

ช่วงโควิดเป็นยังไง โอเคไหม ?
เหลือเฟือ : ก็เหมือนกันทั่วไป
อาเหลือจะมีตลกคู่บุญเหมือนกัน คือน้องหยก ?
เหลือเฟือ : ยุคนั้นเลย
ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง ?
เหลือเฟือ : โดนว่าเกาะเด็กกิน มันมีกรณีแบบนี้ด้วย ตอนนั้นก็จะมีพี่รงค์เกาะน้องพีกิน เหลือเฟือเกาะน้องหยกกิน ช่วงนั้นข่าวอันไหนมันขายได้เขาก็ขายกันไป เรื่องงานก็ดี
ถ้าดีทำไมถึงมีวันนี้เกิดขึ้น ไม่ได้คุยกับหลานมา 16 ปี ?
เหลือเฟือ : อาจจะเป็นเพราะลูกหลานเราเยอะ แล้วเราคิดว่ามันสบายดีอยู่ ด้วยลูกน้องเราก็เยอะ เราก็ต้องมีภาระดูแลคนอื่นหลาย ๆ คน ลูกหลานเราก็มีหลายคน แล้วพอมานึกถึงหยกอีกที คนนี้น่าจะสบายดีมันถึงไม่ได้โทร. หาเรา

มีแวบ ๆ นึกถึงบ้างไหม ว่ามันจะไปอยู่ไหน ทำอะไร ?
เหลือเฟือ : มีคนถาม อย่างเราไปก็มีคนถาม พี่เหลือ น้องหยกเป็นไงบ้าง เจอยัง บางทีเราก็สะอึกเหมือนกันตรงที่ว่าเราตอบไม่ถูก มันเป็นไงวะ อยู่ยังไง บางทีก็ได้แต่ถามลูกน้อง บางทีลูกน้องเราอาจจะเจอน้องหยกมากกว่าเรา เราเจอแวบ ๆ ตั้งแต่วันที่พ่อพี่เสีย หลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนั้นในงานคนมันเยอะมาก เห็นหน้ามันแวบ ๆ ผ่าน ๆ ทุกวันนี้ยังจำไม่ได้เลย ผมกล้าพูดเลยว่าวันนี้ทีมงานบอกให้มาออกกับน้องหยก พี่ก็ด้วยจรรยาบรรณ จะลองไม่เปิดดูเฟซดูอะไร ไม่ค้นหา อยากมาเจอวันนี้เลยว่าหน้าตาจะเป็นยังไง
แสดงว่าวันนี้จะได้เห็นว่าน้องโตมาเป็นยังไงครั้งแรก ?
เหลือเฟือ : ใช่ โซเชียลอาจจะเยอะ แต่ว่าผมไม่ได้ดูหลานผม ผมกล้าพูดเลยว่าไม่เห็นหน้าหลานจริง ๆ
สมัยเด็ก ๆ เล่นกันจบแล้วแยกย้ายกันไปเหรอ ?
เหลือเฟือ : คือช่วงนั้นอาจจะเป็นช่วงที่ต่างคนต่างงานเยอะ พี่ก็งานเยอะ น้องหยก เราก็รับงานเยอะ พอเรารับงานมา เราก็จะให้พ่อมันดูแล คือไปรับเงินกับเขาเลย แล้วก็ไปหาคนนั้นคนนี้ เราจะบอกแม้กระทั่งว่าไปกองนี้ทำตัวอย่างนั้น แต่งานคู่ก็มีเยอะ งานแยกบางทีเขาเอาน้องหยกไปอัดเดี่ยว แล้วอาก็ต้องไปอีกรายการหนึ่ง

แล้วสุดท้ายเลิกทำงานด้วยกันได้ยังไง ?
เหลือเฟือ : มันเหมือนกับเลิกตอนที่คาเฟ่มันอ่อนจริง ๆ กล้าพูดเลยว่าคาเฟ่ยุคนั้นคณะพี่สู้มาเป็นคณะท้าย ๆ ในบรรดาตลกทั้งหมดแล้ว พี่หม่ำเลิกไปแล้ว พี่โน้ตเลิกไปแล้ว ตอนนั้นทุกคนเลิกไปเอาทางทีวีหมดแล้ว พี่ก็พยายามสู้ในคาเฟ่ ทีนี้มันสู้ไม่ไหว เพราะว่าคณะเรามันก็ใหญ่ขึ้น พี่ทำวงเดินสายทั่วประเทศ ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ช่วงนั้นน้องหยกก็จะอยู่ด้วย ก็จะไปด้วยตลอด น้องหยกก็จะไปศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อะไรอย่างนี้
ห่างกันไป 16 ปี ภาพจำน้องหยกเป็นยังไง ?
เหลือเฟือ : หน้าแบน ๆ ปากปลาร้าอะไรอย่างนี้ มันเป็นคนช่างพูด
แล้วคิดว่าหน้าตาเป็นยังไง ?
เหลือเฟือ : ถ้าวาดภาพหน้าหยกโตขึ้น 1. หน้าตาต้องคล้ายพี่สุนารี ราชสีมา 2. เจนนิเฟอร์ คิ้ม หน้าหยกมันแบน ๆ

จริง ๆ ก่อนหน้านี้เคยมีภาพน้องหยกออกไปในโซเชียลแล้ว ?
เหลือเฟือ : ไม่ได้ดู ก็มีรายการอะไรโทร. มาจะเอาน้องหยก เราก็บอกหาเบอร์ให้หน่อย ให้ลูกน้องแบบว่าหาเบอร์ให้ พี่ไม่มีเบอร์มันจริง ๆ ไม่รู้เฟซ ไม่รู้อะไรมันเลย เพราะเราก็ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเยอะแยะมากมาย
พี่เหลือเห็นหน้าน้องหยกแล้วรู้สึกยังไง ?
เหลือเฟือ : โครงหน้าเก่า แต่ว่าถ้าเดินข้างถนนก็ไม่ทัก มันดูเปลี่ยนไป มันไม่ใช่คนที่จะมาสูงขนาดนี้
หยก : ตอนนี้ 25 ปี แค่ถ้าเป็นหนู มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเป็นเขา เพราะมีอยู่คนเดียว แล้วโหนกเขาเหมือนโล่กัปตันอเมริกา
เหลือเฟือ : ตอนเด็กมันตัวดำ ตอนนี้มันขาวขึ้น ไปเฮ็ดศัลยกรรมมาหรือเปล่า
หยก : ทำดั้ง กับทำคาง แต่อาจจะเพราะแม่หนูเป็นคนขาวด้วย
16 ปีที่ห่างหายกันไป แทบจะไม่ได้ติดต่อคุณอาเลย เป็นเพราะอะไร ?
หยก : หลังจากที่ออกมาหนูก็ย้ายตามพ่อตามแม่ไปอยู่ต่างจังหวัด แล้วตั้งแต่แม่เสีย อาจจะเป็นเพราะว่าเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ด้วย แล้วหนูก็ไม่รู้ว่าอายังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม
จำได้ไหม ตอนเราแยกจากอาเหลือ ตอนนั้นอายุเราประมาณเท่าไหร่ ?
หยก : ป.4 ซึ่งมันนานมาก ๆ แล้ว ตั้งแต่ย้ายออกมาตอนนั้นหนูย้ายไปนู่น ย้ายไปนั่น ไม่ใช่ว่าลืมนะคะ แต่ไม่ได้คุย ไม่ได้ติดต่อเลย เพราะว่าเราเองก็เรียนด้วย แล้วพอเรียนจบไปหางานทำไปเรื่อย ก็เลยไม่ได้โทร. หา ไม่ได้อะไร แต่ว่าจำได้ไม่เคยลืม
พี่เหลือแอบน้อยใจไหม 16 ปี หลานไม่ติดต่อมา ?
เหลือเฟือ : ไม่หรอก ถึงเวลาเราก็ต้องบอกมัน มีคนมาปรึกษาว่าอยากชวนน้องหยกไปทำเพลง เราก็บอกเขาตรง ๆ ว่าเราติดต่อมันไม่ได้ ตอนนี้ไม่รู้มันอยู่ไหน แต่รู้ว่ามันอยู่กรุงเทพฯ นี่แหละ เห็นญาติพี่น้องเขาบอก ก็บอกลูกน้องว่าถ้าเจอหยกก็บอก ถ้ามีเบอร์ก็เอาเก็บไว้หน่อยนะ เผื่อมีงานมีการ มันยังรับงานหรือเปล่าไม่รู้

มีมุมแอบคิดถึงหลานบ้างไหม ?
เหลือเฟือ : คนเคยทำงานร่วมกันมา ต่อให้เป็นลูกน้องเราก็คิดถึง ยิ่งเป็นหลาน อย่างน้อยมันก็คือหลาน เพราะเมื่อก่อนไปไหน น้องหยกคือโลโก้ เราก็พูดในซีดี วิดีโอตลอด มึงจะตกอับ มึงจะได้ดีอะไร มึงก็คือหลาน ก็คิดถึง แต่ว่าเรามันต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีภาระที่ต้องทำ เพราะทุกคนโตขึ้น มันก็ไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคน
ทีมงานเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กหยกลำบากมาก น้ำก็ต้องซื้อมาอาบ ?
หยก : ก็ตั้งแต่แม่เสีย ชีวิตหนูเปลี่ยนไปเลย ทีแรกเรียนอยู่ แล้วพ่อเปิดร้านรับซื้อของเก่า ไปทำแรก ๆ คือมีเงินเลย มีรถ มีเงิน มีทุกอย่าง พอแม่เสียทุกอย่างพลิกผัน พ่อโดนโกงเอาร้านคืน แล้วพ่อก็มีครอบครัวใหม่ หนูก็อยู่ไม่ได้แล้ว ขอไปอยู่กับพี่ที่เลย เสร็จปุ๊บก็ย้ายมาอีกอยู่โคราช แล้วย้ายมาชลบุรีอีก ย้ายมาขอนแก่นอีก ย้ายไปย้ายมา แต่ตอนนั้นที่ไปอยู่ชลบุรี หนูเรียนอยู่ ม.5-6 แล้วพอไปอยู่เหมือนเปิดร้านรับซื้อของเก่า แต่ว่าไปขอไฟแล้วไฟมันเข้าไม่ถึง พ่อบอกไม่เป็นไร เข้าไม่ถึงก็ไม่ต้องใช้ไฟ ก็คือใช้แบตเตอรี่ ใช้ตะเกียง แล้วก็โทรศัพท์หนูก็ไม่มีนะ ตอนกลางคืนนอนฟังวิทยุธานินทร์

ใช้ชีวิตแบบนี้มานานแค่ไหน ?
หยก : ประมาณ 2 ปี ตอนนั้นอยู่กับพ่อ น้อง แล้วก็แฟนใหม่พ่อ แล้วก็ลูกชายพ่ออีกคนหนึ่ง ก็คือพ่อมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่
ที่บอกว่าย้ายไปนู่นนี่ คือย้ายไปกับคุณพ่อ ?
หยก : ก็คือว่าหลังจากพ่อเซ้งร้านที่ไม่มีน้ำ-ไฟ หนูก็ย้ายกลับไปอยู่ขอนแก่น ย้ายของทุกสิ่งอย่างกลับไปถาวร ตั้งแต่เด็กจนโตหนูไม่เคยอยู่บ้านตัวเองเลย ซึ่งจากในเมืองไปถึงบ้านหนู ระยะทางไป-กลับประมาณ 21 กิโล
ที่บอกว่าไม่เคยอยู่บ้านตัวเอง ตอนนั้นเราไปอยู่ไหน ?
หยก : ก็มาเล่นตลกตั้งแต่อนุบาล 3 ก็คืออาเขามาเห็นแวว จำได้ว่าตอนนั้นอยู่บ้านญาติ
เหลือเฟือ : คือวันนั้นพี่จำหยกไม่ได้ด้วย คือพวกเราชาวคณะจะไปเล่นที่ขอนแก่น ก็เลยไปแวะที่บ้านน้องหยกก่อนที่จะเข้าขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดพี่นี่แหละ พอแวะไป ปกติเด็ก 3 ขวบ มันไม่กล้าที่จะมาหาคนแปลกหน้าหรอก นี่วิ่งมา พอเปิดประตูปุ๊บ อาเกมส์สวัสดีค่ะ พากันมาทำอะไร เราก็บอกว่ามาแวะกินข้าว อยู่กรุงเทพฯ บ่มีกินบ่ มากินไกลแท้ เราก็เลยคิดว่าทำไมไอนี่มันพูดเป็น ก็ถามว่าลูกใคร ก็รู้ว่าเป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องกัน ก็บอกให้เก็บเสื้อผ้าขึ้นรถ เดี๋ยวพาไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนั้นเอาน้องหยกมายังไม่ถึงกรุงเทพฯ นะ แวะเล่นวิลล่าก่อนเลย ก็โอเค

ครั้งแรกที่เล่นเขาตื่นเวทีไหม ?
เหลือเฟือ : ตามธรรมชาติเลย หยกขึ้นไปเล่น เรารู้อยู่แล้วผิดมุกก็คือผิดมุก ตั้งแต่นั้นมาน้องหยกเกิดเร็วมาก
ชีวิตของหยกตอนแรกดีเลย แต่มาสะดุดตอนเราเริ่มโต ?
หยก : ใช่ค่ะ
ย้ายบ้านตอนไหนที่ทีมงานบอกพี่ว่าเกือบถูกข่มขืน ?
หยก : คือตอนนั้นหนูย้ายกลับมาอยู่ที่ชลบุรีอีกรอบ เพื่อนบอกว่ามาช่วยร้องเพลงหน่อย แล้วตอนนั้นหนูก็ไม่รู้ว่าหนูจะไปอยู่ที่ไหน ซึ่งในตอนนั้นมีแค่คนรู้จักหนูเคยทำงานร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง แล้วทีนี้เหมือนกับว่าพี่คนนี้เคยทำงานด้วยกัน สนิทกัน หนูก็บอกว่าหนูไม่รู้จะไปอยู่ไหน หนูไปอยู่ด้วยแป๊บหนึ่งได้ไหม เขาบอกมา ๆ อยู่ด้วย เขาก็ดูแลเราดีนะ แต่พอทีนี้พี่คนนี้เขาเข้ากะดึก แล้วแฟนเขาก็ 40-50 แล้ว แล้ววันนั้นเราป่วย ไม่สบาย ก็มาแบบอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นโทรศัพท์ไม่มี มีแค่ซิมอย่างเดียว หนูเดินข้างถนนไปเจอพวกพี่ ๆ นั่งทานหมูกระทะ หนูเลยบอกว่า พี่ หนูขอความช่วยเหลือหน่อย หนูไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่ตรงนี้ ก็คือยืมโทรศัพท์เขาเพื่อจะเอาซิมตัวเองใส่ในโทรศัพท์ แล้วก็โทร. ไปอยู่กับเพื่อน
ตอนที่เราโดนลวนลาม ตอนนั้นเราหนีมายังไง พอจำได้ไหม ?
หยก : คือเขายังไม่ได้ฉุดกระชากลากแบบนั้น เขามีท่าทีหนูก็รีบลุก แล้วรีบเก็บข้าวของเดินไปตามทางถนน หลังจากนั้นไม่นานหนูไปทำงานที่ร้านหมูกระทะก่อน พอเริ่มเก็บเงินได้ประมาณพันกว่าบาท หนูก็ซื้อโทรศัพท์พันกว่าบาทมาใช้ ก็มีเฟซบุ๊กก็เลื่อนดูนู่นนั่นนี่ เอาจริง ๆ ชีวิตหนูไม่เคยคิดที่จะอยากมาอยู่กรุงเทพฯ เลย เพราะหนูคิดว่ามันวุ่นวาย พอวันนั้นตัดสินใจถามพ่อว่าหนูตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพฯ

พอตอนนั้นเราก็กลับมาอยู่กับคุณพ่อเหมือนเดิม ?
หยก : อยู่กับคนที่รู้จัก พ่อก็ให้เบอร์อาศรีหลอดมา หนูก็โทร. หา อยากมาทำงานที่นี่ มีอะไรให้หนูทำบ้างไหม เขาก็บอกว่าเก็บของมาอยู่กับอาก่อน อยู่ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ คือหนูไปกินนอนบ้านอาศรีหลอด ตอนนั้นอาหลอดเขาทำน้ำพริก หมูฝอย ขายด้วย อาอู๊ดเขาก็ติดต่อมาเป็นยังไงบ้างหลาน สบายดีไหม นู่นนั่นนี่
ตอนนั้นหนูเลือกที่จะโทร. หาอาอู๊ดกับอาหลอด ทำไมไม่โทร. หาอาเหลือ ?
หยก : เอาจริง ๆ เมื่อก่อนนี้อาเขางานเยอะมาก ๆ ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ๆ หนูก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แบบไหน สมัยที่ทำงานเขาก็ไม่ค่อยได้มาที่คณะ เพราะว่าไปถ่ายละคร ไปทำนู่นทำนี่ อย่างอาหลอด อาอู๊ด นั่งรถตู้ก็นั่งคันเดียวกัน บางทีก็มีไปกินข้าวที่บ้านบ้าง เหมือนกับเราเล่น เราสนิทกันมากกว่า
ทำงานมาหลากหลายมาก เป็นแดนเซอร์ด้วย แต่ไม่ชอบเป็นเพราะอาย ?
หยก : บางทีเต้นแล้วก็ร้องเพลง แล้วบางทีลูกค้าก็บอกว่านั่นไง น้องหยกที่เล่นหนังช้างเพื่อนแก้ว มันก็รู้สึกจุกอกนิดหนึ่ง จากที่เราเคยขึ้นไปมีชื่อเสียง มีเงิน มีทอง แล้วอยู่ดี ๆ เรามาอยู่ในจุดจุดนี้ ถามว่าหนูอายไหม หนูไม่เคยอาย ซึ่งหนูยินดีกับทุก ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตหนูมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นบทเรียน แล้วหนูก็ดูแลตัวเอง ซัพพอร์ตตัวเองมาได้ตลอด ไม่ว่าหนูจะทำอาชีพอะไรก็ตาม หนูคิดว่ามันเป็นอาชีพสุจริต ทำแล้วไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร
ทุกวันนี้ยังมีคนจำเราได้ ?
หยก : จำได้ ตอนที่หนูชีวิตเปลี่ยน หนูไปอยู่ที่โนอาร์แล้ว ด้วยความที่โนอาร์กับพระรามเก้ามันอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วมีคนจำได้ว่าไอหยกนี่ ก็มีลูกค้าเอ็นดู ทุกคนจำได้
มันมีข่าวลือมาว่าที่ไม่ได้ติดต่อกันมา 16 ปี เพราะว่าไม่ลงรอยเรื่องผลประโยชน์หรือเปล่า ?
เหลือเฟือ : มันจะมีผลประโยชน์อะไรกับพี่ ไม่ได้เคลียร์กันเรื่องผลประโยชน์ เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน สิ่งที่น้องหยกมาอยู่กับเหลือเฟือเนี่ย คือน้องหยกไปรายการไหนก็แล้วแต่จะให้พ่อของน้องหยกไปสอนน้องหยกอีกทีหนึ่ง หรือบางทีเราจะให้คนมาดูแลไปงานอะไร แต่ทุกครั้งที่อัดรายการเสร็จ ตัวพี่เองจรรยาบรรณของตลก
เราอยู่คณะด้วยกัน น้องหยกไม่ได้เติบโตมาแล้วอยู่ ๆ ได้ออกทีวีเลย มันต้องเห็นใจพวกพ้องน้องพี่ที่สร้างเรามา ก็คือพวกตลกที่อยู่ด้วยกัน ยังไงก็แบ่งเวลามาหาคณะให้ได้ ตัวพี่เองอัดรายการอยู่ ไกลแค่ไหนก็ต้องตีรถมาเล่นคาเฟ่ เรื่องเงินมันไม่คุ้มหรอก แต่ให้ลูกน้องมีกิจกรรม ให้ลูกน้องได้มีงาน มีเงินตรงนี้ด้วย มันเป็นจุดเริ่มต้นของพวกเรา คือตลกคาเฟ่ แต่เรื่องผลประโยชน์อะไรที่จะเคลียร์กับน้องหยกมันไม่มีหรอก
หยก : ในตอนนั้นหนูจำไม่ได้หรอก ภาพในหัวหนูที่จำได้คือไปอัดรายการ ไปเล่นตลก แล้วไปทัวร์ต่างจังหวัด คือสนุกมาก

ในเรื่องของรายได้ที่เราได้รับ คุณพ่อก็จะเป็นคนดูแล ?
หยก : ใช่ค่ะ ถ้าเป็นคณะก็จะเป็นทิปรวม แต่ถ้าเป็นของหนูอาเขาก็จะให้เลย
ไม่เจอกัน 16 ปี มีอะไรอยากจะเคลียร์ใจกับคุณอาไหม ?
หยก : จริง ๆ ไม่ได้มีนะ เพราะว่าเรื่องที่ผ่านมามันเป็นเรื่องที่นานเป็น 10 ปีแล้ว ซึ่งอันนั้นเป็นเรื่องที่หนูก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นหนูเด็กมาก ความคิดความอ่านหนูก็ยังไม่มี หนูก็ทำไปตามที่เขาบอก แต่คือทุกวันนี้หนูก็โตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้มีอะไรที่เคลียร์
เหลือเฟือ : ไม่มีอะไรเคลียร์เลย
ทีมงานกระซิบเรื่องงานศพแม่หยก ?
เหลือเฟือ : เรารู้สึกเสียใจวันที่แม่น้องหยกเสีย เราไม่ได้ไป ตอนนั้นเราติดงานอยู่ที่เชียงใหม่ ก็เลยให้ย่าไป บอกญาติพี่น้องไป บอกพ่อน้องหยกด้วยนะ ไปไม่ได้ติดงาน ก็รู้สึกเสียใจตอนนั้นที่ไม่ได้ไปร่วมงานศพ
หยก : ก็ไม่เป็นไร หนูเข้าใจว่าทุกคนก็ต้องมีงาน ต้องมีสิ่งที่ตัวเองต้องทำ เพราะว่าเขาไม่ได้รับผิดชอบแค่ตัวคนเดียว อาเขายังมีลูก ยังมีอะไรที่เขาต้องดูแลอีกเยอะแยะมากมายเลย
เหลือเฟือ : ที่สำนึกเพราะอะไร เราสอนลูกหลาน เราสอนชาวคณะตลอด ว่าอะไรก็แล้วแต่งานศพเนี่ยถ้าเราไปได้ไปนะ มันจะเห็นกันครั้งสุดท้ายนี่แหละ ต้องไป แต่ทีนี้เราไม่ได้ไปไง เราเลยคาใจ
ชีวิตหยกช่วงหนึ่งดีมาก รับทิปวันหนึ่งพันสองพันจากพวงมาลัย ?
หยก : ค่ะ
แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เริ่มเปย์เพื่อน เริ่มเที่ยว ?
หยก : หลงระเริง หนูทำงาน 2 เดือน เก็บเงินได้เกือบล้าน ก็ร้องเพลง มีคนมาเอ็นดู มีแฟนด้วย หนูคิดว่าเวลาเราดวงขึ้นตอนนั้นก็มีคนมาเอ็นดูเรา มาคล้องทุกวัน ๆ วันละ 3-4 หมื่น
2 เดือนเก็บเงินได้เกือบล้าน เห็นว่าตอนนั้นหลงระเริงมาก จนติดยา ?
หยก : คือมีเพื่อน อันนี้หนูทำงานกลางคืน ไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนจะต้องเป็น ก็มีเลี้ยงเพื่อนอะไรด้วย หลาย ๆ อย่าง ไม่เคยคิดถึงอนาคตตัวเอง ซึ่งตอนนั้นมีค่ายเพลงมาติดต่อ แล้วไปออกอัลบั้มกับเขา แต่ด้วยความที่หนูไม่ได้คิดถึงอนาคตตัวเอง ก็คิดว่าตอนนี้อยู่ตัวแล้วนี่ เงินเราก็มี ไม่ต้องไปดิ้นรนก็ได้มั้ง เพราะหนูคิดว่าวงการบันเทิงมันไม่ใช่ของเราแล้ว หนูคิดแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าเวลาป่วยต้องมีเงิน ตอนที่มีเงินไม่เคยกลับบ้านด้วย
ตอนนั้นหมดเงินไปกับอะไรบ้าง ?
หยก : เลี้ยงเพื่อน เมาก็ใจใหญ่ ตัวเองไม่ได้กิน กินน้ำเปล่า อยากใช้ก็ใช้
พาไปจุดเริ่มต้นที่เราใช้ยาเสพติดด้วย ?
หยก : มีค่ะ แต่หนูไม่ได้ติด นาน ๆ ที เจอเพื่อน เฮฮาปาร์ตี้ แต่อาทิตย์หนึ่งก็เที่ยวบ่อยเหมือนกัน เหมือนเราได้วันละ 5,000 แต่พอเราอัป เราขาดงานไป 3-4 วัน มันขาดรายได้ไปเยอะเลยนะ แล้วเราจะมาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ตลอดเหรอ มาคิดได้ตอนนั้นพ่อบอกว่ามีเงินไหม ยืมเงินหน่อย มาจ่ายค่างวดรถ แค่หมื่นเดียวหนูบอกไม่มี แต่กับเพื่อนยืมหน่อย นู่นนั่นนี่
จุดนี้เป็นจุดที่เราคิดได้ ?
หยก : หนูรู้สึกผิดมาตลอดชีวิต เอาจริง ๆ สุดท้ายแล้วในชีวิตคนเราถ้าวันหนึ่งเราเจออะไรก็ตาม สมมติถ้าวันหนึ่งเรามีแฟน เราเลิกกับแฟน เราไม่สบายใจ สุดท้ายเรากลับไปพักใจที่บ้าน พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย เขาก็ยังอยู่ตรงนี้ มันทำให้หนูคิดได้ในหลายสิ่งหลายอย่างว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือครอบครัว หลังจากนั้นหนูเลิกทุกอย่างขาดหมดเลย

ได้ฟังชีวิตหลานเป็นไงบ้าง ?
เหลือเฟือ : มันไม่ใช่สูตรสำเร็จของคนทั่วไปนะ ว่าพอมีอะไรแล้วต้องไปติดยา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ อย่างชีวิตน้องหยก ถ้าฟังแล้วไม่ใช่แค่เราได้ยินแค่น้องหยกคนเดียว เราได้ยินมาเยอะ แต่เรารู้สึกว่ามึงด้วยอีกคนเหรอที่เป็นแบบนี้ ถ้าฟังแล้วคิดนะ น้องหยกโตไม่ทันที่อาจะสอนว่างานวงการบันเทิง ศิลปิน ดารา นักแสดง มันไม่มีอาชีพนี้หรอก จริง ๆ มันคืองานอดิเรก พอเราได้เราต้องเก็บ
หยก : ใช่ เพราะตอนนั้นหนูไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นว่ามันต้องมี มันต้องเป็นนะ มาคิดได้ตอนตัวเองป่วย รักษาตัวเอง ที่ผอมอยู่ทุกวันนี้เป็นลำไส้แปรปรวน เป็นโรคกระเพาะด้วย หนูปอดไม่ดี หัวใจหนูอยู่ข้างขวา ไปเอกซเรย์ดูปอด หนูก็จะไอ มีเสมหะตลอดเวลา คือมันรักษาไม่หาย
ตอนนั้นเราใช้เงินไปเยอะ ในวันที่เราป่วย เราไม่มีเงินเยอะมารักษาตัวเอง ?
หยก : เงินที่มีก็รักษาตัวเองหมดเลย
ความฝันของหยกคืออยากเป็นนักร้อง ?
หยก : อยากเป็นนักร้อง หนูคิดถึงงานในวงการมาก ๆ เลย
ติดตามชมรายการ “คุยแซ่บShow” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ YouTube Channel : Orange Mama