ก้อย รัชวิน เผยร่วมงานภาพยนตร์ ขุนพันธ์ 2 กับอดีตหวานใจ เป้ อารักษ์ ไร้ปัญหา ยันแค่เพื่อน รับเป็นห่วงตูนวิ่งที่ญี่ปุ่น แจงเส้นเสียงตูนดีขึ้นแล้ว
ได้หวนกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง สำหรับสาวก้อย รัชวิน กับ หนุ่มเป้ อารักษ์ หลังจากที่ทั้งคู่เลิกรากันไป 10 กว่าปี ซึ่งภาพยนตร์ ขุนพันธ์ ภาค 2 ที่ทั้งคู่ได้กลับมาเล่นด้วยกัน เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษ ล่าสุดงานแถลงข่าวภาพยนตร์ ขุนพันธ์ 2 ที่สาวก้อยเดินทางมาร่วมงาน เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ ผ่านสื่อ พร้อมพูดคุยหลังหวานใจหนุ่มตูนบอดี้สแลมไปวิ่งที่ญี่ปุ่น
เรื่องนี้ได้กลับมาร่วมงานกับ เป้ อารักษ์ ด้วย ?
ก้อย รัชวิน : อันนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะ หนังเรื่องสุดท้ายที่เล่นกับเป้ คือเรื่องรักสามเศร้า 10 ปีที่แล้ว ก็เหมือนว่าเราเองผ่านตรงนี้มาด้วย
ตอนร่วมงานก็ปกติ ?
ก้อย รัชวิน : ปกติมากเลยค่ะ ก็เหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
ไม่ค่อยได้เข้าฉากด้วยกันใช่ไหม ?
ก้อย รัชวิน : ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่บทบุษราจะอยู่กับขุนพันธ์มากกว่า เจอกันไม่กี่ครั้งเอง
ก้อย รัชวิน : อันนั้นเราไปเป็นหน่วยซับพอร์ต วิ่งไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ 100 กิโล (หัวเราะ) แต่อันนั้นเขาไปวิ่ง
พี่ตูนวิ่งได้สถิติดีไหม ?
ก้อย รัชวิน : มันเป็นครั้งแรกของพี่ตูนด้วยค่ะ เรื่องสถิติไม่ได้คาดหวังว่าต้องวิ่งเร็วอะไร แต่ว่าขอให้จบ การวิ่ง 100 กิโลจะมีเวลาที่ทัชออฟใน 13 ชั่วโมง เริ่มวิ่งตั้งแต่ตี 5 ก็ต้องให้จบภายใน 13 ชั่วโมง อันนี้คือความยาก แล้วก็สภาพอากาศ ตากฝน หนาวเอย ร้อน แล้วเจอฝน แล้วเจอหนาวค่ะ อากาศมันเปลี่ยนตลอดเวลา
ตอนนั้นเป็นกังวลไหม เพราะสุขภาพของตูนก็ยังต้องดูแล ?
ก้อย รัชวิน : ช่วงแรกก่อนที่จะรู้ว่าเขาจะวิ่ง กังวล แต่ก่อนหน้านั้นได้ไปสำรวจเส้นทางก่อน เราก็เห็นว่าอากาศดีจังเลย น่าวิ่งจังเลย วิวก็สวย ก็เลยไม่เป็นห่วง แต่พอวันที่วิ่งจริง ๆ มันดันมีฝนตก พายุเข้า แล้วเขาไม่ได้ใส่เสื้อกันฝนไป อันนั้นก็เลยทำให้เราค่อนข้างกังวล แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
เส้นเสียงตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง ?
ก้อย รัชวิน : น่าจะดีขึ้นแล้วนะคะ อีกไม่นานน่าจะได้กลับมาร้องเพลง
แล้วเวลาสื่อสารต้องสื่อสารยังไง ?
ก้อย รัชวิน : เราก็ต้องพูดเบา ๆ คือสื่อสารเหมือนเดิม แต่ว่าเขาจะพูดเบาหน่อย เราก็ต้องตั้งใจฟัง เงี่ยหูฟังนิดนึงว่าเขาพูดอะไร แต่ว่าตอนนี้ก็โอเคแล้วค่ะ พึ่งไปพบหมอด้วยกันมา ก็ดีขึ้น ๆ ดีขึ้นเยอะเลย
มันทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ?
ก้อย รัชวิน : โอ้ย (หัวเราะ) ไม่ ๆ หรอก เขาพูดเลเวลปกติเนี่ยแหละ คือเขาเป็นคนพูดเบาอยู่แล้ว ก็จริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร แค่รู้ว่าตอนนี้เขาร้องเพลงไม่ได้ ก็อย่าไปให้เขาร้องเพลงให้ฟังค่ะ
เรื่องเข่ายังมีอาการเจ็บอยู่ไหม ?
ก้อย รัชวิน : ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรนะคะ ถ้าทางร่างกายก็ยังได้เหมือนเดิม
อย่างไปเที่ยวญี่ปุ่นนอกจากไปวิ่ง ก็เหมือนไปเที่ยวด้วย ?
ก้อย รัชวิน : มันเหมือนกาผจญภัยมากกว่า สำหรับก้อยคือเที่ยวจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าพอไปอันนี้ มันมีเรื่องราวให้จดจำ พอย้อนกลับไปมองก็มีความสุขค่ะ เหมือนตอนเราวิ่งก้าว พอย้อนมองกลับไปมันมีเรื่องราวดี ๆ ระหว่างทาง อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน แต่อันนี้อาจจะไม่ได้วิ่งเพื่อโรงพยาบาล แต่เขาวิ่งเพื่อตัวเขาเอง เอาชนะตัวเองได้ เอาชนะความเจ็บปวดค่ะ
ที่ผ่านมามีการเติมความหวานให้กันยังไง ?
ก้อย รัชวิน : ก็ไปวิ่งด้วยกัน (หัวเราะ) เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่มีอะไร
ก้อย รัชวิน : จะมีภาพยนต์สารคดีของก้าวค่ะ ในเดือนหน้านี้ ฝากพี่ ๆ ติดตามด้วย จะเป็นโปรเจกต์ที่นำไปสู่การช่วยเหลือครั้งต่อไป
อันนี้คือที่คุยกันไว้ 2 คน ?
ก้อย รัชวิน : ไม่ใช่ค่ะ อันนี้คือโครงการของก้าวคนละก้าว ปีนี้เราอาจจะไม่ได้มีการวิ่งยาวเหมือนกับปีที่แล้ว แต่เราก็อยากทำให้สิ่งนี้ มันเป็นการช่วยเหลือที่ต่อเนื่องไปจากปีที่แล้ว เราก็อยากจะช่วยโรงพยาบาลที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยเหลือต่าง ๆ ค่ะ แต่เดี๋ยวให้พี่ตูนเป็นคนเล่าแล้วกัน
ภาพจาก Instagram rachwinwong
ภาพจาก Instagram paearak
ภาพจาก Instagram paearak
ภาพจาก Instagram paearak
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก INN
เรื่องนี้ได้กลับมาร่วมงานกับ เป้ อารักษ์ ด้วย ?
ก้อย รัชวิน : อันนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะ หนังเรื่องสุดท้ายที่เล่นกับเป้ คือเรื่องรักสามเศร้า 10 ปีที่แล้ว ก็เหมือนว่าเราเองผ่านตรงนี้มาด้วย
ตอนร่วมงานก็ปกติ ?
ก้อย รัชวิน : ปกติมากเลยค่ะ ก็เหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
ไม่ค่อยได้เข้าฉากด้วยกันใช่ไหม ?
ก้อย รัชวิน : ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่บทบุษราจะอยู่กับขุนพันธ์มากกว่า เจอกันไม่กี่ครั้งเอง
ภาพจาก Instagram rachwinwong
การวิ่งยังเต็มที่อยู่ไหม ล่าสุดก็ไปวิ่งที่ญี่ปุ่นมา ?ก้อย รัชวิน : อันนั้นเราไปเป็นหน่วยซับพอร์ต วิ่งไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ 100 กิโล (หัวเราะ) แต่อันนั้นเขาไปวิ่ง
พี่ตูนวิ่งได้สถิติดีไหม ?
ก้อย รัชวิน : มันเป็นครั้งแรกของพี่ตูนด้วยค่ะ เรื่องสถิติไม่ได้คาดหวังว่าต้องวิ่งเร็วอะไร แต่ว่าขอให้จบ การวิ่ง 100 กิโลจะมีเวลาที่ทัชออฟใน 13 ชั่วโมง เริ่มวิ่งตั้งแต่ตี 5 ก็ต้องให้จบภายใน 13 ชั่วโมง อันนี้คือความยาก แล้วก็สภาพอากาศ ตากฝน หนาวเอย ร้อน แล้วเจอฝน แล้วเจอหนาวค่ะ อากาศมันเปลี่ยนตลอดเวลา
ตอนนั้นเป็นกังวลไหม เพราะสุขภาพของตูนก็ยังต้องดูแล ?
ก้อย รัชวิน : ช่วงแรกก่อนที่จะรู้ว่าเขาจะวิ่ง กังวล แต่ก่อนหน้านั้นได้ไปสำรวจเส้นทางก่อน เราก็เห็นว่าอากาศดีจังเลย น่าวิ่งจังเลย วิวก็สวย ก็เลยไม่เป็นห่วง แต่พอวันที่วิ่งจริง ๆ มันดันมีฝนตก พายุเข้า แล้วเขาไม่ได้ใส่เสื้อกันฝนไป อันนั้นก็เลยทำให้เราค่อนข้างกังวล แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
ภาพจาก Instagram rachwinwong
ก้อย รัชวิน : น่าจะดีขึ้นแล้วนะคะ อีกไม่นานน่าจะได้กลับมาร้องเพลง
แล้วเวลาสื่อสารต้องสื่อสารยังไง ?
ก้อย รัชวิน : เราก็ต้องพูดเบา ๆ คือสื่อสารเหมือนเดิม แต่ว่าเขาจะพูดเบาหน่อย เราก็ต้องตั้งใจฟัง เงี่ยหูฟังนิดนึงว่าเขาพูดอะไร แต่ว่าตอนนี้ก็โอเคแล้วค่ะ พึ่งไปพบหมอด้วยกันมา ก็ดีขึ้น ๆ ดีขึ้นเยอะเลย
มันทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม ?
ก้อย รัชวิน : โอ้ย (หัวเราะ) ไม่ ๆ หรอก เขาพูดเลเวลปกติเนี่ยแหละ คือเขาเป็นคนพูดเบาอยู่แล้ว ก็จริง ๆ ตอนนี้ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร แค่รู้ว่าตอนนี้เขาร้องเพลงไม่ได้ ก็อย่าไปให้เขาร้องเพลงให้ฟังค่ะ
ภาพจาก Instagram rachwinwong
เรื่องเข่ายังมีอาการเจ็บอยู่ไหม ?
ก้อย รัชวิน : ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรนะคะ ถ้าทางร่างกายก็ยังได้เหมือนเดิม
อย่างไปเที่ยวญี่ปุ่นนอกจากไปวิ่ง ก็เหมือนไปเที่ยวด้วย ?
ก้อย รัชวิน : มันเหมือนกาผจญภัยมากกว่า สำหรับก้อยคือเที่ยวจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าพอไปอันนี้ มันมีเรื่องราวให้จดจำ พอย้อนกลับไปมองก็มีความสุขค่ะ เหมือนตอนเราวิ่งก้าว พอย้อนมองกลับไปมันมีเรื่องราวดี ๆ ระหว่างทาง อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน แต่อันนี้อาจจะไม่ได้วิ่งเพื่อโรงพยาบาล แต่เขาวิ่งเพื่อตัวเขาเอง เอาชนะตัวเองได้ เอาชนะความเจ็บปวดค่ะ
ที่ผ่านมามีการเติมความหวานให้กันยังไง ?
ก้อย รัชวิน : ก็ไปวิ่งด้วยกัน (หัวเราะ) เหมือนเดิมค่ะ ยังไม่มีอะไร
ภาพจาก Instagram rachwinwong
จะมีโปรเจกต์อะไรด้วยกันอีกไหม ?ก้อย รัชวิน : จะมีภาพยนต์สารคดีของก้าวค่ะ ในเดือนหน้านี้ ฝากพี่ ๆ ติดตามด้วย จะเป็นโปรเจกต์ที่นำไปสู่การช่วยเหลือครั้งต่อไป
อันนี้คือที่คุยกันไว้ 2 คน ?
ก้อย รัชวิน : ไม่ใช่ค่ะ อันนี้คือโครงการของก้าวคนละก้าว ปีนี้เราอาจจะไม่ได้มีการวิ่งยาวเหมือนกับปีที่แล้ว แต่เราก็อยากทำให้สิ่งนี้ มันเป็นการช่วยเหลือที่ต่อเนื่องไปจากปีที่แล้ว เราก็อยากจะช่วยโรงพยาบาลที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยเหลือต่าง ๆ ค่ะ แต่เดี๋ยวให้พี่ตูนเป็นคนเล่าแล้วกัน
ภาพจาก Instagram paearak
ภาพจาก Instagram paearak
ภาพจาก Instagram paearak