ไมเคิล แจ็คสัน อัจฉริยะผู้เปลี่ยวเหงา (กรุงเทพธุรกิจ)
ย้อนรอยอัจฉริยภาพทางดนตรีของ คิง ออฟ ป็อป สำรวจความสามารถรอบด้าน กับชีวิตโดดเดี่ยว แปลกแยก แม้กับร่างกายของตัวเอง
หลายคนเรียกเขาว่า ซูเปอร์สตาร์ หรือไม่ก็ คิง ออฟ ป๊อป (King of Pop) แต่บางคนบอกแค่นั้นน้อยไป ต้องเรียกใหม่ว่า "เมกะสตาร์( Mega Star)"
หนึ่งในแฟนผู้ติดตามเพลง และคอลัมนิสต์อิสระด้านดนตรี บงกช ภูษาธร ให้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า "เหนือซูเปอร์สตาร์ขึ้นไปอีก"
แบบยาวๆ คือ ศิลปินที่ประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดในทุกๆ ด้านของอาชีพ โดยเฉพาะ คิง ออฟ ป๊อป ผู้ล่วงลับ ที่กินรวบทั้งเพลง ยอดขาย การแสดงคอนเสิร์ต และความนิยมในระดับมหาศาล
ทั้งนี้ บงกชบอกว่า อีกสิ่งที่จะวัดความเป็นอภิมหาศิลปินได้คือ ยอดขายรวมทุกอัลบัมไม่ต่ำกว่า 80-100 ล้าน
"อัลบัม Thriller ทำให้เขาขึ้นเป็นเมกะสตาร์ยิ่งใหญ่มากๆ ถือเป็นอัลบัมป๊อปแห่งประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ทั้งยอดจำหน่ายในอเมริกา 24 ล้านกับทั่วโลกอีก 20 ล้าน ถือว่าสูงมากๆ" ช่วงนั้นแจ็คสันในวัย 24 ทัวร์คอนเสิร์ตอย่างจริงจังในสหรัฐและโซนยุโรป
จนมาถึงอัลบัม Dangerous ที่มาพร้อมกับคอนเสิร์ตแบบเวิลด์ทัวร์ (รวมถึงสนามศุภชลาศัย ประเทศไทย 2536) ที่ต้องถือว่ายิ่งใหญ่ อลังการงานสร้างมากๆ และมี 2 คนไทยเอาประสบการณ์คราวนั้นมาร่วมแชร์
"ตัวเลขคนดูอย่างไม่เป็นทางการ 9 หมื่นกว่าคน บัตรคอนเสิร์ต ตั๋วผี เกินหมื่นบาท เครื่องมือต้องขนด้วยเครื่องบินถึง 2 ลำ สตาฟต่างประเทศ 350 คน คนไทยอีกเป็นพัน ค่าโปรดักชั่นเป็นร้อยล้าน" ปีเตอร์ กัน ผู้กุมบังเหียน โซนี มิวสิค และรับบทเป็นผู้ประสานงานตอนนั้น บอกอีกว่า นักร้องอเมริกันคนนี้ทำรายได้เข้าบริษัทหลายล้าน ลำพังซิงเกิ้ลหรืออีพีก็ขายได้หลายแสนแล้ว
"หมึก" วิโรจน์ ควันธรรม พิธีกรงานแถลงข่าวคอนเสิร์ตคราวนั้น เห็นกับตาว่า อุปกรณ์คอนเสิร์ตคราวโน้น ประมาณ "ภูเขาเลากา" ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเห็น
นั่นอาจแค่เปลือกนอก แต่สำหรับดีเจรุ่นเก๋า สิ่งที่ทำให้ไมเคิล แตกแถวจากศิลปินยุค 80 คนอื่นๆ ได้คือ ความแตกต่างผ่าน "ท่าเต้น"
"ยุคนั้น ศิลปินคนอื่นๆ จะไม่ค่อยมีท่าเต้นที่เป็นลักษณะ physical แบบเขา เขาริเริ่มเต้นอย่างแข็งแรง เน้นที่สรีระร่างกาย ถ้าเปรียบกับทหารคือผ่านการฝึกหนัก ไม่มีความรีแล็กซ์ ซึ่งเป็นอิทธิพลต่อฮิปฮอป และศิลปินรุ่นหลัง ที่เต้นแบบกระตุกๆ และแข็งแรง ทั้งผิวสีและผิวขาว"
ในความเห็นของปีเตอร์ กัน เขายกให้ท่า Moon walk ที่สร้างสรรค์มาจากท่าเดินลอยๆ บนดวงจันทร์ของนีล อาร์มสตรอง จนกลายมาเป็นท่าเดินถอยหลังอันเลื่องชื่อ
"ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ และชอบคิดอะไรใหม่ๆ ทำให้เขาคือ Mega Star"
และความเป็น Performer ที่ดีบนเวที คือ อีกสิ่งที่ ปีเตอร์ กัน ซูฮกให้
"จากการทัวร์คอนเสิร์ตตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขาเข้าถึงกลุ่มคนฟัง ประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าคนฟัง คนดูอยากได้อะไร เขาจึงรู้จักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนฟังแบบอินเตอร์แอคทีฟ และสามารถคาดเดาหรือล่วงรู้ความต้องการของคนดูได้"
คิง ออฟ ป๊อป ยังเป็นผู้บุกเบิกการนำซินธีไซเซอร์มาใช้ในดนตรี คิดใส่ซาวน์สังเคราะห์เข้ามาในบทเพลง
"ไม่ต่างอะไรจากการทำตลาดชั้นยอด ที่รู้ใจและใส่อะไรใหม่ๆ มาให้ผู้บริโภค" ปีเตอร์ กัน เปรียบเทียบ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด "เพลง" ของเขา คือสิ่งการันตีได้ดีที่สุดสำหรับการเป็น Mega Star
ในความเห็นของบงกช น้องชายสุดท้องแห่งแจ็คสันไฟว์ คือ อัจฉริยภาพทางดนตรี ชนิดตัวจริงเสียงจริง
"เนื้อเพลงของเขาสื่อมุมมองและจิตใจดี ตระหนักในส่วนรวม สังคมและโลก อย่างโปรเจคท์เพลง We are the world ที่เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หรือ Heal the world ที่หลายคนร้องตามได้ ที่สำคัญ เขาถ่ายทอดผ่านภาษาที่กินใจและเข้าถึง" คอลัมนิสต์อิสระเสริมว่า หลายๆ คนมักมองไมเคิลแต่ในภาพของเอนเตอร์เทนเนอร์ชั้นเทพ โดยไม่คิดว่าเขาคือนักแต่งเพลงและเนื้อร้อง ตัวฉกาจ
บางเพลงก็ออกมาลึกซึ้ง กินใจ และเศร้าลึก
"อย่างเพลง Ben (สมัยแจคสันไฟว์) เขาแต่งให้หนูที่เลี้ยงในช่วงชีวิตที่อึดอัดที่สุด มันสะท้อนภาพชัดเจนของความรักที่เขามีต่อหนู เขาเหงา ไม่เคยมีเพื่อน หนูคือเพื่อน ไว้คุย ไว้ระบายในทุกๆ เรื่อง" ก่อนปีเตอร์ กันจะสรุปว่า ฟังดีๆ เพลงของแจ็คสันจะออกมาในแนวขาดความรัก และพร้อมจะให้ความรัก(ที่เขาขาด)แก่ทุกสรรพสิ่งในโลก
และจังหวะเพลง "ชิล ชิล" ที่ติดหูในปัจจุบัน ต้นทางก็น่าจะมาจากไมเคิล แจ็คสัน ไม่มากก็น้อย
"เพลง Billie Jean ที่จังหวะไม่ช้า ไม่เร็ว BPM (Beat Per Minute) อยู่ที่ 117-120 กลายมาเป็นบีตที่ฮิตที่สุด เต้นก็ได้ โยกหัวอยู่กับที่ หรือจะแค่เคาะนิ้วตาม ได้หมด และไม่นาน เพลงพี่น้องที่ทำนองเดียวกันอย่าง Supestar เพลงดิสโก้ยอดนิยม ก็ตามมา" ว่าแล้ว ดีเจหมึกก็ฮัมให้ฟังเป็นตัวอย่าง และบอกว่านี่แหละต้นแบบของชิล ชิล
แม้วันนี้ เอ็มเจจะเปลี่ยนสถานะเป็นตำนาน แต่เขาก็ยังทิ้งทายาททางดนตรีไว้อีกเพียบ
"จัสติน ทิมเบอร์เลค ,อัชเชอร์, คริส บราวน์ แม้กระทั่ง เรน หรือเซเว่น ก็ได้ต้นแบบมาจากเขา ถ้าคิดในทางที่ดี การจากไปของเขา อาจเป็นโอกาสให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้และศึกษาว่าเขาทำอะไรดีๆ มาบ้าง ไม่ใช่แค่ความเพี้ยนที่ถูกมอง" บงกช ส่งท้ายถึงราชาเพลงป๊อปซึ่งหยุดอายุตัวเองไว้ที่ 50 ตลอดกาล
เจ้าพ่อ "ต้นแบบ"
45 ปีนับจากวันที่เขาออกสู่สายตาประชาชน เป็นเด็กชายผิวดำผมฟูเสียงหวานใสแบบโซปราโน และท่าเต้นหมุนตัวเหมือนลูกข่าง ปลดปล่อยพลังเพลง ในฐานะศิลปินป๊อป ไมเคิล แจ็คสัน ได้กลายเป็น "ประวัติศาสตร์" และเป็น "ต้นแบบ" จากงานสร้างสรรค์ที่ถูกจดจำ เลียนแบบ สร้างแรงบันดาลใจ ในฐานะที่ไม่มีใครปฏิเสธความเป็นศิลปินบนเวที
ครั้งหนึ่ง ไมเคิล เคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผมเกลียดที่จะยอมรับ แต่ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาอยู่กับคนปกติในชีวิตประจำวัน ดูสิชีวิตผมทั้งชีวิตอยู่บนเวทีมาตลอด และปฏิกิริยาจากผู้คนที่ผมรับรู้คือ การตบมือ ยืนปรบมือ (แสตนดิ้ง โอเวชั่น) และคนวิ่งกรูไล่ตาม เวลาอยู่ในฝูงชน ผมรู้สึกกลัว แต่เวลาอยู่บนเวที ผมรู้สึก ปลอดภัย ถ้าทำได้ ผมอยากจะนอนบนเวทีด้วยซ้ำ ผมจริงจังนะ" (จากบทความ The Peter Pan of Pop ในนิตยสาร NEWSWEEK ฉบับ Jan 10, 1983)
งานสร้างสรรค์ของไมเคิล แจ็คสัน ที่อาจจะเป็นบทพิสูจน์ชื่อ ราชาเพลงป๊อป ได้ รวมถึง ท่าเต้นมูนวอล์ค ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าเต้นสมัยใหม่ที่มี "ชื่อเรียก" ติดปาก และเป็นที่รู้จักมากที่สุดทั่วโลก ความดังของท่าเต้นนี้เกิดขึ้นหลังจากไมเคิลโชว์ลีลาออกรายการพิเศษ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ในปี 1983 ซึ่งเก็บภาพของเด็กชายไมเคิลเต้นท่านี้ กับเทคนิคการเต้นที่แสดงจินตนาการ โดยนักเต้นก้าวขาถอยหลังขณะที่พยายามเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
เต้นลูบเป้า (ไม่ใช่ท่า)
ไมเคิลติดนิสัยเอามือลูบเป้าระหว่างการเต้นบนเวที เมื่อ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรรายการทอล์คโชว์เบอร์หนึ่งของอเมริกาถามถึงเหตุผล (ปี 1993) ไมเคิล ตอบว่า "...คุณจะเริ่มมีอารมณ์ตามซาวนด์ โอเค เพราะงั้นถ้าผมกำลังเคลื่อนไหวอยู่และผมเริ่ม แบม (กระตุก) ผมก็คว้าเป้า มันเป็นเพราะดนตรีผลักดันให้ผมทำแบบนั้น มันไม่ใช่ผมจะบอกว่า "เตรียมพร้อม คว้าเป้าตรงนั้นนะ" ผมไม่ทันคิดหรอก มันเป็นไปเอง บางครั้งผมดูฟุตเตจ (การแสดง) ย้อนหลัง ผมยังคิดเลยว่า เราทำยังงั้นเหรอ?"
การแต่งกาย
ไมเคิลคัดสรรสไตล์ที่แตกต่าง ที่เขายังคงรักษามันไว้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาตลอด โดยเฉพาะรองเท้าสีดำ ถุงเท้าสีขาว กางเกงขาลีบแนบตัวสีดำ เสื้อยืดคอวีสีขาว และเสื้อแจ็คเก็ตกระดุมแถวเดียวในสไตล์เครื่องแบบทหารติดบั้ง และการสวมถุงมือสีขาวข้างเดียว ที่กลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญ เมื่อไมเคิลขึ้นเวทีคอนเสิร์ต
ร่างกายที่เป็นอื่น
ในการให้สัมภาษณ์กับรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ ปี 1993 ไมเคิลเล่าถึงอดีตว่า วัยเด็กของเขาทุกข์ระทม หลังจากถูกพ่อบังเกิดเกล้าพูดคำว่า "น่าเกลียด" กับตัวเขาเกือบตลอดเวลา และยังยอมรับว่าถูกพ่อตีด้วย นอกจากนี้พี่สาวของไมเคิล ลาโตย่า แจ็คสัน ยังยืนยันด้วยว่าแม่ของพวกเขาไม่อ่อนโยนต่อไมเคิลสักเท่าไร อัลบัมชุด Dangerous ไมเคิลเอ่ยคำอุทิศให้กับพ่อแม่ของเขาด้วย (จาก The Death of Peter Pan เขียนโดย ริชาร์ด คอร์ลิสส์ นิตยสารไทม์ ออนไลน์ Friday, Jun. 26, 2009)
สีผิว
และในปีเดียวกันนั้น ไมเคิล แปลงร่างเป็นผู้ชายผิวขาว โดยเขาอ้างว่าได้ป่วยเป็น โรค vitiligo (เริ่มเป็นปี 1986) และมี ดร.อาร์โนลด์ ไคลน์ แพทย์ผิวหนังประจำตัวของไมเคิลแถลงในปี 1993 ยืนยันการเป็นโรค vitiligo ที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิวปกติถูกทำลาย ทำให้ผิวเปลี่ยนจากดำเป็นขาว แต่คนที่เป็นโรคนี้จะมีผิวด่างเป็นช่วงๆ โดยไมเคิลชี้แจงว่าเขาเลือกที่จะให้แพทย์เปลี่ยนสีผิวทั้งหมด และแต่งหน้าปกปิดจุดด่างบนผิว แทนที่จะปล่อยตัวเองให้ด่างดำตามธรรมชาติของโรค
ป่วย
ปี 1984 ไมเคิลประสบอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ติดผมลามถึงใบหน้า ระหว่างถ่ายทำโฆษณาเป๊ปซี่ หลังจากรักษาตัวในระยะพักฟื้น เขาต้องอยู่ในห้อง hyperbaric oxygen จนต่อมามีข่าวลือว่าเขาจัดห้องนอนพิเศษเพื่อป้องกันความแก่ชรา ภาพถ่ายมีปรากฏในปี 1986 แต่ไมเคิลปฏิเสธว่าไม่เป็นเรื่องจริง
ปี 1990 ไมเคิลเข้าโรงพยาบาล มีอาการเจ็บหน้าอก และต้องเลื่อนการแสดงคอนเสิร์ตในเดือนสิงหาคมปีนั้น เนื่องจากอาการร่างกายขาดน้ำรุนแรง และปลายปีเดียวกันเขาประสบปัญหาเสพติดยาแก้ปวด ท่วมกลางกระแสถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดเด็กชาย
ปี 1995 ไมเคิลเป็นลมในขณะซ้อมการแสดงที่นิวยอร์ก ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน สาเหตุจากอาการขาดน้ำและความดันเลือดต่ำ (ข้อมูลจาก CNN.com)
ข่าวปี 2008 ทางนิตยสาร Touch ในอังกฤษ อ้างว่า ระหว่างทำการค้นข้อมูลเพื่อเขียนหนังสือชีวประวัติของไมเคิล นักข่าวชาวอังกฤษคนหนึ่งได้พบว่า คิง ออฟ ป๊อป ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา alpha-1 antitrypsin ที่มีผลต่อปอดและตับ และอาจจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนปอดหนึ่งข้าง และมีเลือดออกทางลำไส้ ตาข้างซ้ายมองไม่เห็น และพูดไม่ค่อยสะดวก แต่ ดร.โตห์เม โฆษกส่วนตัวของไมเคิลปฏิเสธทุกข้อ (ข้อมูลจาก Michael Jackson\'s Mysterious Medical Past โดย Alice Park ทางเว็บไซต์นิตยสารไทม์ Thursday, Jun. 25, 2009)
ไมเคิลเป็นลมครั้งสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ในบ้านที่ลอสแองเจลีส ก่อนจะถูกนำตัวไปที่ศูนย์การแพทย์ UCLA Medical Center ไบรอัน อ็อกซ์แมน ทนายครอบครัวแจ็คสันเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า ไมเคิลได้ใช้ยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากซ้อมคอนเสิร์ต ซึ่ง คิง ออฟ ป๊อป ตกเวทีขาหัก กระดูกซี่โครงเดาะ แต่จะเป็นสาเหตุการจากไปของไมเคิลหรือไม่ต้องรอผลชันสูตร
ศัลยกรรม
ช่วงก่อนสีผิวจะซีดจาง ใบหน้าของไมเคิลเริ่มเปลี่ยนแปลง จากคางที่แหลมกว่าเดิม ริมฝีปากบางลง และจมูกกลมโตกลายเป็นเรียวบาง โดยไมเคิลไม่เคยยอมรับต่อสาธารณชน แต่หลังจากที่ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปหลายครั้ง ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไมเคิลปรากฏตัวต่อสาธารณชน พร้อมกับผ้าปิดปากปิดจมูกเหมือนหน้ากากหมอทุกครั้ง
เด็กไม่ยอมโต
"พอผมเริ่มหงุดหงิดกับงานอัดเสียง ผมจะหนีออกไปจับจักรยาน ปั่นไปที่สวนหน้าโรงเรียนเพื่อจะได้อยู่กับเด็กๆ พอผมกลับมาที่สตูดิโอ ผมก็ฟิตพร้อมจะทลายภูเขาทั้งลูกได้เลย เด็กๆ ทำให้ผมเป็นอย่างนั้น มันเหมือนมนต์วิเศษ" ไมเคิล บอก (จากThe Peter Pan of Pop,NEWSWEEK Jan 10, 1983) ฉายา Peter Pan ที่สื่อเรียกขานเขามาจากพฤติกรรมที่ไมเคิลทำตัวเป็น "เด็กไม่ยอมโต" และหลงใหลตัวละครแบบปีเตอร์ แพน และตัวละครแฟนตาซีในนิทานสำหรับเด็ก รวมถึงการสร้างอาณาจักรส่วนตัวโดยใช้ชื่อ เนเวอร์แลนด์ ที่มีทั้งสวนสัตว์และสวนสนุกในนั้น (ปี 1987) และเชื้อเชิญเด็กๆ เข้าไปวิ่งเล่นกันในอาณาจักรแห่งนั้น
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
โดย ทศพร กลิ่นหอม และ ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ