เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส
เมื่อความพิการไม่ใช่ข้ออ้างในการเดินหน้าทำตามความฝัน เราจึงได้เห็น น้องชมพู่ ภัทราวรรณ พานิชชา กล้าลุกขึ้นสู้กับตัวเองอีกครั้ง และความพยายามของเธอ ส่งผลให้เธอสามารถคว้ามงกุฎ มิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012 (Miss Wheelchair Thailand 2012) มาเป็นรางวัลของชีวิต
หลายคนอาจสงสัยว่า มิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012 (Miss Wheelchair Thailand 2012) คือการประกวดอะไร...สำหรับการประกวดนี้จัดขึ้นโดยสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย มูลนิธิคนพิการไทย ร่วมกับสารคดีโทรทัศน์เพื่อนเดินทาง เพื่อเปิดโอกาสให้สตรีพิการแสดงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองออกมาให้สังคมได้รับรู้ว่า พวกเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม สามารถทำอะไรได้เหมือนกับคนปกติ จึงไม่ใช่ภาระอย่างที่คนไม่เข้าใจมองมา หากแต่พวกเธอก็สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมได้เช่นกัน
อย่างเช่น ชมพู่ ภัทราวรรณ เจ้าของตำแหน่งในปีนี้ เธอต้องต่อสู้กับตัวเองไม่น้อยกว่าจะลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ชีวิตบนรถเข็นของเธอเริ่มต้นขึ้นหลังจากเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถสิบล้อชนขณะนั่งรถจักรยานยนต์ เมื่ออายุได้ 16 ปี ทำให้เธอไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป เธอยอมรับว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกท้อที่สุด และเสียใจมากที่รู้ว่า ตัวเองจะไม่สามารถเดินได้อีกแล้ว
สาวสวยที่ต้องสูญเสียขาไปนอนร้องไห้อยู่เพียงคืนเดียว แต่ในวันรุ่งขึ้น เธอก็คิดได้ว่า มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องมานั่งท้อแท้กับโชคชะตาที่เกิดขึ้น จึงตัดสินใจลุกขึ้นสู้ และกลับไปเรียนหนังสืออีกครั้ง จนสอบเข้าเป็นนักศึกษาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นลูกแม่โดมดังใจปรารถนา เธอบอกว่า ตั้งใจสอบเข้าคณะนี้ เพราะเมื่อจบมาแล้วจะได้เข้าไปทำงานพัฒนาสวัสดิการของคนพิการให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเธอก็อยากให้คนในสังคมมองคนพิการเสียใหม่ว่า พวกเขาไม่ได้ด้อยความสามารถเลย และอยากให้ทุกคนให้โอกาสกับคนพิการ
อย่างไรก็ตาม ชมพู่ มองว่า ประเทศไทยยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการน้อยเกินไป จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญมากกว่านี้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ชมพู่ ตัดสินใจเข้าร่วมประกวดมิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012 เวทีอันทรงเกียรติที่มีสโลแกนว่า "เป็นมากกว่าสายสะพายและมงกุฎ" เพื่อจะได้มีโอกาสเข้ามาช่วยเหลือเพื่อน ๆ ผู้พิการให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในที่สุด ชมพู่ ภัทราวรรณ ก็สามารถเอาชนะใจกรรมการ คว้ามงกุฎมิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012 ไปครอง หลังจากตอบคำถามที่ว่า "เป็นมากกว่าสายสะพายและมงกุฎ" ในความคิดของเธอคืออะไร
"สายสะพายและมงกุฎเป็นเพียงแค่ของรางวัล แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือการที่เวทีนี้ให้โอกาสสตรีพิการได้แสดงศักยภาพ และความรู้ความสามารถของเราที่มีทัดเทียมกับคนทั่วไปค่ะ" คำตอบของดาวคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ที่โดนใจกรรมการอย่างที่สุด
ทั้งนี้ ชมพู่ ในฐานะมิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012 ได้ฝากถึงผู้พิการทั้งหลายว่า อย่าอายที่เป็นเช่นนี้ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นภาระ และอยากให้ทุกคนออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เพื่อให้สังคมรับรู้ว่า พวกเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้ ส่วนคนที่มีอวัยวะครบ 32 เมื่อเห็นคนพิการเป็นเช่นนี้ ก็อยากให้รักและคิดถึงตัวเองให้มาก ๆ อย่าใช้ชีวิตโดยประมาท และหากใครรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง ก็ให้มองชีวิตของคนพิการเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
อ่านเรื่องราวของน้องชมพู่ ภัทราวรรณ พานิชชา มาจนจบ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า เธอเป็นสาวนักสู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่ง และสามารถเอาชนะบททดสอบครั้งสำคัญที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้จริง ๆ สมกับตำแหน่ง "มิสวีลแชร์ ไทยแลนด์ 2012"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, misswheelchairthailand.com