x close

ปลายฝนต้นหนาว..ระวังโรคทางเดินหายใจในเด็ก


แม่และเด็ก



ปลายฝนต้นหนาว..ระวังโรคทางเดินหายใจ (momypedia)
โดย พ.ญ.ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล


          สะบัดร้อน สะบัดหนาวอย่างนี้ ระวังสารพัดโรคทางเดินหายใจให้ดี

          โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก เป็นโรคที่พบได้บ่อยตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอากาศจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว และเด็กจะมีอาการทางระบบหายใจได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพราะทางเดินหายใจของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ คือ นอกจากจะมีขนาดเล็กจึงเกิดการอุดตันทางเดินหายใจได้ง่ายแล้ว ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ยังมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ด้วยค่ะ

          เรามาดูกันก่อนดีไหมคะว่า ลักษณะทางเดินหายใจของเด็กนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นจะได้เข้าใจว่าอาการนั้น ๆ เกิดจากทางเดินหายใจส่วนใด แพทย์จะให้การรักษาอย่างไร และคุณพ่อคุณแม่จะช่วยดูแลได้อย่างไรบ้างนะคะ

           ระบบหายใจของเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่

          อวัยวะและระบบต่าง ๆ ในร่างกายเด็กมีการเจริญพัฒนาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่งหลังคลอด ระบบหายใจก็เช่นเดียวกันค่ะ มีการค่อย ๆ เพิ่มขนาดทั้งส่วนกว้างและส่วนยาวของท่อทางเดินหายใจ จำนวนและขนาดของถุงลมก็เพิ่มขึ้นจนทำให้ปริมาตรของปอดในช่วง 12 ปี แรกของชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าของทารกแรกเกิด และเพิ่มเป็น 12-15 เท่าเมื่ออายุ 12 ปี

          อัตราการหายใจของเด็กก็แตกต่างจากผู้ใหญ่ เด็กยิ่งเล็กยิ่งหายใจเร็ว กล่าวคือ ในทารกแรกเกิดปกติจะหายใจประมาณ 50 ครั้งต่อนาที หรือสูงสุดไม่เกิน 60 ครั้งต่อนาที เด็กทารก 6 เดือนหายใจประมาณ 30 ครั้งต่อนาที และเด็กอายุ 1-5 ปี ปกติจะหายใจประมาณ 24 ครั้งต่อนาทีค่ะ

           เปรียบไปก็คล้ายระบบท่อส่งอากาศ

          ทางเดินหายใจนั้นถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนระบบท่อส่งอากาศจากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย บริเวณถุงลมในปอดเป็นที่สำหรับร่างกายดึงเอาก๊าซออกซิเจนจากอากาศไปใช้ และแลกเปลี่ยนปล่อยเอาของเสีย คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากับลมหายใจออก

          การเดินทางของอากาศจากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกายต้องผ่านระบบต่าง ๆ หลายขั้นตอนเพื่อให้อากาศที่ลงสู่ปอดนั้นสะอาดและเหมาะสมกับร่างกายของเราที่สุดค่ะ

          เรามาตามไปดูกันดีกว่าว่า อากาศที่เข้าไปในจมูกของเราแล้วจะต้องผ่านไปทางไหนกันบ้าง...

           เลาะเลียบทางเดินหายใจส่วนบน

           ด่านแรกคือบริเวณโพรงจมูก ถ้าเปรียบโพรงจมูกนี้กับถ้ำ ขนจมูกก็คงจะเทียบได้กับรากไม้ที่ห้อยระย้าจากเพดานถ้ำลงมาระเกะระกะ เพื่อเป็นตัวดักฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดใหญ่กว่า 10-15 มิลลิเมตรไม่ให้เล็ดลอดเข้าไปได้ ผนังและเพดานถ้ำ มี "ระบบปรับอากาศ" อัตโนมัติ ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ จำนวนมากมาหล่อเลี้ยงให้ความอบอุ่นและชุ่มชื้นแก่อากาศที่ผ่านเข้ามา เพื่อให้อากาศที่จะลงสู่ปอด มีความชื้นและอุ่นพอเหมาะ ระบบปรับอากาศนี้จะมีไปตลอดทางจนถึงหลอดลมใหญ่ค่ะ

           โพรงจมูกส่วนต่อไปคือส่วนที่ลึกเข้าไป เยื่อบุจมูกบริเวณนี้จะยื่นเข้ามาในโพรงคล้ายแท่นที่มีซอกหลืบ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการให้ความอบอุ่นชุ่มชื้นกับอากาศ ในกะโหลกศีรษะ ข้าง ๆ โพรงจมูกบริเวณนี้จะเป็นโพรงอากาศที่เรียกว่า "ไซนัส" (paranasal air sinuses) ไซนัสเหล่านี้จะมีเยื่อบุผิวเชื่อมต่อกับเยื่อบุของจมูก และมีรูเล็ก ๆ ที่เปิดติดต่อกับบริเวณโพรงจมูก ดังนั้นเชื้อโรคจึงอาจรุกรานผ่านเข้าไปได้

           อากาศจะผ่านต่อไปยัง คอ ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมกับ ช่องปาก จากคอก็จะไปถึง กล่องเสียง กล่องเสียงของเด็กจะมีกระดูกอ่อนหุ้มอยู่โดยรอบ และเป็นส่วนที่ค่อนข้างแคบ ดังนั้น ในเด็กยิ่งเล็กหากมีการอักเสบหรือบวมบริเวณกล่องเสียง ก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าในผู้ใหญ่

          ทางเดินหายใจที่กล่าวมาถึงข้างต้นนี้ คือทางเดินหายใจส่วนบน ถัดจากกล่องเสียงลงไป คือทางเดินหายใจส่วนกลาง ได้แก่ หลอดลมใหญ่ข้างซ้ายและขวา หลอดลม แขนงเล็ก หลอดลมฝอย และเนื้อปอดค่ะ

           "พลลาดตระเวน" กับกลไกการป้องกันตัวเองของปอด

          เยื่อบุทางเดินหายใจเป็นเซลล์ที่เรียงรายอยู่ผิวบนสุดส่วนต้น ๆ ของทางเดินหายใจ เซลล์เหล่านี้จะมีรูปทรงสูง มีหลายชนิด เช่น เซลล์ที่มีขนอ่อนอยู่ด้านบน แต่ละเซลล์จะมีขนอ่อนอยู่ถึง 275 อัน ขนอ่อนเหล่านี้จะพัดโบกด้วยความถี่ 1,000 ครั้งต่อนาที การพัดโบกนี้ต้องอาศัยน้ำและสารคัดหลั่งที่ผลิตออกมาจากเซลล์อีกชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายถ้วย

          การโบกของขนอ่อนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่ะ คือ โบกไล่ขึ้นไปส่วนบนด้วยอัตรา 10 มิลลิเมตรต่อนาที กลไกนี้จึงมีความสำคัญมากในการขับสิ่งแปลกปลอมขนาด 1-5 มิลลิเมตรที่หลงเข้าไปในทางเดินหายใจ

          กล่าวโดยสรุป คือ ฝุ่นขนาดใหญ่จะถูกกรองไว้โดยขนจมูก ฝุ่นขนาดกลางตกลงบนผิวที่มีน้ำและมูกแล้วถูกขับโดยการโบกของขนอ่อน ส่วนฝุ่นขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร จะลงลึกสุดถึงถุงลมเล็ก ๆ ในปอดได้ บริเวณถุงลมนี้เซลล์จะแบนลง และไม่มีขนอ่อนแล้ว เพราะจะต้องทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ ฉะนั้นการทำหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมใน ที่นี้จึงต้องอาศัย "พลลาดตระเวน" ค่ะ

          "พลลาดตระเวน" คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง เซลล์นี้มีหน้าที่คอยสำรวจตรวจตราว่ามีศัตรูแปลกปลอมมาหรือไม่ ถ้าพบว่ามี มันจะเดินทางแทรกเข้าไปในระหว่างเนื้อเยื่อ และออกมาข้างนอกบริเวณผิวของทางเดินหายใจได้ เมื่อพบเป้าหมายก็จะคืบคลานเข้าไปโอบล้อมและกินเสียก่อนที่ศัตรูจะทำอันตรายต่อปอด

          ในภาวะปกติ กลไกเหล่านี้จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ แต่ในภาวะบางอย่าง เช่น การได้รับควันบุหรี่ ภาวะขาดอาหาร การได้รับสารเสพย์ติดหรือแอลกอฮอล์ เหล่านี้จะทำให้เกิดการบกพร่องในการทำงานของขนอ่อนและ "พลลาดตระเวน" จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ


แม่และเด็ก


           การไอคือกลไกป้องกันตัวเองอย่างหนึ่ง

          นอกจากกลไกที่กล่าวมาแล้ว หากมีการสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองส่งสัญญาณประสาทจากศูนย์ควบคุมที่สมองลงมาที่กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจให้หดตัว และเพิ่มกำลังในการอัดลมเป่าออกมาอย่างรวดเร็วเกิดเสียง ที่เราเรียกว่า "การไอ" นั่นเอง การไอจะขับมูกส่วนเกินในทางเดินหายใจออกไปด้วยความแรงถึง 300 มิลลิเมตรปรอทเลยทีเดียว

          การไอจะเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจได้รับความระคายเคืองด้วย เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ เวลาล้มตัวลงนอน แล้วมีน้ำมูกไหลลงในคอ ก็จะไปกระตุ้นให้หลอดลมหดตัวและเกิดการไอด้วย

          เสียงไอที่เกิดจากการอักเสบทางเดินหายใจ จะมีความแตกต่างกันตามตำแหน่งที่เป็น เช่น ระคายคอจะไอเสียงแห้ง ๆ ไอจากกล่องเสียงอักเสบจะเป็นเสียงก้องคล้ายเสียงสุนัขเห่า หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบจะไอแบบมีเสมหะอยู่ลึก ๆ ค่ะ 

           ใช้ยาแก้ไอช่วยให้ลูกหยุดไอดีไหม?

          อาการไอ เป็นสัญญาณเตือนว่าเกิดปัญหาขึ้นในระบบหายใจ จึงไม่ควรกินยาระงับการไอโดยยังไม่ทราบสาเหตุของการไอค่ะ ยาระงับการไอเป็นยาที่ออกฤทธิ์กดศูนย์ควบคุมการไอที่สมอง จึงต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่เด็กที่ไอมักจะเกิดจากมีเสมหะ หากใช้ยาหยุดการไอกลับจะทำให้เสมหะคั่งค้าง จึงไม่ได้กำจัดเสมหะที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของการไอ

          ยาแก้ไอที่ใช้ในเด็กส่วนมากเป็นยาขับเสมหะและยาละลายเสมหะค่ะ ยาขับเสมหะจะกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดการหลั่งน้ำเมือกในทางเดินหายใจมากขึ้น เสมหะจะมากขึ้นในระยะแรก เมื่อไอไล่เสมหะออกหมดจึงจะหยุดไอ ส่วนยาละลายเสมหะจะลดความเหนียวของเสมหะลง จึงถูกขับออกง่ายขึ้นค่ะ

          คุณพ่อคุณแม่ที่เคยสงสัยว่า ทำไมกินยาแก้ไอแล้วลูกไอมากขึ้น คงจะเข้าใจแล้วนะคะ ว่าเป็นเพราะยานั้นคือยาขับเสมหะ ไม่ใช่ชนิดกดอาการไอค่ะ แพทย์จะพิจารณาใช้ยากดการไอในรายที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น ไอมากจนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการไอที่เจ็บปวด เช่น คนไข้หลังผ่าตัด หรือไอจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ

          หากเราช่วยให้เสมหะออกได้ดีเท่าใด เด็กก็จะหายจากการไอมากขึ้น และเสมหะจะออกได้ดีเมื่อ

          1. เสมหะไม่เหนียว ต้องให้เด็กดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำคือยาละลายเสมหะ ที่ดีที่สุด

          2. เสมหะไม่ติดค้างในหลอดลม ช่วยได้โดยการเคาะปอด ในเด็กที่นอนป่วย ให้ขยับเปลี่ยนท่านอนพลิกทางซ้ายบ้างทางขวาบ้าง อย่าให้นอนในท่าเดียวนาน ๆ

          3. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ยาปฏิชีวนะ และยาละลายเสมหะ





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปลายฝนต้นหนาว..ระวังโรคทางเดินหายใจในเด็ก อัปเดตล่าสุด 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา 17:25:41
TOP