เจษ เจษฎ์พิพัฒ ทายาทตลาดรังสิต เปิดใจเล่าชีวิต ครอบครัวเจอวิกฤตปี 40 แทบล้มละลาย ด้าน เพลงขวัญ เผยสมัยแข่ง The Face Thailand 3 เจอคนด่าลามปามถึงพ่อแม่
เห็นว่าเป็นทายาทเจ้าของตลาดรังสิต ?
เรามีส่วนไปช่วยเหลือธุรกิจที่บ้านบ้างไหม ?
เจษ : ไม่มีเลยครับ เพราะว่าพ่อให้เลือกว่าจะทำอะไรในชีวิต ตอนเรียนจบก็เลยเลือกที่จะทำงานตรงนี้ พอมีโอกาสได้ลองทำก็เลยชอบ แล้วผมก็เป็นเด็กที่ไม่ชอบยอมแพ้อะไร คือทำอะไรต้องทำให้สุด ทำให้ดีที่สุดอะไรประมาณนี้ พอรู้สึกว่าทำไม่ได้ ก็จะต้องทำให้ได้
เคยถูกเปลี่ยนตัวจากละครเรื่องนึงด้วย เกิดอะไรขึ้นตอนนั้น ?
เจอเหตุการณ์แบบนี้ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ?
เจษ : ตอนนั้นเป็น attitude ที่ผมรู้สึกแย่มากครับ ผมจะโทษคนอื่นหมดเลย ผมโทษที่ค่าย คุณครูที่สอน acting ตอนหลังก็คิดได้ คือเขาหวังดีกับเราทุกคน เขาจะมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอน acting เราทำไม เขาก็ไม่ได้เงิน เราก็ไปเรียนฟรี เราจะเป็นฝ่ายได้ชื่อเสียงได้เงินจากเขาซะมากกว่า การนั่งโทษคนอื่นมันไม่ทำให้ตัวเราลุกขึ้นกลับมา ก็เลยสู้อีกครั้งนึง
เป็นคนมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กเลยไหม ?
ให้เพลงขวัญเมาท์พระเอกคนนี้หน่อยเป็นยังไง ?
เพลงขวัญ : ไม่หรอกค่ะ เขาก็เป็นปกตินี่แหละ ไม่ได้เป็นคุณหนูอะไร จะชอบนั่งคนเดียว พี่เขาจะมีโลกส่วนตัวนิดนึง พอแบบพักกองเขาก็จะใส่หูฟังนั่งดูซีรีส์ เก้าอี้ก็จะต้องเอามาเอง เป็นเก้าอี้สนามเดินป่า ชอบแย่งพัดลมคนอื่น
ทางบ้านว่ายังไงบ้างที่เข้ามาในวงการบันเทิง ?
เห็นว่าครอบครัวเคยเจอเหตุการณ์วิกฤต เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ?
เจษ : วิกฤตปี 2540 ครับ เมื่อก่อนพ่อผมก็จบเมืองนอกมาเหมือนกัน แล้วพ่อผมก็กลับมาทำธุรกิจส่วนตัว เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำพวกหมู่บ้านจัดสรร เพราะพ่อผมเป็นวิศวกร ตอนนั้นมีเงินเยอะมาก ๆ เลยครับ แล้ววันหนึ่งคุณพ่อไปกู้เงินเพื่อทำโครงการนึง แล้วโครงการยังไม่เสร็จ แล้วมันล่ม เราก็เลยไม่มีเงินที่จะทำ process โครงการให้มันแล้วเสร็จไปต่อได้ ก็เลยติดหนี้แล้วก็ล้มละลาย ซึ่งปีนั้นก็ล้มกันเป็นโดมิโน่เลย
เจษ : ผมนับถือพ่อผมมากเลย ชีวิตผมไม่เปลี่ยนเลยครับ คือที่บ้านเมื่อก่อนรวยมาก ที่บ้านจะมีรถ volvo หลายคันเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้รวยขนาดนั้นครับ ตอนนั้นเราไม่รู้พ่อแม่ปิดไว้ เด็ก ๆ ก็ไม่รู้สึก เราก็แค่แบบเออรถมันหายไปแค่นั้น ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่บ้าน แต่ที่รู้สึกได้คืออารมณ์ของพ่อแม่เหมือนจะหงุดหงิดง่ายขึ้นอะไรแบบนี้
แล้วเรามารู้ความจริงว่าพ่อแม่ผ่านวิกฤตตอนนั้นมาตอนไหน ?
เจษ : ตอนนี้พ่อก็ยังไม่บอกผมนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ความจริงคือผมไปถามเขา เพราะว่าผมเรียน Finance ต้องเรียนเกี่ยวกับวิกฤตปี 2540 และเขาก็บอกว่าเขาเจออะไรมา ก็เล่าอย่างละเอียดเลยครับว่าเจอมายังไง แต่ว่าพ่อจะไม่ได้เล่ามุมดราม่านะ แม่จะเป็นคนเล่าให้ฟังตอนหลังมากกว่า
เจษ
: สำหรับตัวผมมันเหมือนเดิมมาตลอดครับ แต่ว่าถ้าสำหรับเขา ก็ค่อย ๆ
เพิ่มขึ้นจากวัตถุจากสิ่งของต่าง ๆ นานา พวกรถ ของใช้ในบ้านอะไรแบบนี้
ก็ค่อย ๆ เปลี่ยน ค่อย ๆ ดีขึ้น ที่เรารับรู้ได้ น่าจะประมาณตอนผม ม.ปลาย
เพราะช่วงที่เกิดวิกฤตผมเพิ่งอยู่ตอนประถมเอง
เพลงขวัญรู้สึกยังไงบ้างกับเจษที่ผ่านเรื่องราวแบบนี้มา ?
ถามเพลงขวัญบ้าง เข้ามาในวงการได้ยังไง ?
เพลงขวัญ : เริ่มจากการประกวดนางแบบค่ะ เหมือนเพลงแค่ไปลอง เพราะว่าเพลงอยากทำงานในวงการบันเทิง แต่ว่าตอนนั้นไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เพิ่งมาจากภูเก็ต เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนหนังสือ แล้วพี่ ๆ เขาก็ชวนไป เราก็ชอบแล้วก็ไปประกวด ถือว่าโชคดีที่เราได้เข้ารอบ 50 คน หลังจากนั้นก็เข้ารอบสุดท้ายเลย
คนสบประมาทไว้เยอะมากจริงไหม ?
เข้าวงการมามีกระแสลบพอสมควรรู้สึกยังไงบ้าง ?
เพลงขวัญ : ร้องไห้เลยค่ะตอนนั้น เราก็คิดว่าจะต้องขนาดนี้กันเลยเหรอ ว่าสถาบัน ว่าครอบครัว ว่าถึงแม่ หนูช็อกไปเลยอะ จะลงรูปอะไรทีก็กังวลว่าคนจะด่าไหม แล้วเราจะอยู่ยังไงต่ออะไรแบบนี้ ก็คิดมากเลยค่ะ แต่ก็ผ่านมาได้
พ่อแม่มีความสำคัญกับความสำเร็จของเราขนาดไหน ?
เพลงขวัญ : สำหรับเพลงก็ทำเพื่อครอบครัวเหมือนกันค่ะ ช่วยแบ่งเบาภาระแม่ แต่กลับกันแม่จะแบบว่าเพลงไม่ต้องนึกถึงแม่นะ เขาจะอยากเห็นเรามี เขาอยากเห็นเราได้ เขาอยากเห็นเราประสบความสำเร็จ เราก็ยิ่งต้องทำให้ดี ทำให้เขามีความสุขที่สุด
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-15.00 น. ทางช่อง One31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
หลายคนคงจะคุ้นหน้า คุ้นตากันเป็นอย่างดี สำหรับนักแสดงหนุ่ม เจษ
เจษฎ์พิพัฒ และสาว เพลงขวัญ นัตยา หรือ เพลงขวัญ The Face Thailand 3
คู่พระนางจากละครเรื่อง วิมานจอเงิน ที่ตอนนี้เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น
แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตจริงของทั้งคู่ดราม่ายิ่งกว่าละครอีก
ล่าสุดหนุ่มเจษและสาวเพลงขวัญ ได้มาเปิดใจและพูดคุยผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง One31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ ธัญญ่า ธัญญาเรศ
เป็นพิธีกร
เห็นว่าเป็นทายาทเจ้าของตลาดรังสิต ?
เจษ :
ผมขออธิบายก่อน เราไม่ได้เป็นคุณหนูเลยครับ หมายถึงว่าทั้งการทำตัวเราด้วย
แล้วก็ที่บ้านด้วย จริง ๆ ครอบครัวผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของตลาดรังสิตครับ
เรามีส่วนไปช่วยเหลือธุรกิจที่บ้านบ้างไหม ?
เจษ : ไม่มีเลยครับ เพราะว่าพ่อให้เลือกว่าจะทำอะไรในชีวิต ตอนเรียนจบก็เลยเลือกที่จะทำงานตรงนี้ พอมีโอกาสได้ลองทำก็เลยชอบ แล้วผมก็เป็นเด็กที่ไม่ชอบยอมแพ้อะไร คือทำอะไรต้องทำให้สุด ทำให้ดีที่สุดอะไรประมาณนี้ พอรู้สึกว่าทำไม่ได้ ก็จะต้องทำให้ได้
เคยถูกเปลี่ยนตัวจากละครเรื่องนึงด้วย เกิดอะไรขึ้นตอนนั้น ?
เจษ
: ประมาณปี 2551 ครับ ตอนอยู่ค่าย Exact เราก็คาดหวังว่าเราอยู่ในค่ายละครที่ค่อนข้างใหญ่แล้ว
เราอยากจะมีละครเล่น อยากจะขึ้นไปเป็นพระเอกให้ได้ในสักวันนึงอะไรแบบนี้
ได้มีโอกาสแคสต์ละครเรื่องนึง แต่ก็มีปัญหาอยู่
คือเราอาจจะเล่นไม่ถึงแล้วก็ฝีมือการแสดงเราน้อย
เพราะเราไม่เคยเล่นละครมาก่อนเลย ก็ได้มีการ workshop กัน
แล้วก็มันมีช่วงหนึ่งที่ผมต้องไปอเมริกา ไปหาพี่ผม ซึ่งผมจะไปทุกปี
พอกลับมาก็ถูกถอดจากละครเรื่องนี้เลย เขาให้เหตุผลว่าเราเล่นไม่ได้
เจอเหตุการณ์แบบนี้ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ?
เจษ : ตอนนั้นเป็น attitude ที่ผมรู้สึกแย่มากครับ ผมจะโทษคนอื่นหมดเลย ผมโทษที่ค่าย คุณครูที่สอน acting ตอนหลังก็คิดได้ คือเขาหวังดีกับเราทุกคน เขาจะมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอน acting เราทำไม เขาก็ไม่ได้เงิน เราก็ไปเรียนฟรี เราจะเป็นฝ่ายได้ชื่อเสียงได้เงินจากเขาซะมากกว่า การนั่งโทษคนอื่นมันไม่ทำให้ตัวเราลุกขึ้นกลับมา ก็เลยสู้อีกครั้งนึง
เป็นคนมุ่งมั่นตั้งแต่เด็กเลยไหม ?
เจษ
: ใช่ครับ ถามว่ามุ่งมั่นไหมผมไม่แน่ใจนะ แต่เรื่องยอมแพ้ผมไม่ยอมแน่ ๆ
ผมจะไม่ยอมอะไรเลยไม่ว่าผมจะทำอะไร ต้องการอะไร ผมต้องทำให้ได้
ต้องไปให้สุด
ให้เพลงขวัญเมาท์พระเอกคนนี้หน่อยเป็นยังไง ?
เพลงขวัญ : ไม่หรอกค่ะ เขาก็เป็นปกตินี่แหละ ไม่ได้เป็นคุณหนูอะไร จะชอบนั่งคนเดียว พี่เขาจะมีโลกส่วนตัวนิดนึง พอแบบพักกองเขาก็จะใส่หูฟังนั่งดูซีรีส์ เก้าอี้ก็จะต้องเอามาเอง เป็นเก้าอี้สนามเดินป่า ชอบแย่งพัดลมคนอื่น
ทางบ้านว่ายังไงบ้างที่เข้ามาในวงการบันเทิง ?
เจษ
: ก็คุณพ่อคุณแม่บอกตั้งแต่เด็กแล้วครับว่าอยากทำอะไรให้ทำเลย
แต่ว่าต้องทำให้สุดเหมือนกันครับ มันเลยทำให้ผมต้องทำให้สุดเหมือนกัน
เห็นว่าครอบครัวเคยเจอเหตุการณ์วิกฤต เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม ?
เจษ : วิกฤตปี 2540 ครับ เมื่อก่อนพ่อผมก็จบเมืองนอกมาเหมือนกัน แล้วพ่อผมก็กลับมาทำธุรกิจส่วนตัว เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทำพวกหมู่บ้านจัดสรร เพราะพ่อผมเป็นวิศวกร ตอนนั้นมีเงินเยอะมาก ๆ เลยครับ แล้ววันหนึ่งคุณพ่อไปกู้เงินเพื่อทำโครงการนึง แล้วโครงการยังไม่เสร็จ แล้วมันล่ม เราก็เลยไม่มีเงินที่จะทำ process โครงการให้มันแล้วเสร็จไปต่อได้ ก็เลยติดหนี้แล้วก็ล้มละลาย ซึ่งปีนั้นก็ล้มกันเป็นโดมิโน่เลย
แล้วชีวิตเราเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ?
เจษ : ผมนับถือพ่อผมมากเลย ชีวิตผมไม่เปลี่ยนเลยครับ คือที่บ้านเมื่อก่อนรวยมาก ที่บ้านจะมีรถ volvo หลายคันเลย แต่ตอนนี้ไม่ได้รวยขนาดนั้นครับ ตอนนั้นเราไม่รู้พ่อแม่ปิดไว้ เด็ก ๆ ก็ไม่รู้สึก เราก็แค่แบบเออรถมันหายไปแค่นั้น ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับที่บ้าน แต่ที่รู้สึกได้คืออารมณ์ของพ่อแม่เหมือนจะหงุดหงิดง่ายขึ้นอะไรแบบนี้
แล้วเรามารู้ความจริงว่าพ่อแม่ผ่านวิกฤตตอนนั้นมาตอนไหน ?
เจษ : ตอนนี้พ่อก็ยังไม่บอกผมนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้ความจริงคือผมไปถามเขา เพราะว่าผมเรียน Finance ต้องเรียนเกี่ยวกับวิกฤตปี 2540 และเขาก็บอกว่าเขาเจออะไรมา ก็เล่าอย่างละเอียดเลยครับว่าเจอมายังไง แต่ว่าพ่อจะไม่ได้เล่ามุมดราม่านะ แม่จะเป็นคนเล่าให้ฟังตอนหลังมากกว่า
กว่าครอบครัวจะสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ใช้เวลานานไหม ?
เพลงขวัญรู้สึกยังไงบ้างกับเจษที่ผ่านเรื่องราวแบบนี้มา ?
เพลงขวัญ : ก็รู้สึกว่าเขาเก่งค่ะ เหมือนกับว่าเขามองโลกในแง่ดี เป็นผู้ชายคิดบวก
ถามเพลงขวัญบ้าง เข้ามาในวงการได้ยังไง ?
เพลงขวัญ : เริ่มจากการประกวดนางแบบค่ะ เหมือนเพลงแค่ไปลอง เพราะว่าเพลงอยากทำงานในวงการบันเทิง แต่ว่าตอนนั้นไม่มีประสบการณ์อะไรเลย เพิ่งมาจากภูเก็ต เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนหนังสือ แล้วพี่ ๆ เขาก็ชวนไป เราก็ชอบแล้วก็ไปประกวด ถือว่าโชคดีที่เราได้เข้ารอบ 50 คน หลังจากนั้นก็เข้ารอบสุดท้ายเลย
คนสบประมาทไว้เยอะมากจริงไหม ?
เพลงขวัญ
: ก็ใช่ค่ะ ก็ตอนนั้นคือหนูไม่มีประสบการณ์เลย ไม่เก่ง ไม่รู้อะไรเลย
เดินแบบยังไง เล่นละครยังไง วิธีการเข้าสังคมยังไม่รู้เลย
เพราะว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเลย แล้วก็ไม่มีใครสอนด้วย
แถมเป็นคนขี้อายอีก เวลาไปกองเขานัด 8 โมง หนูก็ไปถึงตั้งแต่ 7 โมงแล้ว
แต่ก็ไม่กล้าลงจากรถ หนูจะเป็นคนไม่มั่นใจเลย
เข้าวงการมามีกระแสลบพอสมควรรู้สึกยังไงบ้าง ?
เพลงขวัญ : ร้องไห้เลยค่ะตอนนั้น เราก็คิดว่าจะต้องขนาดนี้กันเลยเหรอ ว่าสถาบัน ว่าครอบครัว ว่าถึงแม่ หนูช็อกไปเลยอะ จะลงรูปอะไรทีก็กังวลว่าคนจะด่าไหม แล้วเราจะอยู่ยังไงต่ออะไรแบบนี้ ก็คิดมากเลยค่ะ แต่ก็ผ่านมาได้
พ่อแม่มีความสำคัญกับความสำเร็จของเราขนาดไหน ?
เจษ
: สำคัญที่สุดเลยครับ ทุกวันนี้ก็ทำเพื่อครอบครัวอยู่
ปัจจุบันนี้ผมจะคิดถึงตัวเองน้อยมาก
ผมรู้สึกว่าผมคิดถึงแค่ตัวเองมันไปได้นิดเดียว ผมจะทำไปทำไม
ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร แต่ว่าถ้าเพื่อเขา
ให้เขารู้สึกภูมิใจที่เห็นเราประสบความสำเร็จ อันนั้นตัวเราจะหนัก
แต่เราจะผลักตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม
เพลงขวัญ : สำหรับเพลงก็ทำเพื่อครอบครัวเหมือนกันค่ะ ช่วยแบ่งเบาภาระแม่ แต่กลับกันแม่จะแบบว่าเพลงไม่ต้องนึกถึงแม่นะ เขาจะอยากเห็นเรามี เขาอยากเห็นเราได้ เขาอยากเห็นเราประสบความสำเร็จ เราก็ยิ่งต้องทำให้ดี ทำให้เขามีความสุขที่สุด
ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-15.00 น. ทางช่อง One31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama