นุ่น สินิทธา เผยมั่นใจหลักฐานแน่น หลังมีเหตุทะเลาะวิวาท-ทำร้ายร่างกายกับเพื่อนบ้าน ด้านคู่กรณีแจ้งความเพิ่ม 4 ข้อกล่าวหา นุ่นชี้ถ้าคู่กรณีมีหลักฐานก็เอามาสู้กัน ยืนยันความบริสุทธิ์
จากกรณีที่ น.ส.ศุภัสรา แซ่โง้ว อายุ 45 ปี และ น.ส.สินิทธา บุญยศักดิ์ หรือ นุ่น นักแสดงสาวพี่สาวของ พลอย เฌอมาลย์ ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทเนื่องจากสุนัขของทั้ง 2 ฝ่ายกัดกัน ที่หน้าบ้านพักในหมู่บ้านศรีนครินทร์ พาร์ค ถนนบางนา-ตราด กม.4.5 เขตบางนา โดย น.ส.ศุภัสรา อ้างว่า ตนถูกนุ่นใช้ไม้ตีเข้าที่หลังถึง 3 ครั้ง รวมทั้งถูกตีที่ศีรษะจนปวดหัว ซึ่งทางด้าน นุ่น สินิทธา เอง ก็ได้โพสต์ภาพแผลที่ถูกสุนัขกัด ลักษณะบาดแผลเป็นรอยลึก 2 รอย รอบ ๆ ปากแผลมีรอยเขียวช้ำ พร้อมระบุข้อความถาม "ใครผิด ใครทำ" [อ่านข่าว : นุ่น สินิทธา โชว์ภาพแผลถูกสุนัขกัด หลังเปิดศึกบู๊นอกจอกับเพื่อนบ้าน คลิก]
ในเวลาต่อมาทางด้านสาว พลอย เฌอมาลย์ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมถึงเรื่องดังกล่าว โดยเชื่อว่าคู่กรณีไม่ได้พูดความจริง เพราะหลักฐานที่นุ่นโดนสุนัขกัดนั้นชัดมาก ส่วนอีกฝ่ายมีหลักฐานอะไรถึงบอกว่าโดนตี [อ่านข่าว : พลอย เฌอมาลย์ ปกป้อง นุ่น สินิทธา บอกเพื่อนบ้าน อย่าดราม่า อย่าเป็นนางเอก คลิก]
และล่าสุด (14 มกราคม 2559) น.ส.ศุภัสรา ก็ได้แจ้งความ นุ่น สินิทธา เพิ่ม 4 ข้อหาคือ ทำร้ายร่างกาย ทารุณกรรมสัตว์ ทำให้เสียทรัพย์และข่มขู่ โดยคู่กรณีได้นำภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์ขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุมอบให้เป็นหลักฐาน ประกอบคำให้การเพิ่มเติมนั้น โดย น.ส.ศุภัสรา กล่าวว่า สุนัขของนุ่น สินิทธา มักจะหลุดเข้ามากัดสุนัขของตน 2-3 ครั้ง ที่ผ่านมาตนไม่ติดใจเอาความ กระทั่งเกิดเหตุครั้งล่าสุดที่บานปลายจนถึงทำร้ายร่างกายกัน และจากการตรวจร่างกายตนก็มีบาดแผลเป็นรอยช้ำบริเวณสีข้างด้านซ้าย และกลางแผ่นหลังลักษณะรอยยาวถูกตีจากของแข็งไม่มีคม และผลการตรวจเอกซเรย์ ไม่พบว่ามีกระดูกส่วนใดในร่างกายหัก
น.ส.ศุภัสรา กล่าวต่อว่า จากกรณีที่ตนแจ้งข้อหาเพิ่มเติม 4 ข้อหานั้น เกิดจากขณะเกิดเหตุ นุ่น สินิทธา ได้ใช้ไม้ตีสุนัขอย่างไม่ยั้งมือและทำร้ายร่างกายตนด้วย สำหรับข้อหาข่มขู่นั้น เนื่องมาจากมีชายชุดดำเดินตามตนเข้าบ้านและมีการถ่ายรูป ส่วนข้อหาทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากขณะเกิดเหตุชุลมุนทำให้ต่างหูเพชรข้างซ้าย ราคาประมาณ 1 แสนบาท หลุดหายไป อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลตรวจร่างกายจากแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง จึงจะทราบผลประมาณ 2-3 วัน
ด้าน พ.ต.อ. ชัยฤทธิ์ ศรีวารีรัตน์ พนักงานสอบสวน ผู้ทรงคุณวุฒิ สน.บางนา เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว และให้นำผลตรวจร่างกายจากโรงพยาบาลมาประกอบคำให้การ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะมีการเรียกพยานแวดล้อมอีก 5 รายมาสอบปากคำเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถแจ้งข้อหาแก่ฝ่ายใด ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่ายแน่นอน
อย่างไรก็ดี น.ส. ศุภัสรา เปิดเผยหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า มาให้ปากคำเพิ่มและแจ้งข้อหากับนุ่น สินิทธา เพิ่มเติม และรอการติดต่อประสานจากทางพนักงานสอบสวนอีกครั้ง ในส่วนของการเข้ามารับทราบข้อกล่าวหานั้น ตนจะเดินทางมาพร้อมกับทนายความอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้ระบุวันและเวลา
ทั้งนี้ น.ส.ศุภัสรา ยืนยันว่าบริสุทธิ์ใจและยืนยันในความถูกต้องชัดเจนว่าความจริงก็คือความจริง เรื่องที่เกิดขึ้น หากคู่กรณีไม่ใจร้อนปัญหาต่าง ๆ คงจะไม่เกิดขึ้น
ทางด้าน สาวนุ่น สินิทธา ก็ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ในวันและเวลาที่เกิดเหตุตนไม่มีเจตนานำไม้ไปเพื่อทำร้ายร่างกายคู่กรณี ตนเพียงแต่ต้องการเดินไปถามว่าสุนัขของคู่กรณีฉีดยาหรือไม่ และนำไม้เพื่อไปป้องกันตัวเพราะเกรงว่าสุนัขของคู่กรณีจะเข้ามากัด และเมื่อเดินไปถึง คู่กรณีกลับตะโกนออกมาประมาณว่า "หมาฉันไม่ผิด" ก่อนที่สุนัขทั้ง 2 ตัวของคู่กรณี จะวิ่งเข้ามาหาตน พร้อมทั้งพยายามกัดขาและแขนตน จึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตีป้องกันตัว โดยคู่กรณีก็ได้พยายามแย่งไม้ไปจากมือตน กระทั่งยามมาช่วยห้ามจนทำให้ยามได้รับบาดเจ็บไปด้วย ก่อนจะแยกย้ายกัน ระหว่างที่ตนโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ชีพทำแผลให้นั้น คู่กรณีได้ถือมีดทำครัวมาเคาะประตูรั้ว พร้อมตะโกนเรียกให้ตนออกไป แต่เพราะความกลัวจึงไม่ยอมออกไป รอจนกระทั่งตำรวจสายตรวจเดินทางมาถึง
สาวนุ่น สินิทธา เล่าต่อว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้เพื่อปกป้องบ้าน ให้ความรัก เลี้ยงดู แต่ในทางกลับกันสุนัขก็เป็นอาวุธเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเจ้าของควรควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ดี ซึ่งตนอยากส่งเสริมมาตรการเกี่ยวกับการจัดการสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นการกักกันสัตว์ในกรณีที่สัตว์ก้าวร้าวดุดัน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่อยู่ในความดูแลของเจ้าของ ควรมีการกักกันดูแลพฤติกรรมและนำไปฝึก โดยเจ้าของต้องจ่ายค่าฝึกสุนัขด้วยเป็นการชดเชยให้กับชุมชน
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่าตนเรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาทนั้น นุ่น สินิทธา เปิดเผยว่า ตนยังไม่ได้เรียกค่าเสียหาย และตนไม่ต้องการค่าเสียหาย แต่ตนต้องการผลักดันให้มีการควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงมากกว่า เพราะความปลอดภัยของคนในชุมชนสำคัญ โดยตนอยากให้กรณีของตนเป็นกรณีตัวอย่าง อีกทั้งเรื่องของสุนัขบ้านอื่นมาฉี่-อึหน้าบ้าน ทำไมบ้านเราต้องมาเดือดร้อน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของบ้านเรา ทำไมเราต้องรับผิดชอบการกระทำของสุนัขตัวนั้นด้วย ทุกวันนี้คู่กรณีเลี้ยงสุนัขแบบไม่มีปลอกคอ ไม่มีสายจูง ปล่อยให้เดินออกนอกบ้านปล่อยให้อึ-ฉี่ เห่ามอเตอร์ไซค์ที่ผ่านไปมา และจะกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ ซึ่งเขาอาจจะมองว่าสุนัขของเขาน่ารัก แต่มันก็ไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
ทั้งนี้ นุ่น สินิทธา ยืนยันว่า ตนมั่นใจในหลักฐาน และตนก็ดูหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนมีประเด็นที่ครบถ้วนมากกว่า และยืนยันว่าไม่มีการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่สิ่งที่ตนอยากเรียกร้องคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองชุมชน ส่วนกรณีที่คู่กรณีระบุว่าตนยกเท้าใส่นั้น นุ่น สินิทธา ระบุว่า ในสถานีตำรวจมีคนเยอะมาก และตนขาบวมมากจนต้องยกขาพาดเก้าอี้ และขอถามว่าตนผิดเหรอที่ตนยกขาพาดเก้าอี้ ซึ่งสุนัขเขากัดตน เขากลับไม่ขอโทษ แต่กลับมาบอกว่าตนเสียมารยาทที่ยกเท้าให้
นอกจากนี้ นุ่น สินิทธา ระบุว่า ในการแจ้งข้อหาเพิ่มนั้น ต้องปรึกษาทางทนายความและเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งตนจะแจ้งความกลับเรื่องการทำร้ายร่างกายอย่างเดียว และอาจเพิ่มข้อกล่าวหาว่าพยายามฆ่า เนื่องจากคู่กรณีมีการใช้อาวุธมีด ทั้งนี้หากคู่กรณีมีกล้องวงจรปิดก็เอามายืนยันได้ เพราะตนมั่นใจว่าตนไม่ได้ทำ ตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และในลักษณะการแจ้งความของคู่กรณีนั้นเข้าข่ายเป็นการแจ้งความเท็จ และจากการที่คู่กรณีแจ้งข้อหาตนถึง 4 ข้อหาตามที่กล่าวข้างต้น ตนไม่หนักใจเลย แต่ทั้งนี้ตนยังไม่ได้รับทราบว่าเขาแจ้งความอะไรเพิ่มบ้าง เพราะเขาก็พูดในส่วนของเขา ตนก็พูดในส่วนของตน
สำหรับหลักฐานนั้น นุ่น สินิทธา ระบุว่า มีทั้งใบรับรองแพทย์ และการตรวจทางนิติเวช โรงพยาบาลเดียวกับคู่กรณี ทั้งนี้ในการแจ้งตรวจร่างกายนั้นตนแจ้งว่าถูกสุนัขกัด ไม่ได้แจ้งว่าถูกทำร้ายร่างกาย
ส่วนเรื่องที่คู่กรณีระบุว่ามีผู้ชายพยายามถ่ายรูปเหตุการณ์และมีการตามเข้าไปในบ้านนั้น นุ่น สินิทธา ระบุว่า ไม่เป็นความจริง และยืนยันว่าไม่ได้ถ่ายใบหน้าคู่กรณี นอกจากนี้ตนไม่ได้พูดจาข่มขู่ใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ฝ่ายคู่กรณีที่กล่าวว่าจะใช้สื่อทำร้ายตน
นุ่น สินิทธา ระบุอีกว่า คู่กรณีได้ระบุว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์คือยามในหมู่บ้าน ซึ่งตนก็สามารถให้ยามเป็นพยานให้ตนได้เช่นกันว่าคู่กรณีถืออาวุธมีดแล้วยามก็เป็นคนห้าม ตนคิดว่าคู่กรณีควรมีความรับผิดชอบเรื่องสัตว์เลี้ยงมากกว่านี้ ตนก็อยากผลักดันพระราชบัญญัติคุ้มครองชุมชน ความปลอดภัย-สะอาด-สงบเรียบร้อยในชุมชน ซึ่งต้องปรับคนที่มักง่ายกับสัตว์เลี้ยงสักที
ภาพจาก รายการบันเทิงมาเต็ม ช่อง 2
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
รายการบันเทิงมาเต็ม ช่อง 2,