สิงโต เดอะสตาร์ เล่าชีวิตสุดรันทดสมัยเด็ก ๆ เก็บขวดขายตั้งแต่ 9 ขวบ เห็นพ่อ แม่ตีกัน ครอบครัวมีแต่ปัญหา พ่อมีเมียเป็น 10 คน แม้แต่วันคลอดพ่อยังไม่มาดู
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว
สำหรับนักร้องหนุ่ม สิงโต สหรัฐต์ หรือ สิงโต เดอะสตาร์
ที่ล่าสุดเจ้าตัวมาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง One31 ที่มี
พีเค ปิยะวัฒน์ และ ชมพู่ ก่อนบ่ายฯ เป็นพิธีกร
ถึงเรื่องราววัยเด็กที่เห็นพ่อแม่ตีกัน
แถมยังต้องทำงานเก็บขวดขายตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
ชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อย ?
สิงโต
:
ครอบครัวบกพร่องครับ คือต้องบอกว่าครอบครัวของสิงโตมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา
คุณพ่อมีเมียหลายคนเกือบจะเป็นสิบครับ วันที่ผมคลอดเขาก็ไม่ได้มาดู
แล้วก็อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็ขอแยกทางกับคุณแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน
ซึ่งระหว่างทางคุณแม่ก็ทราบมาตลอดว่าคุณพ่อมีผู้หญิงอื่น
แต่คุณแม่ก็รับได้เพราะว่าคุณแม่มีลูก อยู่เพื่อลูก
แล้วก็ยังมีทะเลาะกันอีก ผมก็อยากจะบอกว่าพ่อแม่คนไหนถ้าเกิดมีปัญหากัน
ไม่ควรมาทะเลาะตบตีกันให้ลูกเห็นครับ
เหมือนที่ผมได้เห็นและผมได้สัมผัสคือพ่อทำร้ายแม่ตลอดเวลา โดนทุบโดนตี
ตื่นเช้ามาแม่ผมมีบาดแผลของการโดนทำร้ายให้ผมเห็นตลอด
ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแย่ครับ
ทำไมคุณแม่ถึงเลือกที่จะทน ?
คุณแม่ : คิดถึงลูก ก็คือจะทนให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทนได้
หนักสุดเคยโดนถึงขั้นไหน ?
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
คุณแม่
: ก็มีแผลช้ำบวม ชกต่อยอะไรอย่างนี้ค่ะ พาผู้หญิงคนใหม่มาแล้วก็มีปัญหากัน
คือคิดว่าตอนนั้นลูกเราก็ยังเด็กแล้วแม่ก็ไม่ได้คิดที่จะเลิกกับเขา
สิงโต
: คือแม่ค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงแบบไทยคือมีความอดทนสูง
แล้วก็มีความเมตตา คือใจอ่อนเลยก็ว่าได้
แล้วคุณแม่เขาก็เป็นห่วงเราด้วยเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ยอมทนในตอนนั้น
จำภาพวันที่พ่อกับแม่แยกทางกันได้ไหม ?
สิงโต
: จำได้แม่นเลยครับ ตอนนั้นผมประมาณ 7-8 ขวบ
จำได้ว่าเขามาเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านเก็บด้วยความรวดเร็ว
เขาไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีคำลาแม้แต่สักหนึ่งคำ ไม่มีการกอด
ไม่มีการบอกลาเลยใด ๆ ซึ่งตั้งแต่ผมจำความได้เขาไม่เคยแสดงความรักเลย
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาก็ออกไปนอกบ้านตลอด กลับมาก็ตี 2 ตี 3
น้อยครั้งที่จะอยู่ด้วยกัน แล้วหลังจากวันนั้น เขาก็หายไปเลย
ไม่ได้ติดต่อหรือว่าโทร. มาให้กำลังใจใด ๆ เลย
แต่เราก็ไม่ได้เรียกร้องเพราะว่าตัวผมมีความรักจากคุณแม่เต็มที่
เราจะกอดจะหอมกันตลอด ผมเลยไม่รู้สึกขาดความรัก
หลังจากนั้นอยู่กันยังไง ?
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
สิงโต
:
คุณแม่กับคุณยายก็จะเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินแล้วคุณแม่ก็ออกไปรับจ้างทำงานเป็นแม่บ้าน
ได้วันละ 200 บาท ส่วนเรื่องของการเรียน ผมส่งตัวเองเรียน
ผมทำทุกอย่างตั้งแต่เก็บขวดขาย เศษเหล็ก พลาสติก กระดาษ
หรืออะไรก็ตามที่ขายได้ผมทำหมด คือคุณยายเขาจะเป็นคนแนะนำผม
เขาจะเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแกร่ง แล้วก็เป็นผู้นำ อดทนครับ ตอนแรก ๆ
เราก็จะรู้สึกอาย แต่คุณยายก็บอกว่า ไม่ต้องอายนะลูก
งานนี้มันเป็นงานที่สุจริต แล้วก็ได้ช่วยเหลือให้บ้านเมืองเรามีขยะน้อยลง
ได้เงินด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าไม่อายถึงแม้เพื่อนจะดูถูก เราก็ภูมิใจ
แล้วเราก็จะได้เก็บเงินตรงนี้เอาไปซื้อหนังสือ ซื้อสมุด ปากกา ดินสอไปเรียน
ผมค่อนข้างโชคดีที่เรียนโรงเรียนเทศบาล แล้วถ้าเกิดใครสอบได้ที่ 1 ของชั้น
ก็จะได้ทุนเรียนฟรี แล้วเราก็จะมุ่งมั่นทุกปี ผมไม่ได้แค่เรียนอย่างเดียว
ผมทำกิจกรรมทุกอย่าง ผมเป็นหัวหน้าห้อง แข่งขันโอลิมปิกวิชาการ
ได้รางวัลได้เงินซึ่งเป็นเงินก้อน
ก็คือทำกิจกรรมทุกอย่างที่จะสามารถผลักดันตัวเองให้เรียนหนังสือได้
เห็นว่าเลิกกันใหม่ ๆ คุณแม่เครียดถึงขนาดติดเหล้า จริงไหม ?
คุณแม่
: ก็เครียดค่ะ ตอนเลิกกันใหม่ ๆ กินข้าวกินปลาไม่ได้ ร่างกายซูบผอม
แล้วก็ติดเหล้า กินแทบทุกวัน
แต่มานึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นหน้าลูกว่าเราทำอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ
อะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่ทำให้สิงโตมีวันนี้ได้ ?
สิงโต
: คำสอนของในหลวงครับ คือเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผม
เพราะว่าเวลาผมมีปัญหาผมไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีแม่
เพราะแม่ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่มีพ่อที่คอยให้ปรึกษา ผมอยู่กับยาย
เวลาอยู่ในโรงเรียนมันมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพื่อน สังคม
หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะไม่มีใครให้ปรึกษา
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้คือคำสอนของในหลวงจริง ๆ ครับ
ตอนนั้นทำไมคิดถึงคำสอนของในหลวงของเรา ไปเห็นมาจากไหน ?
สิงโต
: คือที่บ้านก็จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ ที่คุณยายเก็บไว้แล้วก็มีหนังสือ
เป็นหนังสือรวมพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสของพระองค์ท่าน
ผมก็เปิดอ่านด้วยความที่เป็นเด็กเราก็ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว
อย่างที่เราต้องสอบแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลาว่างเราก็อ่านหนังสือ
เวลาเครียดผมก็จะเปิดอ่านตลอด แล้วทุกครั้งที่ผมอ่าน ผมจะรู้สึกดีขึ้น
มันเหมือนมีพลังแล้วก็แรงบันดาลใจบางอย่างที่ทำให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้
ตอนเด็ก ๆ ได้เรียนร้องเพลงไหม ?
สิงโต : ไม่ได้เรียนครับ มาจากสิ่งที่เราตั้งใจแล้วก็ศึกษาด้วยตัวเอง ทั้งทางด้านของวิชาการแล้วก็สายบันเทิงครับ
ทำไมถึงตัดสินใจประกวด The Star ในปีนั้น ?
สิงโต
:
อย่างแรกคือผมอายุแค่ 15-16 ปี
ผมยังไม่มีวุฒิจะไปสมัครงานได้ตามบริษัทครับ
แล้วสิ่งที่เราอยากจะทำคือเราอยากเปลี่ยนแปลงครอบครัวของเรา
อยากจะทำให้ครอบครัวของเราดีขึ้น
อยากจะทำให้ตัวเองได้มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสือ ได้เป็นนักบิน
ได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ เราก็พยายามฝึกฝนด้วยตัวเองครับ
ตอนนั้นปีที่ผมประกวดคือผมอายุน้อยที่สุด แล้วรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่มาประกวดก็มีประสบการณ์หมดเลย เราก็ต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะ
เพราะว่าเรามาด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่สนับสนุน
คือคุณแม่เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าผมจะประกวดครับ
เห็นว่าพอชนะการประกวด ขออะไรคุณแม่ ?
สิงโต : ขอให้แม่เลิกเหล้า แล้วก็เลิกบุหรี่ให้ผมครับ
คุณแม่เห็นลูกขอแบบนี้ ว่ายังไงบ้าง ?
คุณแม่ : แม่ก็บอกได้เลยลูก แล้วก็เลิกเลยเพราะลูก
ตอนนั้นภูมิใจกับลูกขนาดไหน ?
คุณแม่
: ภูมิใจมาก แม่ก็ไม่คิดว่าครอบครัวของเราจะมาอยู่จุดตรงนี้ได้
เพราะเราก็แบบเป็นแม่ค้าธรรมดา พอลูกมาขอแม่
แล้วถ้าเกิดคนที่เป็นแม่ทำให้ลูกแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่แล้วนะ
ตั้งเป้าไว้ขนาดไหนกับการประกวดครั้งนี้ ?
สิงโต
:
ผมไม่ได้คิดว่าผมจะได้ที่ 1 นะครับ
แต่ผมก็ตั้งใจอยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนานแล้ว แต่เราก็ไม่มีวิธีทำ
เพราะคุณแม่เขาก็เครียดของเขา
แต่เราก็พยายามที่จะพัฒนาตัวเองหรือทำอะไรก็ได้ที่ให้ครอบครัวเห็นว่าเด็กคนนี้สามารถเป็นหลักได้นะ และเป็นหลักได้ต้องเชื่อเขา
เหมือนกับว่าอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ให้ทำ
แล้วสิ่งนี้ก็ทำให้ผมไม่ชอบการดื่มเหล้า ตั้งแต่เด็กจนโตถึงตอนนี้อายุ 26
ปีแล้ว ผมยังไม่เคยเมาสักครั้ง
เวลาไปออกงานโดนผู้ใหญ่บังคับให้ดื่มก็พอดื่มได้บ้าง
แต่ว่าทุกครั้งที่ดื่มมันก็จะมีภาพสมัยเด็ก ๆ
ที่คุณแม่โดนทำร้ายเกิดขึ้นมาในหัวอยู่ตลอด
ดังนั้นผมก็เลยอยากที่จะเลี่ยงอะไรพวกนี้ตลอดเวลา หลาย ๆ
ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมสิงโตอยู่ในวงการบันเทิงถึงไม่ปาร์ตี้บ้างอะไรบ้าง
เพราะว่าผมยังไม่เคยเล่ามุมนี้ให้ใครฟัง ว่าผมมีปมตรงนี้
เลยทำให้ผมไม่ชอบอะไรอย่างนี้เลยครับ
เพราะปมเหล่านี้ใช่ไหม ที่ทำให้ สิงโต มีทุกอย่างเหมือนวันนี้ได้ ?
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
สิงโต
: มันเป็นวิธี คือต้องเรียกว่า เปลี่ยนมุมในการมอง
คือถ้าเราไปมองว่าพ่อแม่เราติดเหล้าเราต้องติดด้วย
ข้างบ้านมีค้าขายสิ่งเสพติดเราต้องมั่วสุมด้วย
อันนั้นมันก็จะไปอีกทางนึงเลย แต่ถ้าเราบอกว่า ไม่
ยิ่งมีแบบนี้เท่าไรมันก็จะกลับด้านแล้วยิ่งทำให้ตัวเองดี ยิ่งจะพัฒนาให้เราห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ อบายมุขพวกนี้ให้ได้
ก็จะเป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปได้
ชนะเวที The Star มา 9 ปีแล้วทำไมยังไม่เคยบอกเรื่องนี้ ?
สิงโต
: จริง ๆ แล้วผมไม่ได้อายชีวิตของผมเลย แต่เราแค่มองว่าเราเป็นศิลปิน
เราเป็นนักเอนเตอร์เทนเนอร์ เราอยากมอบความสุขให้กับคนดู ให้กับแฟนคลับ
แล้วก็ด้วยตอนนั้นเรายังเด็ก
เราอยากที่จะมีวุฒิภาวะมากพอที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้ อยากจะให้แฟนคลับเข้าใจ
เพราะว่าถ้าเราไปพูดตอนที่เราเป็นเด็กแฟนคลับอาจจะไม่เข้าใจ
แต่เรามาพูดตอนที่เรามีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีบ้าน มีอะไรที่มั่นคงแล้ว
เราถึงมาเปิดเผยให้ทุกคนเห็นว่าเด็กที่เป็นกำพร้า
พ่อแม่ทิ้ง ไม่มีใครส่งเรียน
ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
ถามความรู้สึกวันนี้ ยังรู้สึกโกรธคุณพ่ออยู่ไหม ?
สิงโต
: ไม่เคยโกรธครับ ถ้าเป็นเรื่องของคุณพ่อเนี่ยผมเคยเสียน้ำตาแค่ครั้งเดียว
คือตอนอาจารย์เอาสารคดีมาเปิดให้ดู
แล้วมันเป็นสารคดีสัตว์มีภาพตอนที่พ่อแม่นกเอาอาหารคาบไปป้อนให้ลูกของมัน
อยู่เฉย ๆ ผมก็ร้องไห้ออกมา
โดยที่คุณครูและทุกคนไม่รู้สาเหตุว่าร้องไห้ทำไม
ตอนนั้นด้วยความที่เป็นเด็กมันก็เกิดความรู้สึกอนาถใจว่าสัตว์มันยังไม่ทิ้งลูกของมันเลย
แล้วทำไมคนแท้ ๆ ถึงต้องทิ้งลูกของตัวเอง มันเลยเกิดอารมณ์ขึ้นมาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
แล้วหลังจากนั้นมันก็ไม่เคยมีอารมณ์ในการโกรธอีกเลย
พูดแบบนี้ อาจจะเป็นการประจานพ่อตัวเองหรือเปล่า ?
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
สิงโต
: จริง ๆ แล้วที่ผมมาพูดในวันนี้ มันคือเรื่องจริงทั้งหมด
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มันมีรายละเอียดอีกเยอะมาก
แต่ว่าวันนี้คือผมอยากจะมาให้กำลังใจ กับครอบครัว
สำหรับเด็กที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผมให้มีกำลังใจแล้วก็ให้เชื่อมั่นว่าเราสามารถประสบความสำเร็จได้
แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาประจาน เพราะว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว
ถึงไม่ประจานมันก็เป็นเรื่องจริงครับ
คุณแม่อยากจะบอกอะไรกับลูกไหม ?
คุณแม่
: ก็ชื่นชมลูก ไม่คิดว่าลูกจะมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ก็รักลูกมาก
ก็อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกทำมันก้าวหน้า สดใสรุ่งเรืองต่อไปค่ะ
รักลูกนะ
ภาพจาก รายการ คุยแซ่บShow
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-15.00 น. ทางช่อง One31 Facebook Page : คุยแซ่บShow
รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama