เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หลายคนคงเคยเจอประสบการณ์แย่ ๆ จากร้านเสริมสวยกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริการแบบไม่เต็มใจบริการ หรือฝีมือช่างที่ทำไม่ถูกใจเรา แต่เพราะร้านเสริมสวยที่มีอยู่มากมายแทบจะทุกซอกทุกมุมอย่างทุกวันนี้ ทำให้เราต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาร้านที่ใช่เจอ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงอยากแนะนำเทคนิคการเลือกร้านเสริมสวย ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องลองผิดลองถูกให้หงุดหงิดใจอีกต่อไปมาฝากกันค่ะ
1. ดูการบริการของร้านก่อนตัดสินใจ
อันดับแรกคุณควรรู้ความต้องการของตัวเองก่อน ว่าต้องการรับบริการด้านไหนจากร้านเสริมสวย เพราะนอกจากการบริการในเรื่องเส้นผมแล้ว ร้านเสริมสวยสมัยนี้ยังมีอีกหลายการบริการให้เราได้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ทำเล็บ นวดหน้าขัดผิว แวกซ์ขน นวดตัว หรือแม้กระทั่งสปารวมอยู่ในร้านเดียวกัน หรือเผื่อร้านไหนมีบริการอย่างเดียว เช่น รับยืดผมอย่างเดียว ไม่รับทำอย่างอื่น ข้อมูลแบบนี้ก็จะช่วยให้คุณตัดตัวเลือกออกได้ง่ายขึ้นค่ะ
2. สถานที่ตั้งก็สำคัญ
ตรวจสอบให้ดีก่อนว่าร้านเสริมสวยที่คุณสนใจนั้นตั้งอยู่ที่ไหน ไกลจากบ้านหรือที่ทำงานของคุณหรือเปล่า หรือถ้าขับรถไปจะมีที่จอดไหม เพราะหากเดินทางไปไม่สะดวก ก็ไม่เหมาะจะเป็นร้านเสริมสวยประจำแล้วล่ะค่ะ ทางที่ดีมองหาร้านที่อยู่ในละแวกที่คุณสามารถไปมาได้สะดวกจะดีกว่า เพราะหากถูกใจร้านนั้นขึ้นมา จะได้ฝากฝังความสวยความงามให้เขาดูแลแบบยาว ๆ ไปเลย
3. ราคา
หากคุณเป็นที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องใช้บริการจากร้านเสริมสวยสักเท่าไร หรือเป็นคนประเภทไม่ยั่นกับราคาไม่ว่าจะแพงระยับขนาดไหน ขอแค่ฝีมือดีเลิศก็โอเค ก็คงไม่ต้องกังวลกับเรื่องราคามาก กลับกันกับคนที่เดินเข้าออกร้านเสริมสวยเป็นประจำ ซึ่งก็คงต้องเลือกร้านเสริมสวยที่เหมาะสมกับงบประมาณของตัวเอง แนะนำอีกนิดให้คุณลองมองหาร้านเสริมสวยที่ชอบจัดโปรโมชั่น เพราะคุณจะได้รับการบริการที่ดีในราคาที่คุ้มค่ามาก ๆ เลยล่ะ
4. ฝีมือและเทคนิคของช่างเสริมสวย
คงไม่ดีแน่ ๆ ถ้าไปเจอกับช่างที่ด้อยประสบการณ์หรือฝีมือยังไม่มืออาชีพเท่าที่ควร เพราะเขาอาจจะแก้ปัญหาของคุณได้ไม่ตรงจุด แต่จะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าช่างคนไหนมีทักษะพอที่จะรู้วิธีบำรุงรักษาปัญหาของคุณได้อย่างไม่ผิดพลาด ลองให้นักเรียนโรงเรียนเสริมสวยแนะนำวิธีบำรุงผมให้คุณก็ได้ค่ะ หรือลองเป็นหนูทดลองให้เด็กนักเรียนดูบ้าง รับรองว่าคุณจะได้รับบริการในราคาที่ถูกมากถึงมากที่สุด แต่ถ้าคุณรู้อยู่แล้วว่าผมและผิวอย่างคุณ ควรจะได้รับการดูแลแบบไหน ก็ให้คุณลองสังเกตวิธีการที่ช่างแต่ละคนใช้ดู ถ้าร้านไหนตรงใจก็ใช้บริการได้เลยจ้า
5. ช่างที่ถูกคอ
ลองเดินเข้าไปในร้านที่คุณเล็งไว้ว่าน่าจะเวิร์คกับคุณมากที่สุด แล้วพูดคุยกับช่างประจำร้านดูค่ะ การพูดคุยจะช่วยให้คุณได้รู้ประสบการณ์ของช่างและได้ทดสอบว่าช่างมีความเข้าใจกับสภาพผิวและสภาพผมของคุณมากแค่ไหน ถ้าคุณและช่างต่างก็คลิกกัน ก็อย่ารอช้า รีบสมัครเป็นลูกค้าประจำได้เลยค่ะ
6. ความสะอาดของร้าน
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของร้านก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ลองสำรวจตั้งแต่ความสะอาดภายในร้าน ความสะอาดของอุปกรณ์ภายในร้าน ลักษณะของพนักงานและลูกค้าที่นั่งกันอยู่ ถ้าสรุปแล้วบรรยากาศร้านไม่ดี แถมความสะอาดยังติดลบอีก ก็ตัดร้านนี้ออกจากตัวเลือกเถอะนะ
7. ถามเพื่อน
หากที่สุดแล้วคุณก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที ลองหาข้อมูลจากเพื่อนหรือคนรู้จักดู เพราะสิ่งที่คนพูดกันปากต่อปากย่อมต้องมีของดีจริง ๆ หรือไม่ก็ลองค้นหารีวิวจากอินเทอร์เน็ต ว่าคนส่วนใหญ่เขานิยมไปใช้บริการที่ไหนกัน หรือร้านไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร วิธีนี้ก็น่าจะช่วยคุณได้ไม่น้อยเลยค่ะ แต่คุณก็สามารถเดินเข้าไปปรึกษากับช่างเสริมสวยตรง ๆ ได้เหมือนกันนะ เผลอ ๆ คุณอาจจะได้รับข้อเสนอดี ๆ เช่น ได้รับส่วนลดทำทรีทเม้นท์ครึ่งราคา หรือทำทรีทเม้นท์ฟรี ๆ เป็นกำไรอีกต่างหาก เพราะช่างก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คุณเลือกเขาอยู่แล้วล่ะ
หากเรามีช่างประจำที่รู้ใจก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เราหวังว่าเทคนิคทั้งหมดนี้จะช่วยคุณให้มองหาร้านเสริมสวยในดวงใจได้ในเร็ววันนะคะ