แดน วรเวช กับเส้นทางชีวิตสายบันเทิงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีโอกาสทำงานทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง เจ้าตัวบอกทุกอย่างที่ได้รับไม่ใช่เพราะโชคชะตา แต่ได้มา เพราะลงมือทำต่างหาก
อยู่ในวงการมานานพอสมควร สำหรับหนุ่มแดน วรเวช นักร้องบอยแบนด์สุดฮอตยุค 90 อย่าง วง D2B ที่ถึงแม้ในตอนนั้นจะดังมาก ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อ หนุ่มบิ๊ก เพื่อนร่วมวงประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องยุบวง ซึ่งตัวเขาก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง กลับเลือกที่จะพัฒนาตัวเองและวิ่งหาโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ผู้จัดละครและผู้กำกับหนัง
ล่าสุด (9 พฤษภาคม 2561) หนุ่มแดนมาเปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาในรายการ เจาะใจ ว่าโอกาสที่ได้ทำอะไรหลายอย่างจนหลายคนอิจฉา ไม่ใช่โชคดีเท่านั้น แต่เป็นเพราะลงมือทำทุกอย่างเต็มที่ และการได้เป็นนักร้องวงดีทูบีคือความฝันตั้งแต่เด็ก จัดเป็นที่สุดของเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง
โดยหนุ่มแดนบอกว่า พีคสุดในชีวิตน่าจะเป็นช่วง D2B เพราะเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด ชีวิตเหมือนฝัน ได้ทำอะไรหลายอย่าง ขึ้นเครื่องบิน ขี่ม้า เล่นเจ็ตสกี นั่งลิมูซีน ลองนึกภาพเด็กบ้านนอกคนหนึ่งได้ทำในสิ่งที่เคยแค่ได้แต่มอง เป็นช่วงชีวิตที่โคตรเจ๋ง แต่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงคือพี่บิ๊กประสบอุบัติเหตุ ทำให้ D2B ไปต่อไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นมันชา ๆ ผมกับพี่บีมทำได้แค่ดูแลความรู้สึกของกันและกันเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของค่าย ส่วนตัวผมไม่ได้ซีเรียสเพราะผมพอใจกับชีวิตในช่วงนั้นแล้ว เพราะมันตอบโจทย์ผมทุกอย่าง อายุแค่ 18 ปี แต่ใช้หนี้ให้พ่อแม่ พาพ่อแม่ไปเที่ยว สร้างบ้าน ฯลฯ ได้แล้ว
และหนุ่มแดนยังบอกอีกว่า จากนักร้องที่ทำงานเบื้องหน้าได้ตัดสินใจผันตัวมาทำเบื้องหลัง เพราะช่วงที่อยากทำงานเบื้องหลังเป็นผู้กำกับหนังและซีรีส์ก็ไม่มีใครให้ทำนะ ผมก็ไปขอทำฟรี พอได้ทำจึงรู้ว่างานเบื้องหลังมีเนื้องานเยอะมาก ไม่เหมือนการเป็นเบื้องหน้าที่ทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดี พอเป็นโปรดิวเซอร์ต้องรับผิดชอบกว่า 50 ชีวิตที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ก็เริ่มที่จะต้องหาวิธีรู้จักบริหารจัดการคน เพื่อให้ทุกคนทุกฝ่ายแฮปปี้ ปัญหาหรือข้อผิดพลาดก็มีเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ค่อย ๆ แก้ไป นิสัยเสียของตัวเองคืออยากทำอะไรก็จะทำเลย เป็นคนเดินเกมชีวิตตัวเองมาตลอด เพราะผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองทำได้ไหม
ซึ่งหนุ่มแดนยังเล่าอีกว่า เคยขาดทุน 2-3 ล้าน ซึ่งเป็นเรื่องมหาศาลของที่บ้าน แต่ผมก็บอกกับแม่ถือว่าเราจ่ายค่าเล่าเรียนก็แล้วกัน ผมพยายามทำให้แม่รู้ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน ถ้าถามว่าวันนี้ต่างกับวันที่เป็นนักร้องตอนอายุ 17 ปีไหม ผมกล้ายืนยันว่าต่างมากคือมีความระวังมากขึ้น คิดเยอะขึ้น ทำแล้วจะคุ้มไหม ถ้าผิดพลาดมันจะส่งผลกระทบกับใครหรือเปล่า มาถึงวันนี้มีคนบอกว่าผมเป็นคนโชคดีที่มีโอกาสได้ทำนู่นทำนี่ ผมยืนยันว่ามันไม่ใช่แค่โชค