x close

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า


ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ DuangAesthetic สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            หายหน้าหายตาไปนาน อดีตนักแสดงอารมณ์ดี ปุ๊กกี้ ชุลีพร ดวงรัตนตรัย คนบันเทิงมากฝีมือที่คนรุ่นใหม่อาจไม่คุ้นหน้า เพราะเธอห่างหายจากวงการมายาไปกว่า 7 ปีแล้ว เนื่องจากถูกรุมเร้าด้วยโรคร้ายหลายโรค แต่วันนี้เธอกลับมาให้เห็นหน้าค่าตากันอีกครั้ง ในรายการวีไอพี (18 มิถุนายน) พร้อมกับเปิดใจทุกเรื่องราวของการใช้ชีวิตอย่างประมาทจนสุขภาพร่างกายย่ำแย่ และการปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสารพัดโรคร้ายได้อย่างอารมณ์ดี เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันได้เลย ..

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า

            ปุ๊กกี้ ชุลีพร ดวงรัตนตรัย คือนักแสดงรูปร่างอวบ ที่มีแว่นตาและอารมณ์ขันเป็นเอกลักษณ์ มีผลงานมากมายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะหายหน้าจากวงการบันเทิงไปตั้งแต่ 7 ปีก่อน โดยฝากผลงานละครเรื่อง น่ารัก ทางช่อง 3 ที่นำแสดงโดย แมน การิน ศตายุส์  และ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยสาเหตุที่ต้องทิ้งงานในวงการบันเทิงที่เธอรักไปนั้น เป็นเพราะโรคร้ายที่รุมเร้าถึง 7 โรคหนัก ๆ คือ โรคเบาหวาน, โรคความดัน, โลหิตจาง, โรคปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม, โรคไตวาย, โรคเบาหวานขึ้นตา และเชื้อโรคเข้าโพรงกะโหลกจนหูดับ จนทำให้ไม่สามารถรับงานแสดงได้อีกต่อไป

            ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปุ๊กกี้ ชุลีพร มีความสุขกับการใช้ชีวิตโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน โดยไม่รู้เลยว่าจะเป็นสาเหตุของความทุกข์อย่างหนักหนาสาหัส วันหนึ่งขณะที่เข้าห้องน้ำ ปุ๊กกี้ ชุลีพร พบว่ามีมดจำนวนมากไต่อยู่ในห้องน้ำ ทั้งที่เธอปัสสาวะและกดชักโครกไปแล้ว เธอฉุกคิดได้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานจากกรรมพันธุ์ ปุ๊กกี้ จึงรีบไปพบแพทย์ และคำตอบที่ได้จากสิ่งที่ปุ๊กกี้สงสัยก็เป็นเรื่องจริง ปุ๊กกี้ ชุลีพร ตรวจพบโรคเบาหวานตอนอายุเพียง 24-25 ปี เท่านั้น

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า

            3 เดือนแรกหลังการตรวจพบโรคเบาหวาน เธอดูแลตัวเองอย่างดี เลือกรับประทานแต่ผัก ไม่ทานของหวาน และไม่ทานแป้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความอยากก็มีมากขึ้น ปุ๊กกี้ ตามใจปากโดยคิดเพียงแค่ว่าทานไปก่อนเดี๋ยวค่อยลดก็ได้ พอถึงเวลาที่หมอนัดก็ใช้ยาช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อหลบเลี่ยง จากนั้นก็ใช้ชีวิตตามปกติเรื่อยมา นั่นคือการรับประทานอาหารวันละ 5 มื้อ มื้อหนึ่งทานข้าวไม่ต่ำกว่า 2-3 จาน หากเป็นก๋วยเตี๋ยวก็ประมาณ 4 ชาม ถ้าวันไหนทานหมูสะเต๊ะกับเพื่อน ๆ ก็จะสั่งกันมา 70-90 ไม้ ส่วนมื้อย่อย ๆ ก็จะทานขนบขบเคี้ยวทุกชนิดโดยเฉพาะถั่ว เพราะเป็นของทานเล่นที่ปุ๊กกี้ชอบมาก หรือจะเป็นผลไม้ต้องห้ามสำหรับคนเป็นโรคเบาหวานอย่าง ทุเรียน ขนุน กล้วย ปุ๊กกี้ก็กินไม่เคยเว้น

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า

            เพื่อนสนิทหลายคนของ ปุ๊กกี้ ชุลีพร ก็ได้แต่เตือน เพราะเธอยอมรับว่าไม่ฟังเสียงเตือนของคนรอบข้างเลย จน ปวีณา ชารีฟสกุล เพื่อนนักแสดงสาว ถึงกับโมโหและยกถาดอาหารของปุ๊กกี้ไปโยนทิ้งถังขยะต่อหน้าต่อตาด้วยความเป็นห่วง จนปุ๊กกี้ตกใจ แม้จะเกรงใจไม่กล้ากินเยอะให้เพื่อนเห็นอีก แต่ปุ๊กกี้ก็ยังคงแอบรับประทานอาหารตามใจปากอยู่เหมือนเดิม

            ปุ๊กกี้ ชุลีพร ใช้ชีวิตแบบประมาทปล่อยระยะเวลาล่วงเลยไปเป็น 10 ปี จนร่างกายเริ่มแสดงอาการให้เห็นมากขึ้น น้ำหนักลดลง นอนไม่หลับ ไม่มีเรี่ยวแรง และไม่สดชื่น แต่ปุ๊กกี้ก็ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เนื่องจากชอบที่ตัวเองทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน และยังสามารถใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ได้มากขึ้น แม้จะรู้ว่าความผอมที่ได้มาเกิดขึ้นจากอาการของโรคเบาหวาน แต่เธอก็เลือกที่จะมองข้ามไป และไม่ไปหาหมอตามนัด

            เวลาผ่านไปอีก 2-3 ปี ปุ๊กกี้ ชุลีพร เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรง สมองคิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนที่เคย ขาก็เริ่มบวม จนไม่สามารถยกขาก้าวขึ้นบันไดได้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนมีกระสอบมาถ่วงขาไว้ แขนก็ชา ขาก็ชา วันดีคืนดีเดิน ๆ อยู่แล้วเห็นเลือดหยดที่พื้น จึงก้มลงดูขาตัวเองแล้วพบว่าที่ตาตุ่มมีเนื้อถลอก ลองนั่งนึกดูจึงรู้ว่าตัวเองเตะกระถางต้นไม้จนขาถลอก โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะขาชา จึงต้องไปพบแพทย์และทำกายภาพบำบัด น้ำหนักของปุ๊กกี้ ชุลีพร ก็ค่อย ๆ ลดลง จากที่เคยหนัก 89 กิโลกรัม ก็ลดลงจนเหลือประมาณ 49-50 กิโลกรัม

            วันหนึ่งขณะที่ ปุ๊กกี้ ชุลีพร ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าหูข้างซ้ายของเธอไม่สามารถใช้การได้ จึงต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง และมีกำหนดการรักษาว่าจะต้องให้ยาผ่านทางน้ำเกลือจำนวน 14 ขวด แต่เมื่อให้ยาไปเพียง 12 ขวด ร่างกายของปุ๊กกี้ก็บวมขึ้นมากจากอาการของโรคไต จนร่างกายทนไม่ไหว หายใจไม่ออก และรู้สึกเหมือนคนกำลังจะตาย เพื่อนจึงแนะนำให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ปุ๊กกี้จึงรีบไปตามคำแนะนำทันที

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า

            ซึ่งระหว่างที่กำลังทุกข์ทรมานจากโรคไตอยู่นั้น โรคเบาหวานตัวดีก็ลามขึ้นตาของปุ๊กกี้ โดยเธอค่อย ๆ รู้สึกตัวว่าตาพร่ามัวลง มองอะไรไม่ชัดเหมือนเคย และต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ทั้งยิงเลเซอร์และฉีดยาเข้าที่ตาทั้ง 2 ข้าง แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายหมอเลือกใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อรักษาจนอาการดีขึ้นได้

            เมื่อครั้งที่ต้องเริ่มต้นฟอกเลือดจากอาการของโรคไต ปุ๊กกี้ ที่ไม่อยากถูกฟอกเลือด ก็แอบแวะไปพึ่งพาไสยศาสตร์อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเธอหมดหวังเต็มที โดยปุ๊กกี้ต้องเดินทางไปพึ่งพาไสยศาสตร์ในประเทศลาวหมดเงินไปนับแสนบาท และได้ยาหม้อมาต้มกิน ซึ่งหลังจากยาหมดหม้อแรก เธอแข็งแรงขึ้นจนมีกำลังใจให้กินยาหม้อต่อไป 5 เดือน ผ่านไปอาการก็เริ่มทรุดลงหนักกว่าตอนก่อนกินยาครั้งแรก แต่ปุ๊กกี้ก็ฝืนกินอยู่แบบนั้น 1 ปี จนผลตรวจเลือดฟ้องว่ามีโปแตสเซียมสูงมาก เนื่องจากสมุนไพรในยาหม้อส่วนใหญ่มีโปแตสเซียมเยอะและไม่ถูกกับโรคไตอย่างมาก หมอจึงต้องผ่าตัดเส้นเลือดที่คอและแขน เพื่อเตรียมฟอกเลือดเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต

            แม้จะต้องดูแลตัวเองเพียงลำพัง เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ ปุ๊กกี้ ชุลีพร ก็มีเพื่อน ๆ ที่คอยดูแลและให้กำลังใจเธออยู่เสมอ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ในวงการอย่าง ท็อป ดารณีนุช โพธิปิติ, รัดเกล้า อามระดิษ, เบ็กกี้ ริสา หงษ์หิรัญ, ศิรินุช เพ็ชรอุไร และอีกหลาย ๆ คน รวมถึงพิธีกรรายการวีไอพี อย่าง ตุ๊ก ญาณี จงวิสุทธิ์ ด้วยเช่นกัน โดยตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลใหม่ ๆ เพื่อน ๆ ก็ช่วยกันรวบรวมเงินเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวกับเธอ แต่ปุ๊กกี้เป็นคนขี้เกรงใจ อีกทั้งยังไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินมากนัก เธอจึงเอาเงินที่เพื่อน ๆ ช่วยเหลือมาไปช่วยเหลือครอบครัวของ อโนเชาว์ ยอดบุตร เพื่อซื้อออกซิเจนให้กับ อโนเชาว์ ที่นอนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา ส่วนเงินที่เหลือก็นำไปพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจก โดยใส่ชื่อผู้ที่มีน้ำใจกับเธอเอาไว้ครบทุกคน

            โดย ปุ๊กกี้ ชุลีพร เล่าด้วยเสียงสั่นเครือว่า ซึ้งในน้ำใจของเพื่อนมาก ๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอมีกำลังใจในการสู้กับโรคร้าย น้ำใจที่เพื่อนหยิบยื่นให้และถามไถ่อย่างเป็นห่วง เป็นเหมือนการมีคนเข้ามาช่วยประคองตอนที่ตัวเองกำลังเซใกล้จะล้ม คำพูดและน้ำใจเหล่านั้นคือยาดีจากเพื่อน ๆ ทุกคน ส่วนเงินที่เพื่อน ๆ ช่วยเหลือมานั้นยังคงเหลืออยู่ 9,000 บาท ซึ่งปุ๊กกี้ก็เก็บเอาไว้เป็นเงินขวัญถุงมาจนถึงทุกวันนี้

            ปัจจุบัน ปุ๊กกี้ ชุลีพร ต้องเข้ารับการฟอกเลือดสัปดาห์ละ 3 วัน โดยใช้เวลาครั้งละ 4 ชั่วโมง ส่วนหูข้างซ้ายของเธอนั้นก็ไม่สามารถรับเสียงใด ๆ ได้อีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนเสียงต่าง ๆ ให้กลายเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดแทน ขณะที่ตาที่เคยใกล้จะบอด ก็สามารถใช้การได้แล้ว 85% ถึงแม้จะไม่ชัดเจนเหมือนคนปกติ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้วสำหรับเธอ ส่วนเรื่องไตนั้นปุ๊กกี้บอกว่า ไตวาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถใช้การได้อีก จึงต้องใช้ไตเทียมและฟอกเลือดเป็นประจำ รวมทั้งยังคงต่อคิวนับหมื่นคิวเพื่อรอรับบริจาคไตจากสภากาชาดอยู่

ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า

            หลังจากละเลยการดูแลตัวเองมานาน ทุกวันนี้ ปุ๊กกี้ ชุลีพร เข้มงวดมากกับการเลือกรับประทานอาหารและควบคุมน้ำตาลในเลือด รวมถึงฉีดอินซูลินวันละครั้ง เนื่องจากเข็ดแล้วจากความทรมานเจียนตายเหมือนที่ผ่านมา โดยเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีความสุขไปกับสิ่งรอบตัว ใช้ธรรมะเข้าช่วยเพื่อให้จิตใจสงบลง ทำใจให้เป็นสุข พยายามทำตัวไม่ป่วย เพราะเธอบอกว่า ไม่รู้จะทำตัวป่วยไปทำไม นอกจากนี้ยังใช้เวลาว่างไปกับการทำงานแฮนด์เมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะชอบและมีความสุข ส่วนงานในวงการบันเทิงปุ๊กกี้ บอกว่า ถ้าผู้ใหญ่ให้โอกาสก็อยากกลับมาทำงาน แต่ก็ยังเกรงใจเหมือนกัน เนื่องจากตนเองต้องแบ่งเวลาไปฟอกเลือดเป็นประจำ ไม่อยากไปเป็นภาระของผู้อื่น

            แม้จะต้องทุกข์ทรมานจากโรคร้าย แต่กำลังใจของ ปุ๊กกี้ ชุลีพร ก็ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม และไม่เคยคิดสั้น เธอใช้ชีวิตอย่างร่าเริงสนุกสนานเหมือนที่เคย พร้อมทั้งแบ่งเวลาว่างไปช่วยเหลือผู้อื่นทั้งเด็กด้อยโอกาสและคนชรา เนื่องจากเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์และทำให้ตัวเองปลื้มปีติ มีกำลังใจจะสู้ต่อไป ถ้าหากถามถึงเรื่องรายได้ ปุ๊กกี้ ชุลีพร ยอมรับว่ารายได้เข้ามาค่อนข้างน้อย เนื่องจากป่วยและไม่สามารถทำงานได้มากนัก แต่ก็อาศัยเงินเก่าที่เคยเก็บไว้มาใช้จ่าย เนื่องจากไม่ได้เป็นคนใช้เงินสิ้นเปลืองเท่าไหร่ จึงสามารถอยู่ได้แบบพอเพียง แม้เงินทองจะร่อยหรอลงเต็มที

            นี่คือตัวอย่างของคนที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายเนื่องจากความประมาทและไม่ดูแลตัวเอง ที่ปุ๊กกี้ยืนยันว่าเธอจะไม่ใช้ชีวิตประมาทแบบนี้อีกแล้ว แต่หากมองในมุมของคนที่ทุกข์ทรมานขนาดหนัก ซึ่งยังคงยิ้มและอารมณ์ดีได้เสมอเหมือนที่เคย จนแทบดูไม่ออกเลยว่าในแต่ละวันเธอต้องเจอกับความเจ็บปวดใด ๆ บ้าง ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการมองโลกในแง่ดี ที่คงจะช่วยต่อชีวิตของเธอให้ยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม กระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณปุ๊กกี้ ชุลีพร อาการดีขึ้น และขอให้สู้ต่อไปนะคะ





วีไอพี 1/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร




วีไอพี 2/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร




วีไอพี 3/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร




วีไอพี 4/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร




วีไอพี 5/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร




วีไอพี 6/6 ปุ๊กกี้ ชุลีพร





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปุ๊กกี้ ชุลีพร อดีตดาราอารมณ์ดี ยิ้มได้แม้โรคร้ายรุมเร้า อัปเดตล่าสุด 20 มิถุนายน 2555 เวลา 13:17:04 4,796 อ่าน
TOP