ยังอยู่ในความสนใจต่อเนื่อง สำหรับกรณีของ ต่าย มนัสนันท์ อดีตดาราสาวที่กลายเป็นคนเร่ร่อน ซึ่งตอนนี้หลายฝ่ายก็เริ่มยื่นมือเข้าช่วยเหลือ รวมถึงนักแสดงสาว แตงโม นิดา ที่ออกตัวช่วยเป็นคนแรก ๆ โดยภายหลังจากเป็นข่าวก็ได้มีการส่งตัว ต่าย มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ล่าสุด (7 มีนาคม 2562) สาวแตงโม ก็ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อขอเข้าเยี่ยม ต่าย ทันที
ทั้งนี้ แตงโม ได้เปิดใจว่า ตอนที่ไปหาเราไม่ได้อยู่พูดคุยกัน ไม่ได้อยู่กันส่วนตัว เพราะมีตนและทีมแพทย์อยู่ด้วย เท่าที่เจอเขาค่อนข้างจะรู้สึกใจชื้นที่ได้เจอคนที่ตัวเองรู้จัก เหมือนอย่างที่หลาย ๆ คนได้เห็นว่าเขายังมีความหวาดกลัวอยู่บ้างกับคนภายนอก แต่พอเขาได้เจอเพื่อนก็สบายใจขึ้น เขาไม่หวาดระแวงแล้ว ตอนที่เจอหน้ากัน เขาเห็นตนตอนนั้นตนก็คิดว่าคงอยากจะกอด แต่เขาคงไม่กล้า เขาบอกว่าเกรงใจ ตนเลยจับมือเขาและถามว่าเป็นยังไงบ้าง ตนจำไม่ได้ว่าเขาตอบว่าอะไร แต่ว่าเขาก็น้ำตาคลอ ตนเลยบอกว่ามากอดกันสิ
ในส่วนการรักษาตนอธิบายอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องอยู่ในความดูแลของคุณหมอ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ต้องรอทางคุณหมอประเมิน เพราะตนก็ไม่ทราบเรื่องตอนที่เขาหายไป สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยากจะบอกหลาย ๆ คนว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีหลายหน่วยงานที่พร้อมจะช่วยเหลือในส่วนนี้ รวมถึงท่าน ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ก็เต็มที่กับตรงนี้ ส่วนหนึ่งตนไม่อยากให้หลายคนรู้สึกว่าเพราะเป็นต่ายแล้วจะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น ซึ่งไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่อาจจะเป็นเพราะเรื่องของกระแสสังคมมากกว่า มันเลยได้รับการดูแล จึงไม่อยากให้คนมองว่าพอเขาเป็นดาราก็ได้รับการดูแลและได้รับเงินเยอะกว่าคนอื่น
ส่วนที่มีหลายคนถามเรื่องของการเปิดบัญชีช่วยเหลือนั้น ตนต้องอธิบายนิดหนึ่งว่าการเปิดบัญชีไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ในเรื่องของการเงินตอนนี้ต่ายอยู่ในที่ที่ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องระดมทุน เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะมีปัญหาตามมาอีกเยอะว่าใครจะเป็นคนดูแลเงิน การเบิกจ่ายเป็นยังไง เท่าที่คุยกับคุณหมอมาแล้วในส่วนนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเขาไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น ตอนนี้จำเป็นแค่เขาจะต้องรักษาจิตใจให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงญาติและคนรอบข้างก็ต้องให้ความร่วมมือกับคุณหมอ อาจจะต้องใช้เวลา ก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ อย่าง
สาวแตงโม ยังเผยถึงช่วงที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ว่า จริง ๆ แล้วตนกับเขาไม่ได้สนิทกันถึงขั้นว่ามานั่งคุยเรื่องส่วนตัวกัน แต่อาจจะด้วยความที่อยู่ในสถานะที่ใกล้กัน คือเป็นเด็กแคสต์งานเหมือนกัน แต่อยู่คนละโมเดลลิ่ง แล้วเด็กผู้หญิงที่ลักษณะคล้ายกันก็จะถูกคัดเลือกให้ไปเทสต์งานที่ได้เจอกันบ่อย ๆ ตอนนั้นเลยรู้จักกันและไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่สนิทกันอยู่ได้แป๊บเดียวเขาก็หายไป ตอนนั้นก็เห็นแล้วว่าเขาไปเล่นหนัง ตอนนั้นยังคิดว่าเขาก็มีทางของเขาในทางที่ดี
ถามว่าตกใจไหมหลังจากเห็นข่าว คือตอนนั้นก็ตกใจ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็ไม่ค่อยโอเคกับการที่ภาพของเขาโดนเผยแพร่ออกมาเยอะ จากการที่เขาจะหาย พอกลับไปดูภาพเหล่านี้ก็อาจจะทำให้เขาไม่หายก็ได้ จริง ๆ อยากจะให้ตรงนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนไข้มากกว่า ไม่อยากให้ไปรุกล้ำมากมาย ซึ่งจากที่เคยได้ยินมาคนที่เป็นแบบนี้เขาคิดว่าทุกคนทำร้ายเขา เราก็อย่าไปทำร้ายเขาเพิ่มเลยจะดีกว่า แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปมันห้ามกันไม่ได้แล้ว หลังจากนี้ก็อยากจะขอความร่วมมือว่าให้ใช้ภาพตอนที่เขาสวยอยู่ดีกว่า เวลาที่เขากลับมาดูจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกหรือน่ารังเกียจ และขออย่าไปซ้ำเติมเขาเพิ่ม อยากให้เข้าใจถึงต้นเหตุที่เขาเป็น อยากให้ช่วยเขาเท่าที่จะช่วยได้
และเมื่อถูกถามว่าห่วงอะไรในตัวเพื่อนมากที่สุด สาวแตงโมก็เผยว่า ห่วงเรื่องความปลอดภัยซึ่งค่อนข้างจะควบคุมยาก เพราะอยู่กับเขาตลอด บวกกับไม่รู้ว่าเขาจะไปไหน ไปทำอะไร ทีนี้คงต้องฝากคนอื่นที่อาจจะไปพบเจอว่าให้ช่วยกันดู ซึ่งเมื่อคุยกับญาติ ๆ เขาแล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าต้องรักษาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ส่วนจะเป็นระยะเวลาเท่าไรตอบยาก เพราะขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละคน แต่ตนมีความหวังว่าเพื่อนจะกลับมาปกติเหมือนเดิม ซึ่งความหวังตรงนี้มันจะเป็นพลังบวกที่ส่งไปถึงเขาได้ หลาย ๆ อย่างก็อยู่ที่ความหวังของเราด้วย เรื่องเงินตอนนี้ยังไม่ต้องห่วง เพราะคุณหมอและญาติประสานงานกันแล้วว่ามีค่าใช้จ่ายเพียงพอสำหรับการรักษาในระยะเบื้องต้น นอกจากว่าในอนาคตข้างหน้าอยากจะทำอะไรพิเศษเพื่อเขา ซึ่งตอนนี้ยังไม่จำเป็น ส่วนเรื่องลูก ๆ เขาก็ขอให้เป็นเรื่องส่วนตัวดีกว่า เพราะบางเรื่องถ้าพูดไปถ้าวันหนึ่งเขาย้อนมาดู มันก็อาจจะไม่ดีกับสภาพจิตใจของเขา
ส่วนตัวก็คิดว่าสังคมน่าจะได้รับอะไรจากเรื่องนี้เช่นกัน มันไม่จำเป็นจะต้องให้คนบางคนเผชิญชะตาชีวิตมาเรื่อย ๆ จนผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ ถ้าเรารู้ว่าลูกหลานหรือคนใกล้ตัวเราเป็นยังไงก็สามารถช่วยกันแก้ไขได้เดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เป็นแบบนี้ ต้องยอมรับว่าบางคนมองเขาเป็นคนไม่มีค่าไปแล้ว ซึ่งมันไม่ควรมีใครถูกมองเป็นแบบนี้เพราะดูโหดร้ายไปหน่อย มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะคุมกำเนิด แต่หากเรารู้ว่าไม่สามารถจะเลี้ยงลูกให้กลืนไปกับสังคมได้ก็ควรคิดก่อนที่จะมี
สาวแตงโม ยังได้ปิดท้ายถึงเรื่องที่ว่าไม่อยากให้เพื่อนกลับเข้ามาในวงการบันเทิงว่า วงการบันเทิงถามว่าเข้าได้ไหม เข้าได้ แต่ถ้าอินมากไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าพอก้าวเข้ามาในที่สว่างมันมีสองด้านเสมอ ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาอาจจะไม่ต้องเจอกระแสสังคมด้านลบเลยก็ได้ แต่ถ้าใจเขาอยากที่จะเล่นหนัง ตนก็จะพยายามช่วย จริง ๆ ตนก็ไม่ได้มีพาวเวอร์อะไร แต่ก็อยากพยายามเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเป้าหมายของเขามันอาจจะสำเร็จไปสักอย่างหนึ่ง เขาอาจจะเป็นสุข เพียงแต่ว่าอาจจะต้องคอยควบคุมไม่ให้ใจเขาอินกับในวงการ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเสียใจอีก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ห้องข่าวบันเทิง