x close

ฉีดวัคซีนให้ลูกน้อย


ฉีดวัคซีนให้ลูกน้อย  (เดลินิวส์)
โดย นพ.ศักดา อาจองค์
กุมารแพทย์โรคหัวใจ งานกุมารเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

          เมื่อลูกน้อยอายุได้ 1 เดือน ควรเริ่มได้รับวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อต่างๆ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีน จึงควรทราบว่าส่วนใหญ่วัคซีนที่ฉีดให้ลูกนั้น มีเชื้อใดที่เป็นสาเหตุของโรคเป็นส่วนประกอบ

         
ซึ่งเชื้อเหล่านี้เมื่อถูกทำให้ตายหรืออ่อนแรงแล้ว  จะไม่สามารถถ่ายโรคได้ แต่กลับจะกระตุ้นให้ร่างกายของลูก สร้างภูมิคุ้มกันเมื่อได้รับวัคซีนเข้าไป ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้เอง เป็นภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นหรือสร้างเองโดยร่างกายของเด็ก ซึ่งเรียกภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นนี้ว่า
“แอนติบอดี้” 

           วัคซีนมีอันตรายหรือไม่ ?

          พ่อแม่หลายคนคงสงสัยว่า การให้วัคซีนแก่ลูกนั้นมีอันตรายหรือผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับเด็กบ้างหรือไม่ คำถามนี้ในปัจจุบันถือว่าตอบง่าย เพราะขบวนการผลิตวัคซีนในปัจจุบันนั้นทันสมัยขึ้นมาก มีความบริสุทธิ์และจำเพาะ จึงอาจกล่าวได้ว่า การให้วัคซีนมีความปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายบ้างเมื่อรับวัคซีน แต่ลูกก็จะมีอาการเพียงเล็กน้อย ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เช่น มีไข้ต่ำ หรือตัวรุมๆ ในวันแรกหลังฉีดยา เมื่อทานยาลดไข้แล้วก็มักจะดีขึ้น และไม่ต้องฉีดซ้ำอีก

          ข้อสำคัญที่ควรรู้คือ ต้องระวังสำหรับวัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหากับเด็ก ที่เคยมีประวัติโรคลมชักในครอบครัว เพราะมักจะทำให้มีโอกาสเกิดไข้ได้มาก แต่ในปัจจุบันมีวัคซีนที่เป็นแบบ acellular ซึ่งทำให้โอกาสเกิดไข้น้อยลง พ่อแม่หลายคนอาจเคยได้ยินว่ามีวัคซีนที่ฉีดแล้วไม่มีไข้ ตรงนี้มักชี้แจงกับคนไข้เสมอว่าฉีดแล้วก็ยังมีไข้ได้ แต่โอกาสน้อย ดังนั้น หากบุตรหลานหรือลูกมีปัญหาดังกล่าว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าก่อนรับวัคซีนทุกครั้ง

            หากลูกมีปัญหาต่อไปนี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการฉีดวัคซีน

          1. ลูกไม่สบายหรือกำลังได้รับยาปฏิชีวนะ 

          2. มีไข้

          3. ลูกเคยมีประวัติแพ้วัคซีน หรือเคยได้รับวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส มีผื่นคัน ลมพิษ ชัก ร้องตลอดคืน ซึ่งครั้งต่อไปไม่ควรให้วัคซีนป้องกันไอกรน ควรให้เฉพาะวัคซีนป้องกันคอตีบ และบาดทะยัก

          4. เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติแต่กำเนิด ไม่ควรได้รับวัคซีนที่มีชีวิต

          5. ไม่ควรให้วัคซีนโปลิโอชนิดรับประทานแก่เด็ก ที่มีคนในบ้านเป็นโรคขาดภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด เพราะวัคซีนโปลิโออาจไปติดผู้ป่วยที่ขาดภูมิคุ้มกันในบ้าน และเกิดเป็นอัมพาตได้

          6. ไม่ควรให้วัคซีนป้องกันวัณโรคในเด็กที่มีอาการของโรคเอดส์ 

           ผลแทรกซ้อนจากวัคซีนที่ควรทราบและควรเฝ้าระวัง

          ลูกอาจมีไข้ได้ พ่อแม่ต้องคอยวัดอุณหภูมิร่างกาย ถ้ามีไข้มากกว่า 38 องศาเซล เซียส ควรให้ยาลดไข้และควรเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อย แต่หาก มีไข้สูงมาก กว่า 40 องศา หรือมีไข้นานกว่า 24 ชั่วโมง ควรรีบปรึกษาแพทย์ สิ่งที่ควรรู้ไว้คือ วัคซีนบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันไอกรน อาจทำให้บริเวณที่ฉีดมีอาการบวมแดงได้ จึงควรใช้ผ้าเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่ฉีดวัคซีนทันทีเพื่อลดอาการปวด หากหลังจาก 2 วันที่ฉีดแล้ว ยังมีอาการบวมแดงมาก กดเจ็บ มีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์ ส่วนวัคซีนป้องกันโรคหัด อาจทำให้เกิดอาการไอ มีน้ำมูก ผื่น และไข้ขึ้นใน 10 วันหลังรับวัคซีน และวัคซีนป้องกันโรคคางทูม อาจทำให้มีอาการไอ มีน้ำมูก ผื่นขึ้น หน้าและคางบวมได้ภายใน 3 สัปดาห์หลังรับวัคซีน แต่พบไม่บ่อย

           เมื่อลูกจะฉีดวัคซีน จะช่วยจับอย่างไรดี ?

          ควรอุ้มลูกให้มั่น ระวังไม่ให้ลูกดิ้นและคอยปลอบโยนไม่ให้ตกใจกลัว แพทย์หรือพยาบาลอาจให้วัคซีนบริเวณต้นแขน หรือบริเวณต้นขาก็ได้แล้วแต่ชนิด โดยส่วนใหญ่มักจะให้บริเวณต้นขา ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในกรณีที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งมักเป็นวัคซีนสำหรับ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน หลังจากนั้นมักฉีดที่ต้นแขนเป็นส่วนใหญ่

           คำอธิบายอักษรย่อของชื่อวัคซีนที่พ่อแม่ควรรู้

          คำย่อเหล่านี้มักจะได้ยินจากแพทย์หรือพยาบาลพูดกันบ่อย ๆ มาทำความรู้จักกันว่ามีอะไรบ้าง

          BCG = วัคซีนป้องกันวัณโรค

          HBV = วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

          DTP = วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

          OPV = วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ

          MMR = วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน

          JE = วัคซีนป้องกันไวรัสสมองอักเสบ

          Hib = วัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ 

          HAV = วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ และ 

          VAR = วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

           โดยมีลักษณะการฉีดดังนี้

          แรกเกิด : ให้บีซีจี ป้องกันวัณโรค, ให้วัคซีนป้องกันตับอักเสบ บี ครั้งที่ 1

          2 เดือน : ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 1, หยอดโปลิโอ ครั้งที่ 1, ให้วัคซีนเยื่อ หุ้มสมองอักเสบครั้งที่ 1 ให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี ครั้งที่ 2

          4 เดือน : ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 2, หยอดโปลิโอ ครั้งที่  2, ให้วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบครั้งที่  2

          6 เดือน : ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ครั้งที่ 3, ให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบ บี ครั้งที่ 3, หยอดโปลิโอ ครั้งที่ 3

          9-12 เดือน : ให้วัคซีนรวม หัด คางทูม หัด  เยอรมัน ครั้งที่  1

          1 ขวบครึ่ง : ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และหยอดโปลิโอกระตุ้น ครั้งที่ 1, ให้วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบครั้งที่ 1 และ 2 โดยให้ห่างกัน 1 สัปดาห์ (แพทย์บางท่านอาจเริ่มให้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ)

          2 ขวบ : ให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ครั้งที่  1

          2 ขวบครึ่ง : ให้วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบครั้งที่ 3, ให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ครั้งที่  2

          4 ขวบ : ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และหยอดโปลิโอ กระตุ้นครั้งที่  2

          4-6 ขวบ : ให้วัคซีนรวม หัด คางทูม หัดเยอรมัน ครั้งที่  2

          5 ขวบ  : ให้วัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์

          10 ขวบ : ให้วัคซีนกระตุ้นคอตีบและบาดทะยัก หลังจากนี้ ให้วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ทุก 10 ปี




ขอขอบคุณข้อมูลจาก  
 







เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ฉีดวัคซีนให้ลูกน้อย อัปเดตล่าสุด 24 กรกฎาคม 2552 เวลา 15:45:06 6,558 อ่าน
TOP