x close

ตุ๊กกี้ ชีทำ..ไป..ได้

ตุ๊กกี้


ตุ๊กกี้ ชีทำ..ไป..ได้ (กรุงเทพธุรกิจ)

          ตลกหน้าฉาก นักแสดงสมทบที่ขโมยความเด่นจากทีมตลกรุ่นพี่ ที่สำคัญ ในนาทีนี้ เธอเป็นตลกหญิงที่คนไทยเห็นหน้าบ่อยมากที่สุดคนหนึ่ง

          สุดารัตน์ บุตรพรหม สาวร่างเล็กวัย 30 ปีที่เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรายการเกมโชว์ยอดฮิตตั้งแต่ปี 2547 ผู้ยืนยันด้วยวาจาว่าเธอคือดาวเด่น แต่การแสดงท่าทางที่ตรงกันข้าม เป็นมุขที่สร้างเนื้อสร้างตัวให้เธอกลายมาเป็นตัวเด่นในบรรดาตลกหน้าใหม่ยุคนี้ ขณะที่เส้นทางบันเทิงของเธอเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า ไม่น้อยหน้าใคร

          และการทำงานหน้าฉากทั้งหมด เธอบอกได้ว่า ไม่มีความบังเอิญ แต่มันคือความตั้งใจ การใช้พรสวรรค์และพรแสวง เธอเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ตุ๊กกี้มีคำตอบ จากบทสนทนาหลังฉาก จากงานแสดงเรื่องล่าสุด "วงษ์คำเหลา"

เริ่มรู้สึกตัวเองเป็น "คนดัง" มานานหรือยัง

          ตุ๊กกี้ : คือจะบอกว่าตุ๊กกี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ (ตอบหน้าตาย)

นี่เป็นมุขหรือจริง

          ตุ๊กกี้ : จริง (ผงกหัว สีหน้ายังเรียบเฉย) ก็คือตอนเรียนประถม จะทำอะไรก็ได้ ให้ตัวเองเด่นที่สุดในโรงเรียน ร่วมกิจกรรมทุกประเภท กีฬา วงโยธวาทิต การแสดง เพื่อให้ตัวเองได้ยืนเด่นอยู่ข้างหน้า ให้เป็นที่รู้จักของอาจารย์และเพื่อนๆ พอมาเข้าเรียนต่อ (ระดับมัธยมต้น) ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ กาฬสินธุ์ คุณครูจะเลือกนักเรียนที่หน้าตาดีเพื่อพาไปออกงานแสดงต่างๆ ตุ๊กกี้ก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้ออกงาน และได้เงิน (ค่าเหนื่อย) เหมือนเพื่อนๆ บ้าง ตุ๊กกี้ก็ผันตัวเองมาเป็นพิธีกร และเรียนรู้ว่าจะทำยังไงให้คน (ดู) ติด (ใจ) จนได้เป็นพิธีกรประจำวิทยาลัยนาฏศิลป์ ซึ่งก็คือต้องเล่นตลกด้วย

รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นว่าทำได้

          ตุ๊กกี้ : เรารู้จักตลกตั้งแต่อยู่ชั้น ม.2 แล้วค่ะ มีงานรำบ้าง พิธีกรบ้าง แต่มารู้จักตัวเองว่ากล้าแสดงออกมากๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เอกนาฏศิลป์ไทย ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตอนเด็กๆ รู้แค่ว่าชอบการแสดง ถึงเลือกเรียนนาฏศิลป์ แต่ที่มหาวิทยาลัย รู้จักกับ ครูกบ-พีรพงศ์ เสนไสย เขาทำให้ตุ๊กกี้เป็นตุ๊กกี้ทุกวันนี้ เขาสอนให้รู้ว่า นักแสดงไม่ต้องหน้าตาดี ทำไมไม่เอาคนที่มีความสามารถเป็นตัวเอกของเรื่อง เพราะฉะนั้นตอนอยู่มหาลัย ตุ๊กกี้จะได้เล่นเป็นตัวเอกของเรื่อง สมมติว่า ถ้าบทนั้นเป็นบทเจ้าหญิง ตุ๊กกี้ก็จะได้เล่น ทำให้รู้สึกว่า ฉันไม่ต้องสวยก็เล่นได้ ครูกบสอนให้รู้ว่า แค่เรามีความสามารถและมั่นใจในตัวเอง ทำได้หมด

เข้าสู่วงจรการทำงานกับเวิร์คพอยต์ได้อย่างไร

          ตุ๊กกี้ : พอใกล้จบมหาลัย ส่งใบสมัครมาที่เวิร์คพอยต์ จากนั้นมาส่งใบสมัครมาประมาณ 5 รอบ ไม่เคยถูกเรียกเลย จนผ่านงานที่ภูเก็ตแฟนตาซี และเปลี่ยนวิธีการสมัครจากส่งจดหมายเป็นสมัครผ่านอินเทอร์เน็ต และเปลี่ยนตำแหน่งจากนักแสดงเป็นฝ่ายเสื้อผ้า โชคดีช่วงนั้นเขารับพอดี คุณสมบัติที่ต้องการคือ ต้องจบด้านนาฏศิลป์การแสดง สามารถแต่งชุดและมีความรู้เกี่ยวกับโขนละครฟ้อนรำ และต้องอธิบายการแสดงที่เป็นของไทยทุกอย่างได้ ทุกข้อที่เขากล่าวมา ตุ๊กกี้ทำได้หมดเลย เขาก็เรียกสัมภาษณ์และได้งานวันนั้น

เริ่มที่ชิงร้อยชิงล้านเลยหรือเปล่า

         ตุ๊กกี้ : ฝ่ายเสื้อผ้าจะได้ทำทุกรายการของเวิร์คพอยต์ หมุนวนไปเรื่อยๆ ค่ะ รายการแรกที่ทำคือ คุณพระช่วย

จากเบื้องหลังมาสู่เบื้องหน้าตอนไหน

          ตุ๊กกี้ : ทุกครั้งที่วนมาชิงร้อยฯ ตุ๊กกี้คิดเลยว่า extra (ตัวประกอบ) ที่เขาจ้างมาเล่น (กับสามช่า) น่ะ ฉันทำได้ดีกว่านี้อีก คิดว่าถ้าฉันเล่นจะทำได้ฮากว่านี้อีก ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเล่นมุขนี้มุขนั้นนะ และแล้ววันนั้น พี่เท่ง เถิดเทิง กับพี่หม่ำ (จ๊กม๊ก) ก็เอาตุ๊กกี้ไปเล่น ตุ๊กกี้ก็ทำได้ พอทำได้ปุ๊บ ตุ๊กกี้กลับมาบอกตัวเองว่า เรามีวันแรกแล้ว ก็ต้องมีวันต่อไปอีก

หมายถึงโอกาส

          ตุ๊กกี้ : คือเมื่อก่อนตุ๊กกี้จะโผล่บ้างไม่โผล่บ้าง (รายการชิงร้อยชิงล้าน ) ไงคะ สมัยยังไม่ได้เป็นตัวเล่นประจำ ซึ่งระหว่างที่โผล่บ้างไม่โผล่บ้างน่ะ ตุ๊กกี้คิดตลอดเวลาว่า ถ้าฉันได้ออกไปอีก ฉันจะทำหน้าอย่างนี้นะ ซ้อมหน้ากระจกให้ตัวเองดู ฮาไหม (เอียงหน้าสาธิต) และฉันจะเต้นท่านั้นท่านี้ เหมือนเราทำการบ้านกับตัวเองก่อนแสดง

ผลออกมาอย่างที่คิดไหม

          ตุ๊กกี้ : พอเราก้าวออกไปยืนหน้าเวที 5 นาทีแรก คนกรี๊ดเลยค่ะ เห็นไหมล่ะ คนกรี๊ดเรา คิดในใจว่าอาทิตย์หน้าเราจะทำให้คนกรี๊ดดังกว่านี้อีก ตุ๊กกี้เป็นคนชอบให้กำลังใจตัวเอง ทำการบ้านมาก่อนทุกครั้ง

การเล่นตลกในทีวีกับเล่นหนังใหญ่ต่างกันมากไหม

          ตุ๊กกี้ : ตุ๊กกี้เริ่มทำงานทีวีกับหนังใหญ่พร้อมๆ กัน เรื่องแรก "แหยมยโสธร" ออกมาฉากเดียว แต่มันไม่ต่างค่ะ มันก็เป็นศาสตร์ตลก แค่เล่นเป็นตัวเองเล่นให้ขำนะ และทำงานกับพี่หม่ำ (จ๊กม๊ก) จะไม่ยากมาก เขาจะบอกให้เราเป็นตัวเองให้มากที่สุด จะไม่ได้เล่นตามบท ความยากง่ายจะอยู่ที่ตัวเอง ว่าเราจะทำฮาได้แค่ไหน พี่หม่ำเขาชอบบุคลิกของตุ๊กกี้มากกว่าคำพูด เช่น ตุ๊กกี้มีเอกลักษณ์ส่วนตัวคือ หน้าตาย ยืนทื่อๆ ก็ฮา ใน "แหยมยโสธร" ไม่ได้พูดเลยซักคำ แค่ทำหน้าอย่างเดียว ซึ่งฉากนั้นแค่ไม่กี่วินาที เล่นเป็นสาวน้อยตกน้ำ ทำให้คนรู้จักตุ๊กกี้ จากนั้นก็วิวัฒนาการมาเล่นในรายการชิงร้อยฯ ก็ไม่ได้มีบทพูดเลย เริ่มแรกแค่ยืนออกมาหน้านิ่งๆ แต่ฮาค่ะ ฮาทุกครั้ง พอเริ่มมีบทพูด พี่หม่ำก็ปูทางให้ว่า เราจะต้องทำอะไรที่ตรงข้ามกับภาพที่เห็น คือให้ตุ๊กกี้มีความมั่นใจว่าตัวเองสวย แต่ภาพลักษณ์ออกมาจะตรงข้าม เพราะงั้นบทบาทเราก็คือเป็นตัวเองนั่นแหละ

แม้เราจะเป็นตัวเอง แต่ในทางการแสดงมันก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมบางอย่างใช่ไหม

          ตุ๊กกี้ : มีค่ะ ถ้าเทียบกับทีมสามช่า ตุ๊กกี้อายุน้อยที่สุด ฉะนั้นเทคนิคการแต่งตัว เทคนิคการแต่งหน้า มุขวัยรุ่น ตุ๊กกี้จะเตรียมพร้อมมามากพอสมควร เรื่องเพลงท่าเต้นวัยรุ่นเราจะเตรียมมาเลย ตุ๊กกี้ติดอินเทอร์เน็ตมาก เพราะเวลาเตรียมตัวเราจะได้จากตรงนั้นมาก ทาร์เก็ตของตุ๊กกี้เป็นเด็กนักศึกษา นักเรียน เวลาเราเล่นอะไรไปเขาจะอิน และฮา เพราะมุขเราเป็นปัจจุบัน (ส่วนหนึ่งเธอบอกว่าได้คำแนะนำจากแฟนหนุ่มวัยเดียวกัน ซึ่งทำธุรกิจขายเสื้อผ้าที่ถนนข้าวสาร) เช่น เพลง Nobody (จากวงวันเดอร์เกิร์ล เกาหลี)ท่าเต้น เราทำได้หมด และคำพูดแปลกๆ ได้มาจากเพื่อนๆ ที่เป็นเพศที่สามเยอะ ซึ่งเด็กวัยรุ่นฟังแล้วรู้เรื่องกัน ส่วนการรับมุขตบมุขกับพี่ๆ สามช่า ไม่มีอะไรมาก เพราะเราพูดคุยกับเขาเช้ายันเย็น การเล่นมุขหน้าเวทีก็เป็นอย่างนั้น การจิกกัด ต่อว่า อำนู่นนี่นั่น เป็นเรื่องปกติ และตุ๊กกี้ไม่ยอมให้เขากัดฝ่ายเดียว เขาอำมาเราอำกลับไปเลย

จุดสำคัญที่ทำให้เราอยู่กับทีมตลกสามช่า ได้น่าจะเป็นอะไร

          ตุ๊กกี้ : ปกติชิงร้อยฯ จะมีตัวยืนเป็นสามช่า และก็พี่ส้ม ใช่มั้ยคะ แต่ทีนี้ ตุ๊กกี้เข้ามาเป็นตัวแปลก การแต่งตัว แต่งหน้า ลักษณะอากัปกิริยา ไม่เคยมีใครทำ (ส่ายหน้าลากเสียงยาว) พูดง่ายๆ คือ แทบไม่มีใครเลียนแบบเรา เพราะตุ๊กกี้แต่งตัวหลุด(โลก)มาก อย่างติดขนตา เราจะติดแค่ตรงเหนือตา แต่ติดตรงนี้บ้าง(ชี้ที่หน้าผา) ติดตรงนั้นบ้าง(ชี้ที่แก้ม) และแต่ละครั้งออกมาไม่เหมือนกัน มันก็แปลกโดดเด่น คนจะจับตามอง เพราะงั้นคนก็จะรอดูว่าคราวหน้าเราจะออกมายังไง วัยรุ่นจะชอบเพราะเราแต่งตัวแรง ซึ่งเราก็เรียนรู้มาจากอินเทอร์เน็ตนั่นแหละ

เราเน้นการแต่งตัวแปลก

          ตุ๊กกี้ : ส่วนหนึ่งเพราะตุ๊กกี้ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายคอสตูมมาก่อน และเป็นคนที่รู้ตัวเองว่า แต่งยังไงแล้วฮา เวลาเดินตลาดเรารู้เลยว่า อย่างนี้แต่งยังไง และเบื้องหลังความสำเร็จอีกอย่างคือ พี่ๆ สามช่าเขาดันเรา ให้เราเล่นเต็มที่ เต็มเหนี่ยวเลย ตุ๊กกี้มีโอกาสเยอะมาก (เน้นเสียง) และเวิร์คพอยต์ให้เราเป็นนักแสดงในสังกัด ซึ่งเขามีรายการของตัวเองเยอะมาก เด็กในสังกัดก็ต้องได้เล่นก่อนตลกข้างนอก ตุ๊กกี้ก็เลยได้โผล่เกือบทุกรายการ  เหมือนเปิดทีวีช่องไหนก็ต้องเจอตุ๊กกี้

หน้าฉากตลก เบื้องหลังเฮฮาไหม

          ตุ๊กกี้ : ตุ๊กกี้เป็นคนซีเรียสกับการทำงาน เพราะที่บ้านจะปลูกฝังว่าเราจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ และต้องทำงานที่เลี้ยงตัวได้ มีเกียรติคนนับหน้าถือตา ตุ๊กกี้มีพี่น้องสามคน พ่อแม่เตรียมการไว้ให้แล้วว่า พี่ชายคนโตต้องเรียนด้านช่างเทคนิค เพื่อทำธุรกิจค้าขายขับรถ ที่บ้านตุ๊กกี้ค้าขายไงคะ และพี่คนที่สองต้องเรียนพยาบาล เพราะพ่อแม่คนในครอบครัวล้มป่วยมาจะได้รักษา ทุกคนเป็นตามนั้น ตุ๊กกี้แหวกมาคนเดียว ไม่ได้เป็นครู ซึ่งมีอาชีพ มีสวัสดิการ มีคนนับถือตามที่พ่อแม่หวังไว้ แต่มาทำอาชีพที่เขามองว่าเต้นกินรำกิน

แสดงว่าที่บ้านไม่ยอมรับงานของเรา

          ตุ๊กกี้ : ตุ๊กกี้เรียน ม.1 ที่ตัวเมืองอุดรธานี ซ้ำสองครั้งนะ เพราะตุ๊กกี้ไม่ชอบที่พ่ออยากให้เรียน(โรงเรียนมัธยมสายสามัญ) แต่อยากเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ ตุ๊กกี้แอบไปศึกษามาแล้ว แอบหนีไปสมัครเองด้วย ตอนเรียนประถมเจอครูฝึกสอนมาจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ เราได้เรียนรำ ยิ่งรำยิ่งชอบ ก็ถามครูว่าจะไปสมัครยังไง แอบหนีพ่อออกทางหลังบ้านตอนตีห้า ซึ่งเวลานั้นพ่อวิ่งรถหกล้อที่ใช้เป็นเหมือนรถเมล์น่ะค่ะ เราก็ออกไปอีกทางด้วยเงินแค่ 300 บาท จากบ้านที่อุดรฯ ไปกาฬสินธุ์ เป็นหนึ่งในสองของวิทยาลัยนาฏศิลป์ ภาคอีสาน (อีกแห่งอยู่ที่ร้อยเอ็ด) ตอนกรอกใบสมัครเรากรอกนานมาก มันมี 2 ข้อ ที่ติดคือ ข้อที่บอกว่าคุณสมบัติผู้สมัครต้อง หน้าตาดี และ ผู้ปกครองต้องเห็นชอบ ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เราก็ตัดใจกรอกให้ครบ พอไปสัมภาษณ์ครูและเพื่อนๆ มองกันหมดเลย มองเราหัวจรดเท้า เพราะทุกคนหน้าตาดีหมด

เราแตกต่างที่สุด

          ตุ๊กกี้ : ค่ะ และกลัวเขาจะติดต่อไปทางพ่อด้วย เพราะเรียนสายนี้ต้องเรียนตั้งแต่ม.1-ม.6 เป็นสายวิชาชีพ ช่วงแรกตุ๊กกี้ต้องหาเงินใช้เอง จากการขายสร้อยเงิน ขายของกระจุกกระจิก จนแม่สงสารคุยกับพ่อขอให้ช่วย แต่เรียนถึงม.3 พ่อก็ยังจะอยากให้เปลี่ยน(ไปเรียนสายสามัญ) ตุ๊กกี้ไม่ไป ยังไม่เลิก พอจบม.6 ปุ๊บพ่อขอให้ไปสอบราชภัฏ ตุ๊กกี้บอกคำเดียวว่าไม่ เอนทรานซ์เข้ามหา\'ลัยสายศิลปะการแสดง ตอนเรียนปี 2 เริ่มได้เงินจากการทำงาน รับงานแสดงตามงานเปิดตัวต่างๆ คือเสนอตัวไปเอง เรามีการแสดงนี้ๆ นะ ก็ได้งานมา จากงานเหล่านี้เราส่งเงินให้ที่บ้านได้ พอเห็นเงิน ที่บ้านก็เริ่มเชื่อนะ ว่าเราหาเลี้ยงตัวเองได้บ้าง

ตอนนี้ก็คือยอมรับได้แล้วสิ

          ตุ๊กกี้ : ช่วงแรกๆ แม่รับไม่ได้มากเลย แม่ถามว่า เรียนจบปริญญาตรีแล้ว มาแต่งตัวกะโหลกกะลา มาเต้นบ้าๆ บอๆ อะไร ตุ๊กกี้บอกแม่ว่า การเล่นตลกมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง การที่คนเราจะทำให้คนอื่นหัวเราะ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ แต่หนูทำได้นะแม่ การทำให้คนเขาหัวเราะมีความสุข และได้เงินด้วยนะแม่ (ลากเสียงยาว)

เรื่องเงินเรื่องใหญ่

          ตุ๊กกี้ : ใช่  พอเราเริ่มมีชื่อเสียง คนเริ่มพูดถึงเราในทางที่ดี ถึงแม้เราจะตลกโปกฮา แต่งหน้าทุเรศๆ ก็มีคนพูดกันว่า ขำเนอะ ดูตุ๊กกี้สิ ทำได้ยังไง ฮามากเลย คนทั้งหมู่บ้านก็เริ่มพูดกันในเชิงชื่นชม อืม เก่งเนอะ บ้านนี้เลี้ยงลูกยังไง วาสนาดีจัง เล่นตลกเก่งจัง พอคนชื่นชมทุกวัน พ่อกับแม่ก็ภูมิใจแล้ว สิ่งที่เขาเคยคัดค้าน ไม่อยากให้ลูกเต้นกินรำกิน มันกลับกลายเป็นเงินทองก้อนใหญ่ที่เราส่งกลับบ้านได้ เขาก็เริ่มมองเห็นว่า เออ ทำอย่างนี้ได้เงินดีกว่าการเป็นครูอีก ทุกวันนี้พ่อแม่ภูมิใจที่สุดแล้วล่ะ

ตอนนี้ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จกับความฝันสูงสุดหรือยัง

          ตุ๊กกี้ : ยังค่ะ สำหรับตุ๊กกี้ ความสำเร็จของมนุษย์ ถ้าแบ่งได้ 3 ขั้นนะ ตอนนี้ถือว่าตัวเองเพิ่งถึงขั้นแรกเอง ยังไม่ได้ทำอะไรมาก แค่การแสดงเอง เรายังอยากทำอีกหลายอย่างและคิดว่าตัวเองทำอะไรได้อีก อยากทำรายการของตัวเอง และอยากเปิดร้านเช่าชุดไทย เพราะตุ๊กกี้เรียนนาฏศิลป์มาสิบปี และเห็นแล้วว่า ธุรกิจเช่าชุดไทยรายได้มันดีมาก ลงทุนครั้งเดียว รายรับมันได้นานมาก

คิดอย่างไรกับการก้าวมาเป็นดาราในวงการบันเทิงปัจจุบัน

          ตุ๊กกี้ : ตอนเรียนจบมหาลัย ตุ๊กกี้ได้ไปทำงานที่ภูเก็ต แฟนตาซี สองปี ซึ่งทำให้ตุ๊กกี้รู้ว่า จริงๆ แล้ว พื้นฐานการเป็นนักแสดงไม่จำเป็นต้องสวย เพราะภูเก็ตแฟนตาซี รับสมัครพนักงาน และวงเล็บไว้อย่างเดียวว่า เป็นนักแสดง ไม่มีกำหนดว่าหน้าตาดี หรือสูงต่ำดำขาว ดังนั้นนักแสดง 200 คนของที่นั่นมีปะปนทั้งสวยหล่อ เตี้ยล่ำ แต่ทุกคนได้เล่นบทเดียวกันในโชว์ ไม่มีแบ่งแยก ตรงนั้นแหละ ตุ๊กกี้ได้เรียนรู้ว่าศิลปะการแสดง ไม่ได้แบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่ได้แบ่งแยกบุคลิกหน้าตา แต่มันอยู่ที่ความสามารถ พรสวรรค์และพรแสวงของคุณเอง ส่วนเรื่องความสำเร็จ ตุ๊กกี้เจอคำถามบ่อยมาก ตุ๊กกี้พยายามบอกทุกๆ คนว่า คนเราเกิดมาไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ หรือพรแสวงที่มีอยู่ มันต่างกัน แต่อีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้สำเร็จคือโอกาส ทั้งที่มีคนหยิบยื่นให้ หรือโอกาสที่มันโผล่มา  มันจึงไม่มีอะไรการันตีว่า คนที่มีครบทั้งหมดนั้น จะเป็นอย่างตุ๊กกี้ได้หรือเป็นเหมือนพี่หม่ำได้

          และดาวตลกหญิงที่ครองจอแก้วยุคนี้ทิ้งท้ายถึงการทำงานว่า... "คนที่มีครบทั้งหมดนั้นอาจจะไม่ได้เป็นเลยก็ได้ มันเหมือนกับฟ้าเขาลิขิตมา เราไม่รู้หรอก ฉะนั้น ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไม่เดือดร้อนคนอื่น และหาจุดมุ่งหมาย ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง"


โดย : ทศพร กลิ่นหอม


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตุ๊กกี้ ชีทำ..ไป..ได้ อัปเดตล่าสุด 5 กรกฎาคม 2552 เวลา 16:32:56 1,053 อ่าน
TOP