอนนี้คุณแม่ไม่สามารถทำได้
เราต้องเป็นคนทำธุรกรรมแทนหมดทุกอย่าง เพราะมานั่งทำแล้ว เห็นบ้านนั่น
เห็นยอดเงินตัวเอง แล้วที่ทำมาทั้งหมด เผาไปเลยดีกว่า
คือไม่ได้อะไรแต่ก็ได้สะใจ
หลายคนก็มองว่าพี่ประจานแม่ตัวเอง ?
ทราย : เวลามีคนถามจะให้ตอบยังไง ฉันต้องแต่งเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งเหรอ ฉันเหนื่อยแล้วนะ คือถ้าไม่มีคนถามก็ไม่พูด
ที่ฟังมาคือพี่ไม่เคยทิ้งแม่ ?
ทราย : ไม่ได้ รู้สึกว่าเขาบอบบาง บาดแผลเขาเยอะ ในบางแง่เราว่าเราแข็งแกร่งกว่าเขา เราอาจจะไม่ได้มีลูกเรามีครอบครัวที่คอยประสานเหมือนที่แม่ทำได้ แต่เราเชื่อว่าในบางมุม เราก็แข็งแกร่งกว่าเขา เราก็รู้สึกว่าถ้าเขาไม่มีเราเขาก็ไม่มีใครเลย
มาเรื่องหัวใจกันบ้าง ?
ทราย : นางดี น่ารัก เจอกันเพราะทำงานด้วยกัน เขาทำฝ่ายเสียง เราเป็นคนไปจีบเขา เพราะรู้สึกว่าเขาน่าจะทนเราได้ ในนาทีนี้ถือว่าเขาคือคนที่ใช่ที่สุด มีโอกาสได้เจอครอบครัวแฟนแล้ว เราก็บอกว่าคุณพ่อคุณแม่คะ ถ้าหนูไม่แต่งงาน ไม่มีหลาน คือพ่อแม่เขาคงช็อกแหละ แต่มึงพูดมาขนาดนี้ก็ต้องจ้ะ ซึ่งเราถามแฟนเขาก็ไม่ซีเรียสอะไร อีกอย่างเราจะ 40 แล้ว เลี้ยงยังไง ก้มไม่ไหว
กับความรักครั้งนี้มั่นใจว่าคนนี้คือคนที่ใช่แล้ว ?
ทราย : มั่นใจวันต่อวัน เพราะมันจะมีวันที่เลวร้ายมาก ซึ่งมันอาจจะมีวันนึงที่เขาบอกว่าพอ เยอะก็ได้ เราก็ไม่มีวันรู้หรอกว่ามันจะเป็นวันไหน คือด้วยความที่เป็นโรคนี้อยู่เราก็รู้ตัวว่าบางครั้งเราไม่น่ารักมาก ๆ
ที่ฟังมาคนนี้คือดีมาก ๆ ?
ทราย : สักรูปเดียวกันที่แขนแต่คนละข้าง
สักเหมือนกันแล้วถ้าวันนึงมันไปกันไม่ได้ ?
ภาพจาก รายการ
คุยแซ่บShow
หากพูดถึงชื่อ ทราย เจริญปุระ เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี
แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้ดูเหมือนเธอจะเครียดกับปัญหาต่าง ๆ
จนต้องออกมาระบายผ่านทางโซเชียลอยู่บ่อย ๆ
อย่างก่อนหน้านี้กับเรื่องราวของแม่บังเกิดเกล้าที่ใช้เงินเปย์ผู้ชายใหม่
จนทรายเอ่ยปากอยากเผาบ้านทิ้ง
แต่งานนี้หลายคนก็มองอีกด้านหนึ่งว่าทำไมเธอต้องออกมาประจานแม่ตัวเอง
ล่าสุด ทราย เจริญปุระ มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง One31 ที่มี นุ้ย สุจิรา และ เข็ม ลภัสรดา เป็นพิธีกร
ทราย : ใจเย็น ๆ ป่วยอะป่วยจริง ป่วยเป็นซึมเศร้า ไม่ใช่ไบโพลาร์ ซึ่งซึมเศร้าเริ่มต้นมาจากอุบัติเหตุ ตอนนั้นรักษาตัวกินยาจนหายแล้ว หมอก็เตือนว่ามันจะมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกนะ
คิดยังไงกับคนที่บอกว่าเราแรงไม่กล้าเข้าหา ?
ทราย : มองว่าแรงไม่เคืองเท่าบอกว่าเรียกร้องความสนใจ คือชีวิตไม่สนุกแล้วยาก็แพงมาก ๆ แล้วมันจะมีวันที่แย่มาก ๆ
พี่ดูแลคุณแม่เต็มที่มาก ๆ มันยากขนาดไหนอธิบายให้ฟังหน่อย ?
ภาพจาก รายการ
คุยแซ่บShow
แล้วพี่จัดการยังไง ?
ทราย : เราก็เอาแม่เป็นหลัก ให้เขาอยู่ในมือหมอที่ดีที่สุด เพื่อที่เวลาเขารักษาเราก็รักษาตัวไปด้วย
นอกจากแม่จะโทร. ช้อปปิ้ง-ออกไปข้างนอกเอง อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือเรื่องของแฟน ?
ภาพจาก รายการ
คุยแซ่บShow
ถึงขนาดพี่โพสต์ว่าจะเผาบ้านทิ้งเลยเหรอ ?
ทราย : มันเดือดมาก ห้องเราไม่มีทีวีเป็นของตัวเอง แอร์ก็คือแอร์เก่าที่ใช้มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งไม่มีปัญหา เสียงมันดัง น้ำมันหยดแล้วก็เรียกช่างมา พอขอทีวีแม่ แม่ก็บอกว่าไม่ต้องไปดูหรอก มาก็นอนสิจะมาดูทีวีอะไรดึกดื่น เป็นดาราต้องพักนะ ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรใด ๆ ต้องผ่านแม่หมดเพราะแม่เป็นคนถือเงิน แต่พอภาพตัดไปอีกที่ที่แบบมีทีวีอยู่ทุกมุม คือเราไม่ได้อยากได้ทีวี มันก็เลยเกิดคำถามในใจว่าทำไมเราดีน้อยกว่าคนนั้นตรงไหน
ทนกับความรู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหน ?
ทราย : ก็นานตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นเราทำงานเราต้องดูแลทั้งครอบครัว น้องก็ยังเรียนอยู่ พ่อก็ไม่สบาย ก็เกือบ 20 ปีแล้วที่รถชนต้องผ่าเนี่ยจริง ๆ มันต้องเปลี่ยนแล้ว แต่เราไม่มีตังค์เพราะเราได้เงินเดือนจากแม่ ถ้าเขาเอาตังค์ไปเปลี่ยนยางเราก็ไม่มีตังค์พอที่จะไปกองหรือว่าเติมน้ำมัน แล้วพอมาเจอเรื่องที่แม่ซื้อของสนั่นมันก็เลยแบบเฮิร์ต
ด้วยความที่คุณแม่ไม่สบาย เราจะคุยเหตุผลนี้กับท่านได้ไหม ?
ภาพจาก รายการ
คุยแซ่บShow
หลายคนก็มองว่าพี่ประจานแม่ตัวเอง ?
ทราย : เวลามีคนถามจะให้ตอบยังไง ฉันต้องแต่งเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งเหรอ ฉันเหนื่อยแล้วนะ คือถ้าไม่มีคนถามก็ไม่พูด
ที่ฟังมาคือพี่ไม่เคยทิ้งแม่ ?
ทราย : ไม่ได้ รู้สึกว่าเขาบอบบาง บาดแผลเขาเยอะ ในบางแง่เราว่าเราแข็งแกร่งกว่าเขา เราอาจจะไม่ได้มีลูกเรามีครอบครัวที่คอยประสานเหมือนที่แม่ทำได้ แต่เราเชื่อว่าในบางมุม เราก็แข็งแกร่งกว่าเขา เราก็รู้สึกว่าถ้าเขาไม่มีเราเขาก็ไม่มีใครเลย
มาเรื่องหัวใจกันบ้าง ?
ทราย : นางดี น่ารัก เจอกันเพราะทำงานด้วยกัน เขาทำฝ่ายเสียง เราเป็นคนไปจีบเขา เพราะรู้สึกว่าเขาน่าจะทนเราได้ ในนาทีนี้ถือว่าเขาคือคนที่ใช่ที่สุด มีโอกาสได้เจอครอบครัวแฟนแล้ว เราก็บอกว่าคุณพ่อคุณแม่คะ ถ้าหนูไม่แต่งงาน ไม่มีหลาน คือพ่อแม่เขาคงช็อกแหละ แต่มึงพูดมาขนาดนี้ก็ต้องจ้ะ ซึ่งเราถามแฟนเขาก็ไม่ซีเรียสอะไร อีกอย่างเราจะ 40 แล้ว เลี้ยงยังไง ก้มไม่ไหว
กับความรักครั้งนี้มั่นใจว่าคนนี้คือคนที่ใช่แล้ว ?
ทราย : มั่นใจวันต่อวัน เพราะมันจะมีวันที่เลวร้ายมาก ซึ่งมันอาจจะมีวันนึงที่เขาบอกว่าพอ เยอะก็ได้ เราก็ไม่มีวันรู้หรอกว่ามันจะเป็นวันไหน คือด้วยความที่เป็นโรคนี้อยู่เราก็รู้ตัวว่าบางครั้งเราไม่น่ารักมาก ๆ
ที่ฟังมาคนนี้คือดีมาก ๆ ?
ทราย : สักรูปเดียวกันที่แขนแต่คนละข้าง
สักเหมือนกันแล้วถ้าวันนึงมันไปกันไม่ได้ ?
ทราย : ไม่ใช่พี่แน่ ๆ ที่เป็นฝ่ายลบ พี่เจ็บและมันเปลือง (ยิ้ม)
ภาพจาก รายการ
คุยแซ่บShow
ติดตามรายการ
คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-15.00 น. ทางช่อง One31 Facebook
Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama






