

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการ 3 แซ่บ โพสต์โดย คุณ www.Up2smile.com สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ตู่ นันทิดา-น้องเพลง อัศวเหม, ตั๊ก มยุรา-น้องน้ำตาล, เปิ้ล หัทยา-น้องลูกหนุน ลูกหนัง เม้าท์ถึงวีรกรรมแสบ ๆ และความรักความผูกพันของคุณแม่คุณลูกแบบหลากอารมณ์ ผ่านรายการ 3 แซบ
เพราะเดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนของคุณแม่ รายการ 3 แซบ ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อคืนวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ก็เลยขอเชิญเหล่าคุณแม่ยังสาวและเป็นดาวอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น "ตั๊ก มยุรา เศวตศิลา", "ตู่ นันทิดา อัศวเหม" และ "เปิ้ล หัทยา วงษ์กระจ่าง" มาเม้าท์ลูกสาวคนสวยกัน
เอ...แต่จะให้บรรดาคุณแม่เม้าท์กันเองอาจจะไม่เห็นภาพ คุณแม่ทั้ง 3 คนก็เลยควงลูกสาวมาเปิดตัว พร้อมกับเล่าวีรกรรมความแซ่บในรายการด้วย นอกจากจะสนุกสนานแล้ว ยังได้เห็นภาพความรักและความผูกพันของแม่ที่น่าประทับใจสุด ๆ

เริ่มแรกต้องบอกกันก่อนเลยว่า ทั้งคุณแม่ตั๊ก คุณแม่ตู่ และคุณแม่เปิ้ล แม้จะอยู่คนละวงการกัน แต่ก็มีความสนิทสนมกันอย่างดีนะจ๊ะ โดยแม่ตั๊ก และแม่ตู่ อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เจอกันเป็นประจำ ส่วนแม่เปิ้ล หัทยา สมัยแต่งงานก็ได้แม่ตู่นี่ล่ะเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ เรียกได้ว่ารู้จักกันดีมาตั้งหลายสิบปีแล้ว
ทีนี้มารู้จักบรรดาลูกสาวกันบ้าง ขอบอกว่าแต่ละคนโตเป็นสาวแล้วสวยทุกคน เริ่มจาก น้องน้ำตาล ณัชชา เศวตศิลา ลูกสาวคุณแม่ตั๊ก ตอนนี้เป็นสาววัย 16 ปีแล้ว ส่วน น้องเพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม ลูกสาวแม่ตู่ นันทิดา ตอนนี้อายุ 18 ปี เพิ่งเป็นเฟรชชี่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมาด ๆ ขณะที่ลูกสาวฝาแฝดของแม่เปิ้ล น้องลูกหนุน ศุภรา วงษ์กระจ่าง และน้องลูกหนัง ศิตลา วงษ์กระจ่าง อายุ 17 ปีทั้งคู่ กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี
เห็นรุ่นคุณแม่สนิทกันแล้ว ก็ชักอยากรู้แล้วว่ารุ่นลูก ๆ เคยรู้จักกัน หรือสนิทกันด้วยหรือเปล่า ซึ่งน้องลูกหนุน-ลูกหนังก็บอกว่า รู้จักกับพี่เพลง เพราะเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี เลยได้เจอกันบ่อย ๆ ส่วนน้องน้ำตาลก็บอกว่าเคยเจอพี่เพลงเวลาไปออกกำลังกายในหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม ด้วยไลฟ์สไตล์และนิสัยของคุณแม่แต่ละคนที่แตกต่างกัน เชื่อได้เลยว่าต้องเลี้ยงลูกสาวมาไม่เหมือนกันแน่ ๆ และเดาได้ด้วยว่า คุณแม่ตั๊กจะต้องเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวดสุด ๆ แน่นอน ซึ่งคุณแม่ตั๊กก็หัวเราะ พร้อมกับยอมรับแต่โดยดี

คุณแม่ตั๊ก บอกว่า เธอเป็นคนหัวโบราณ ไม่ชอบเด็กดัดจริต และไม่อยากให้ลูกมีแฟนเร็ว ต้องอายุสัก 18 ปีถึงจะปล่อยได้บ้าง ถือว่าค่อนข้างเข้มงวดเลยทีเดียว เธอจะไม่ปล่อยให้ลูกกลับบ้านเอง นั่งรถเมล์ รถไฟกลับบ้านนี่ไม่ได้ จะมีรถที่บ้านไปรับ หรือถ้าอยากจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านก็ต้องมีเพื่อนมาส่งเท่านั้น แล้วรอตรงสถานีห้ามไปไหนเด็ดขาด เดี๋ยวรถจะไปรับ
เห็นบ้านคุณแม่ตั๊กเข้มงวดแล้ว บ้านคุณแม่ตู่ก็เข้มงวดเหมือนกันแต่คนละแบบ โดยคุณแม่ตู่ บอกว่า บ้านของเธอก็เลี้ยงลูกอย่างใกล้ชิด ไปรับไปส่งเหมือนกัน แต่ตอนนี้น้องเพลงอายุ 18 ปีแล้ว มาพูดกับคุณแม่ว่าอยากจะขับรถเองบ้าง แต่เธอก็สวนไปทันทีว่าถึงจะไปทำใบขับขี่มา แม่ก็จะไม่ให้ขับ ต้องอายุสัก 20 กว่าปีก่อนแล้วกันถึงจะปล่อยให้ขับได้ คำตอบนี้ทำเอาน้องเพลงถึงถามแม่แบบเสียงอ่อย ๆ เลยว่า "20 กว่าเลยเหรอ" จนพิธีกรแซวว่า สงสัยบ้านนี้จะได้แต่งงานสักตอนอายุสัก 40

มาดูบ้านที่สามกันบ้าง แม่เปิ้ล บอกว่า ที่บ้านจะเข้มงวดเป็นบางเรื่อง แต่ลูกแฝดสองคนนี้นิสัยต่างกันเลย อย่างน้องลูกหนังจะค่อนข้างห้าว บู๊แหลก ส่วนน้องลูกหนุนจะเป็นคนยอมคน นิ่ง ฟัง เงียบ เราก็ต้องดูว่าคนไหนควรจะเข้มแบบไหน เพราะเขาเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ตอน 7 เดือน เราก็ต้องเข้มเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การนอน หมอบอกว่าถ้าเราไม่เข้ม เดี๋ยวเขาจะไม่โต ไม่สูงนะ เราเลยต้องเข้มมาก บังคับให้เล่นกีฬา
แม้สไตล์การอบรมลูกสาวจะแตกต่างกันไป แต่ดูเหมือนว่าคุณแม่ทั้ง 3 คนก็มีความเจ้าระเบียบเหมือน ๆ กัน อย่างเช่นที่บ้านของแม่ตู่ แม่ตู่ก็เม้าท์ว่าน้องเพลงชอบวางของระเกะระกะ เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก็ปล่อยน้ำหยดกระจายไม่ยอมเช็ด แต่น้องเพลงรีบแย้งว่า หนูเช็ดแล้วนะคะ ก่อนจะแซวว่า แต่จริง ๆ เป็นเพราะคุณแม่เป็นคนที่รักความสะอาดมากกกก (ลากเสียงยาว) อะไรที่คนอื่นคิดว่าสะอาดแล้ว แต่คุณแม่จะยังไม่พอใจต่างหาก

พูดถึงเรื่องความสะอาด ดูเหมือนว่า น้องน้ำตาลก็มีชะตากรรมไม่ต่างกับน้องเพลง (อิอิ) เลยขอเม้าท์คุณแม่ตั๊กว่าเป็นคนเห็นเรื่องความสะอาดเป็นเรื่องใหญ่ งานนี้ คุณแม่ตู่เลยขอคอนเฟิร์มด้วยคนว่า คุณแม่ตั๊กเป็นคนรักความสะอาดสุด ๆ ขนาดเวลาจะขับรถ ยังหยิบคอตตอนบัดมาเช็ดฝุ่นตามช่องแอร์ก่อนเลย โดนเม้าท์แบบนี้ คุณแม่ตั๊ก ก็ยอมรับว่าจริง (อีกแล้ว) อย่างผ้าปูที่นอนต้องสีขาวเท่านั้น สีอื่นไม่นอน จะได้รู้ว่าสกปรกหรือเปล่า และต้องปูให้เรียบตึงด้วย
ได้ยินเรื่องความสะอาดของบ้านคุณแม่ตั๊กแล้ว คุณแม่เปิ้ลเลยออกตัวว่าที่บ้านไม่ถึงขนาดนี้ ถ้าเรื่องความสะอาด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของจานชามมากกว่า มักจะสอนลูกว่ากินอะไรเสร็จแล้วต้องล้าง อย่าแช่เอาไว้ แต่ลูก ๆ ก็มักจะวางทิ้งไว้บอกว่าเดี๋ยวมาล้างเองค่ะ แล้วก็คงจะสงสัยกันว่าแม่เป็นอะไรมากกับจานชาม
ถ้าเป็นในเรื่องความเจ้าระเบียบนั้น เห็นทีจะต้องยกให้บ้านของคุณแม่ตั๊ก เพราะเธอไม่ชอบเด็กตื่นสาย จึงให้ลูกพยายามนอนให้ตรงเวลา เพื่อจะได้นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพราะหากนอนดึกแล้วนับไปอีก 8 ชั่วโมง ก็จะตื่นสายพอดี
ส่วนเรื่องการแต่งตัว น้องน้ำตาล บอกว่า เวลาหนูใส่กางเกงขาสั้น คุณแม่ก็มักจะบอกให้ดึงลงมาหน่อย คุณแม่ตั๊กเลยบอกว่า เพราะเขาไม่ใช่คนผอม มีเนื้อมีหนัง ก็ไม่อยากให้ลูกใส่ขาสั้นไปเดินที่ไหน ไม่อยากให้คนมอง แต่ถ้าผอมก็จะให้ใส่ไปเลย น้องน้ำตาลเลยขอเสริมว่า มีครั้งหนึ่งเคยใส่ขาสั้นไปเดินห้างสรรพสินค้าแล้วมีคนมอง วันนั้นคุณแม่หันไปจ้องคนนั้นตาถมึงทึงเลยทีเดียว แล้วถามว่า "มองอะไร" จนคนนั้นสะดุ้งไปเลย (หัวเราะ)
และเพราะเด็ก ๆ ทั้ง 3 คนเป็นลูกสาวของคนในวงการบันเทิงระดับท็อปที่ได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถ เป็นแบบนี้แล้วคุณแม่ก็เลยอยากให้ลูกสาวได้มีความสามารถหลาย ๆ ด้านด้วยเช่นกัน แอบเห็นว่าพาลูกสาวไปเรียนพิเศษเพียบเลย

เริ่มจากบ้านวงษ์กระจ่าง คุณแม่เปิ้ลบอกว่า น้องลูกหนุน-ลูกหนังเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ทำให้เท้าทั้งสองข้างจะแบเข้าหากัน ก็เลยต้องส่งไปเรียนบัลเลต์ตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อให้เท้าเดินได้เสมอกัน จากนั้นก็ส่งไปเรียนยิมนาสติก จนลูก ๆ บ่นว่าเบื่อที่ให้เล่นแต่กีฬาในร่ม คุณแม่ก็เลยส่งไปเล่นเทนนิสเลย แต่ก็ไปเจอโค้ชที่โหดมาก ให้ฝึกซ้อมหนักเพื่อจะได้สูง ๆ จนตัวดำปี๋ ซึ่งต่อมาน้องลูกหนังก็สูงจริง แต่ก็ดำด้วย จนวันหนึ่งกลับมาร้องไห้บอกหนูไม่เอาแล้วเทนนิสเนี่ย ใคร ๆ ก็เรียกหนูว่า ควายดำ หนูโดนล้อตลอดเลย (หัวเราะ) นอกเหนือจากกีฬาแล้ว คุณพ่อตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ก็ยังบังคับให้ลูก ๆ เรียนดนตรีด้วย ซึ่งเมื่อถามน้องลูกหนุน ก็บอกว่าที่เรียน ๆ มาทั้งหมดจะชอบดนตรีมากที่สุด เพราะชอบเล่นเปียโน ส่วนน้องลูกหนังจะชอบเล่นกีตาร์กับไวโอลิน
มาที่บ้านอัศวเหม คุณแม่ตู่ก็ส่งน้องเพลงไปหัดเรียนบัลเลต์ตั้งแต่เด็กเหมือนกัน และบังคับไม่ให้เลิกด้วย ต้องเรียนพื้นฐานให้จบ จากนั้นก็ส่งไปเรียนขี่ม้า ไอซ์สเก็ต ว่ายน้ำ เปียโน แต่ต่อมาก็พบว่าน้องเพลงมีปัญหาที่หลัง คือกระดูกจะโค้งลงมา จะไปเล่นกีฬาอะไรที่กระแทกมาก ๆ ไม่ได้ คุณหมอเลยบอกให้เลิกในสิ่งที่เรียนมาทั้งหมด ทำเอาคุณแม่ตู่เครียดไปเลย เพราะอุตส่าห์เรียนมานาน สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ลูกเลิกเรียนแค่ขี่ม้ากับไอซ์สเก็ต แต่ยังไงก็จะให้เรียนบัลเลต์ต่อ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าน้องเพลงจะไม่อยากเรียนบัลเลต์เท่าไรนัก เพราะไม่รู้จะเรียนไปใช้อะไร แล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเองด้วย แต่ก็ยอมเรียนต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่ายังไงกันแน่ จนกระทั่งรู้สึกเจ็บที่หลังมาก ๆ จึงรู้ว่าไม่ควรเรียนบัลเลต์ต่อ เลยไปขอคุณแม่ว่าอยากจะเลิกเรียนบัลเลต์ คุณแม่ก็เลยยอม
ส่วนบ้านเศวตศิลานั้น คุณแม่ตั๊กบอกว่าตัวเธอเองเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเก่าก็เลยบังคับให้ลูกว่ายน้ำ จนได้เป็นนักว่ายน้ำ มารู้ทีหลังว่าน้องน้ำตาลเป็นนักว่ายน้ำเพราะตามใจเรา ซึ่งตอนนั้นลูกก็ว่ายน้ำจนตัวดำเมี่ยมเลยล่ะ แล้วก็ยังส่งไปเรียนเทนนิส เปียโน เรียนน่าดูเหมือนกัน
เห็นแบบนี้แล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมบรรดาคุณแม่ถึงส่งลูกเรียนมากขนาดนี้ คุณแม่ตู่เลยบอกว่า การเรียนรู้ในวัยเด็กเป็นวัยที่ดีที่สุด เพราะหัวสมองของเด็กจะเหมือนฟองน้ำ รับได้หมด ส่วนคุณแม่เปิ้ลบอกที่ให้ลูกเรียนเพื่อสร้างวินัยให้ตัวเอง เล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล และรู้จักรู้แพ้ รู้ชนะ
ฝั่งลูกสาวอย่าง น้องเพลง ก็บอกว่า ตอนที่คุณแม่บังคับให้เรียนบัลเลต์รู้สึกไม่ชอบเลย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าบัลเลต์เป็นพื้นฐานการเต้นหลายอย่าง ทำให้เธอสามารถแตกไลน์การเต้นได้หลายประเภท แจ๊ซก็ได้ ฮิปฮอปก็ได้ ก็อยากจะขอบคุณคุณแม่กวดขันจนเพลงได้เทคนิคที่ดีพอที่จะเต้นอย่างอื่นได้ด้วย
เห็นลูกสาวของแต่ละคนสวยปิ๊งกันขนาดนี้ แถมคุณแม่ก็ยังเป็นระดับตัวแม่ของวงการบันเทิงซะด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่อยากจะดันลูกสาวเข้าวงการด้วยไหมนะ งานนี้ คุณแม่ตั๊กตอบทันทีเลยว่า ไม่อยากเลย และน้องน้ำตาลก็เคยไปนั่งดูคุณแม่อัดรายการครั้งเดียวก็ไม่ไปอีกเลย เพราะไม่ชอบทางนี้ สอดคล้องกับน้องน้ำตาลที่บอกว่าไม่อยากเข้าวงการ
ขณะที่น้องเพลง ล่าสุดเพิ่งได้ร้องเพลงประกอบละครแค้นเสน่หา เจ้าตัวบอกว่า ต้องขอขอบคุณป้าไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา ที่โทรมาหาเพลงเองเลย บอกว่ามีเพลงอยากให้เพลงลองฟังหน่อย ถ้าฟังแล้วชอบก็มาร้องเพลงประกอบละครให้ป้าหน่อย ซึ่งพอเพลงได้ฟังแล้วก็น้ำตาไหลเลย รู้สึกรักเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง เลยตอบตกลงมาร้องเพลงประกอบละครแค้นเสน่หาให้เลย
เป็นแบบนี้ คุณแม่ตู่ถึงกับยิ้มแก้มปริ เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งลูกจะเดินมาบอกเราว่าชอบร้องเพลงมาก ชอบการแสดง ชอบละครเวที ละครเพลง ทั้งที่เราไม่ค่อยได้ปูพื้นฐานเรื่องร้องเพลงให้เท่าไหร่ และไม่เคยเห็นลูกร้อง เล่น เต้นรำ ให้เห็นมาก่อน ตอนมาบอกครั้งแรกถึงกับงงไปเลยว่าชอบได้ยังไง แต่ถึงกระนั้น น้องเพลงก็ไม่ได้อยากเป็นนักร้องเหมือนคุณแม่ เพราะเธอบอกว่าเอ็นเตอร์เทนคนอื่นไม่เป็น แต่เธอชอบความรู้สึกที่ได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น ซึ่งนอกเหนือจากการเล่นบทบาทนั้นแล้ว ยังสามารถใช้เพลง ใช้ดนตรีในการเล่าเรื่องได้ จึงชอบละครเวทีมาก ๆ
นอกจากนั้น หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างแล้วว่า น้องเพลง เคยเป็นแขกรับเชิญให้คอนเสิร์ตเบิร์ด ธงไชยด้วย โดยขึ้นเวทีโชว์ความสามารถพร้อมกับคุณแม่ ซึ่งที่มาที่ไปก็เริ่มมาจากตอนนั้นน้องเพลงได้เข้าไปเรียนเต้นฮิปฮอปที่ดีแดนซ์กับครูอู๋ เปรมจิตต์ แล้วครูอู๋ก็เห็นแวว เลยส่งไปเรียนการแสดง เรียนร้องเพลง จากนั้น ก็ส่งไปแคสเป็นแดนเซอร์พี่เบิร์ด ซึ่งช่วงเวลานั้นแม้น้องเพลงจะกลับบ้านตี 1 ตี 2 นอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปเรียนหนังสือตอนเช้า แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่น้องเพลงรู้สึกมีความสุขและชอบมาก นี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม น้องเพลง บอกว่า หากจะเข้าวงการบันเทิงก็ไม่อยากให้คุณแม่ดัน "เพลงอยากจะทำให้คนยอมรับในตัวเราจากสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ คือหลายคนจะคิดว่า เพลงมาตรงนี้ได้เพราะคุณแม่ คุณแม่ดัน ใช้เส้น คนจะต้องยอมรับเราในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่เพราะคุณแม่ของเรา"
ฟากคุณแม่เปิ้ล บอกว่า มีคนติดต่อลูกสาวให้ไปเล่นโฆษณาเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าไป เพราะคุณพ่อจะบอกเสมอว่า เรายังไม่พร้อม ยังไม่ต้องรีบก็ได้ แต่ลูกสาวก็อยากไป คุณแม่ก็เลยแอบพาไปแคสงานเอง แล้วก็ไปบอกคุณพ่อทีหลังเลยถูกดุ แต่จริง ๆ แล้ว น้องลูกหนัง จะเนื้อหอมมาก มีครั้งหนึ่ง คุณตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ มาติดต่อให้ไปเดินแบบ ลูกหนังก็เลยไปขอคุณพ่อ ยกเหตุผลว่าการเดินแบบจะช่วยเสริมสร้างสรีระนะ เพราะตัวเธอเองเป็นคนหลังโก่ง งานนี้คุณพ่อเลยอนุญาตแบบสบาย ๆ เลย
แถมหลังจากนั้นมีติดต่อมาให้เล่นละคร เล่นภาพยนตร์อีก คุณแม่ก็เลยเข้าไปคุยกับทางช่อง ซึ่งตอนนั้นได้เจอผู้กำกับ ผู้กำกับให้ลองแคสแล้วขอคิวแสดงเลยซะอย่างนั้น ทำเอาลูกหนังกับคุณแม่ตกใจมากไม่รู้จะทำอย่างไรดี จนสุดท้ายก็ตัดสินใจบอกคุณพ่อ และก็เป็นเรื่อง เพราะคุณพ่อขอนัดเจอคุณตู่เลย เพื่ออธิบายว่าอยากให้ลูกสาวโตกว่านี้ มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ก่อน เพราะตอนนั้นยังอายุแค่ 14-15 เอง สุดท้ายลูกหนังก็เลยไม่ได้เล่นภาพยนตร์
ลูกหนัง บอกว่า ตอนนั้นคุณพ่อไม่รู้ว่าเธอชอบการแสดง จนเธอไปบอก คุณพ่อเลยสอนว่าการจะเป็นนักแสดงต้องรู้ทักษะทุกอย่าง จึงอยากให้เธอมีความรับผิดชอบกว่านี้อีกนิดนึงก่อน แต่ถ้าจะถ่ายแฟชั่นก็ไม่ว่าอะไร การเดินแบบก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกดี ส่วนลูกหนุน ไม่ค่อยชอบการแสดงเท่าไรนัก แต่จะชอบการเล่นโยคะมากกว่า
เพราะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนขนาดนี้ เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณแม่คุณลูกตัวติดกันขนาดไหน ลองมาดูครอบครัวของแม่ตู่กันก่อน เชื่อไหมว่า คุณแม่ติดคุณลูกเอามาก ๆ ขนาดน้องเพลงไปเรียนซัมเมอร์ด้านการแสดงที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังตามลูกไปด้วยทุกหนทุกแห่ง จนลูกสาวขอให้คุณแม่กลับเมืองไทย เพราะอยากพิสูจน์ว่าสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว ตอนนั้นคุณแม่ก็งอน แต่ก็ยอมกลับ แล้วไปแอบนั่งร้องไห้บนเครื่องบินเพราะคิดถึงลูก และเป็นห่วงมาก พร้อมกับโทรศัพท์ไปบอกลูกว่าเดี๋ยวอีก 5 วัน แม่จะบินไปหานะ ทำเอาน้องเพลงบอกกลับมาว่า "ถ้าคุณแม่มาเท่ากับไม่เคารพการตัดสินใจของหนู คุณแม่ต้องให้เพลงอยู่ได้ด้วยตัวเอง"
น้องเพลง บอกว่า การที่เราไปอยู่ต่างประเทศถ้ามีคุณแม่คอยซัพพอร์ตทุกอย่างก็เหมือนกับเราไม่ได้ดูแลตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้คุณแม่มาอยู่ด้วย ซึ่งคุณแม่ก็เคารพการตัดสินใจ ไม่บินไปหาลูก แต่ก็บอกว่ากลางคืนแทบไม่ได้นอนเลย ต้องโทรคุยกับลูกทุกวัน จนคนแซวว่าบ้านนี้คุณแม่ติดคุณลูกมาก ๆ
ส่วนบ้านแม่เปิ้ล น้องลูกหนุนก็ติดคุณแม่มาก จะนอนกับคุณแม่ทุกคืนจนเมื่อโตแล้วคุณพ่อถึงไล่ให้ไปนอนกับน้อง แต่พอนอนกับน้องแล้วนอนไม่หลับ เพราะติดคุณแม่มาก เลยกลับไปไล่ให้คุณพ่อให้ไปนอนกับน้องแทน (หัวเราะ)
แล้วเวลาคุณแม่สบาย เหล่าลูก ๆ ก็จะคอยดูแลคุณแม่ไม่ห่างเช่นกัน อย่างเช่นบ้านของแม่ตั๊ก เวลาคุณแม่ไม่สบาย น้องน้ำตาลก็จะคอยดูแลคุณแม่เสมอ แต่บางครั้งก็กลายเป็นที่รองรับอารมณ์ เพราะคุณแม่จะหงุดหงิด อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ก็จะชอบดึงผมลูกสาว แต่เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นแล้ว ไม่ดุแล้ว
ส่วนแม่ตู่ ครั้งหนึ่งเคยขึ้นแสดงละครเพลงแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่เธอก็ฝืนแสดงต่อไปจนจบ จนมารู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ ก็เลยไปหาหมอ มารู้ว่ากระดูกแตกต้องผ่าตัด พอน้องเพลงมาหาที่โรงพยาบาล น้องก็บอกว่า
"คุณแม่เจ็บใช่ไหม เพลงไม่ได้รู้สึกสารคุณแม่นะ แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่แม่ทำไปมันก็ถูกในการรับผิดชอบทางการงาน แต่ว่าแม่คิดว่าสิ่งที่แม่ทำตรงนี้มันทำร้ายใครบ้าง แม่นอนเจ็บปวดอยู่ตรงนี้ แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดคือคนอยู่ที่บ้าน คือ คุณยาย และเขา เพราะฉะนั้น แม่รับผิดชอบตัวเอง" หลังพูดจบน้องเพลงก็เดินจากไปเลย
ฟากน้องเพลงก็เล่าถึงอารมณ์ในตอนนั้นว่า "จริง ๆ คุณแม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพตรงนี้มานานแล้ว พอไปเล่นละครเวทีแล้วเกิดอุบัติเหตุ เพลงอยู่ตรงนั้นเราเห็นแม่โดนชน เราตกใจแทน และรู้ว่าแม่เจ็บมาก วันนั้นก็เลยขอคุณแม่ว่าไม่ต้องเล่นทุกรอบได้ไหม แต่คุณแม่ดื้อ ออกจากโรงพยาบาลไปเล่นละครเวที เล่นเสร็จก็กลับมาโรงพยาบาล เป็นอย่างนี้ตลอด เพลงก็ขอคุณแม่ทุกวันให้ช่วยเทคแคร์ตัวเองหน่อย แต่คุณแม่ไม่ฟัง เล่นจนไปร้องไห้อยู่หลังเวที สุดท้ายพอเห็นคุณแม่นอนอยู่ตรงนั้น เราใจสลายเลย อยากจะบอกว่า คุณแม่พอเถอะ (ร้องไห้)"

แม่ตู่ เมื่อได้ฟังแล้วก็น้ำตาซึม ก่อนจะบอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกสาวพูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า "คุณแม่ต้องการแค่คนลุกขึ้นปรบมือให้แม่ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ลืมแม่แล้วล่ะเหรอ แต่คนที่ไม่ลืม และต้องเห็นภาพแม่แบบนี้คือคนที่บ้าน"
"จริง ๆ ทีมงานก็รอให้เราพูดว่าไม่เล่นก็ได้ พอพี่พูดว่าปลดพี่ตู่ก็ได้ เชื่อไหมว่าทีมงานทุกคนถอนหายใจโล่งอก เขาสบายใจที่เราตัดสินใจแบบนี้ แม้เราจะคิดว่าตัวเองยังไหวนะ แต่จริง ๆ สิ่งนั้นอันตราย วันนั้นก็ขอบคุณลูกเหมือนกันที่ทำให้เรารู้ว่าเราต้องรักตัวเองให้มากขึ้น" ตู่ นันทิดา เผยความในใจ
น้องเพลง บอกว่า หลังจากวันที่บอกให้คุณแม่ดูแลตัวเองแล้วเดินจากไป เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมคุณแม่อีกเลยหลายสัปดาห์ มาอีกทีก็วันที่คุณแม่ต้องเข้าห้องผ่าตัด ตอนนั้นเธอคิดว่าจำเป็นต้องทำอย่างนี้อย่างเด็ดขาด เพื่อขอให้คุณแม่รักตัวเอง เพราะชีวิตของเพลงยังต้องมีคุณแม่อยู่ เลยบอกคุณแม่ไปในวันนั้น แล้วค่อยมาให้กำลังใจคุณแม่อีกทีในวันที่ต้องเข้าห้องผ่าตัด
ส่วนคุณตู่ที่ในช่วงนั้นก็รู้สึกผิดที่เราเป็นคนทำร้ายลูก เพราะตอนหลังลูกก็มาบอกว่า ตอนที่คุณแม่ไม่อยู่รู้สึกเหงามาก มีปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร อีกทั้งลูกสาวยังได้เขียนให้กำลังใจเธอให้อินสตาแกรม และบอกว่าขอเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต ทำให้เธอคิดได้ทันทีว่าเราต้องรีบหาย รีบกลับไปหาลูก

"เราเหมือนเป็นทุกอย่างของเขา เขาขาดเราไม่ได้เลยจริง ๆ จากวันนี้ไป จะอะไรก็ตาม ต้องอยู่เพื่อเขาให้ที่สุด ต้องแข็งแรงให้มากที่สุด และจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นอีก" ตู่ นันทิดา ยืนยันพร้อมหันไปให้คำสัญญากับลูกสาว
นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่คุณลูกขอคุณแม่ไว้ แต่ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณแม่ทุกบ้านขอลูกสาวไว้เช่นกัน คือ "ห้ามมีแฟน" ซึ่งแม่เปิ้ลก็บอกว่า ไม่เชิงห้าม แต่ก็จะบอกไว้ เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็รู้ว่าลูกสาวมีคนมาจีบ
ส่วนบ้านแม่ตั๊กออกปากห้ามแน่นอน เพราะยังไม่อยากให้ลูกสาวมีแฟน ครั้งหนึ่งมีสายมาบอกแม่ตั๊กว่า เห็นลูกสาวนั่งจับมือถือแขนกับเด็กผู้ชายในรถโรงเรียน เราก็ยืนรอหน้าบ้านเลย พอลูกเปิดประตูรถโรงเรียนลงมา เราก็ลากลงมาเลย แล้วก็สอนเต็มที่ จากนั้นก็จับแยกให้ลูกสาวเลย ซึ่งลูกก็เชื่อฟังแต่โดยดี
ฝั่งแม่ตู่ยอมรับว่ารู้สึกห่วงลูกสาวเหมือนกัน ถ้าลูกอยู่ในวัยเหมาะสมแล้วจะมีแฟนก็ไม่ว่า แต่ลูกก็ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรควรไม่ควรก็ต้องรู้ไม่ต้องให้พ่อแม่บอก จริง ๆ เราเลี้ยงลูกเองเราก็รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง จะบอกลูกเสมอว่าอย่าคิดว่าตัวเองเป็นฝรั่งมาก เพราะแม่เลี้ยงลูกแบบทั้งไทย ทั้งฝรั่ง คำว่าแฟนเป็นคำที่ผูกมัด ถ้าลูกจะมีก็ต้องดูให้ดีก่อน

เมื่อถามว่าคุณแม่ทั้งสามคนตอนนี้รู้สึกห่วงอะไรในตัวลูกสาวบ้าง แม่เปิ้ล บอกว่า ตอนนี้ห่วงเรื่องเพื่อน เพราะลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ส่วนแม่ตั๊ก บอกว่า ห่วงเรื่องการเรียน เพราะกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ยังห่วงเรื่องอ้วน (หัวเราะ) แม่จะพูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกจะยอมออกกำลังกาย
สุดท้ายที่แม่ตู่ รู้สึกห่วง กลัวว่าลูกจะไม่เท่าทันคนอื่น เพราะสังคมเราตอนนี้มีคนหลากหลายมาก เรารู้ว่าลูกเราแข็งแรงแต่บางทีก็เปราะบางในบางเรื่องเหมือนกัน อยากให้ลูกมีจิตใจแข็งแกร่งมาก ๆ เพื่อที่จะอยู่ต่อไปในสังคม
ลองถามกลับกันบ้างว่าคุณลูก ๆ ห่วงอะไรคุณแม่บ้าง น้องหนุน-หนัง บอกว่า ห่วงสุขภาพคุณแม่ เพราะคุณแม่ทำงานหนัก ส่วนน้องน้ำตาล บอกว่า ห่วงสุขภาพคุณแม่เหมือนกัน เพราะคุณแม่นอนดึกมาก และตื่นเช้ามาก ขณะที่ น้องเพลง ก็ไม่ต่างกัน อยากให้คุณแม่รักตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองให้มาก ๆ
เห็นความรักความผูกพันของคุณแม่คุณลูกแต่ละครอบครัวแล้ว อดรู้สึกประทับใจตามไปไม่ได้จริง ๆ เลยนะคะ
คลิป สามแซ่บ วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ช่วงที่ 1/4 : เครดิตรายการ 3 แซ่บ
โพสต์โดย คุณ www.Up2smile.com สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป สามแซ่บ วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ช่วงที่ 2/4 : เครดิตรายการ 3 แซ่บ
โพสต์โดย คุณ www.Up2smile.com สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป สามแซ่บ วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ช่วงที่ 3/4 : เครดิตรายการ 3 แซ่บ
โพสต์โดย คุณ www.Up2smile.com สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป สามแซ่บ วันที่ 21 สิงหาคม 2556 ช่วงที่ 4/4 : เครดิตรายการ 3 แซ่บ
โพสต์โดย คุณ www.Up2smile.com สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม






