หลังจากมีข่าวลือออกมาถี่ว่าคู่ของ ตุ้ย ธีรภัทร์ และ แอนนา นาตาชา ขาเตียงหัก ซึ่งสุดท้ายแล้วก็มีการคอนเฟิร์มว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งคู่ได้เซ็นใบหย่ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังแต่งงานกันมานาน 11 ปี และมีลูกด้วยกัน 1 คน
อ่านข่าว : คอนเฟิร์มรักร้าว ตุ้ย ธีรภัทร์ - นาตาชา เซ็นใบหย่าแล้ว หลังถูกลือขาเตียงหักถี่
ล่าสุด (1 กันยายน 2562) ตุ้ย ธีรภัทร์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "เรื่องหย่าเป็นความจริงครับ 4-5 เดือนโดยประมาณ แยกกันอยู่ก่อนหน้านั้นสักพักใหญ่แล้วครับ มีทั้งราบรื่นบ้าง มีปัญหาบ้าง ก็เป็นช่วงที่พยายามที่จะปรับตัวเข้าหากัน และพยายามที่จะทำให้มันดีขึ้น แต่มันก็มาถึงจุดที่เราทั้งสองคนเห็นตรงกันและตัดสินใจด้วยเหตุและผลว่าเราจะเปลี่ยนสถานะ"
สาเหตุที่รักถึงทางตัน ?
ตุ้ย : ทัศนคติแล้วก็มุมมองในการใช้ชีวิตที่อาจจะไม่สอดคล้องกัน
เรื่องอายุห่าง 5 ปี มีผลไหม ?
ตุ้ย : ผมไม่เชื่อว่าในมุมของอายุมีผล เป็นที่ในความคิดและมุมมองของการใช้ชีวิตมากกว่า
เรื่องลูกจะอยู่กับใคร ?
ตุ้ย : หลัก ๆ ก็จะอยู่กับแอนนา แต่ก็อยู่ไม่ไกลกันครับ
เรื่องมือที่สาม ?
ตุ้ย : ไม่มีแน่ ๆ ครับ ไม่มีมือที่สาม
ที่ผ่านมามีสาว ๆ เข้ามาทำให้หวั่นไหวหรือเปล่า ?
ตุ้ย : ไม่มีครับ ที่ผ่านมาผมคิดว่าประเด็นนี้ไม่ได้มีผลกับการตัดสินใจ
ทัศนคติที่ว่าไม่ตรงกันเรารู้ตัวเมื่อไร ?
ตุ้ย : มันก็คงจะเป็นระยะ ๆ ผมก็คิดว่าคงจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน บางทีพอเรามีความคิดเห็น มุมมองในเรื่องต่าง ๆ ก็ใช้เวลาในการปรับตัวที่จะดำเนินต่อให้สมูทที่สุด แต่ก็มาถึงวันที่เราตัดสินใจตรงกัน วันที่ตกลงหย่ากันมันก็มีความเสียใจ ผิดหวัง เพราะจุดเริ่มต้นสร้างครอบครัวมาจากความตั้งใจ มาจากความรู้สึกที่ดี มันถึงช่วงหนึ่งของชีวิตของเส้นทางที่ดำเนินมาแล้วมันไม่สามารถไปต่อได้ มันก็ต้องยอมรับความจริง แล้วก็คุยกันเพื่อเปลี่ยนบทบาทเป็นพ่อและแม่ของลูก
ใครเป็นคนเริ่มต้นตัดสินใจเลิก ?
ตุ้ย : มันไม่มีใครเริ่มต้น มันไม่มีจุดเริ่มต้น มันไม่ใช่ฉากนั้น มันผ่านการพูดคุยกัน ยอมรับในธรรมชาติของกันและกัน
น้องไตตั้นเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร มีการอธิบายให้ลูกฟังไหม ?
ตุ้ย : ถ้าถามตอนนี้ผมไม่ทราบหรอกว่าเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ในมุมเราก็เห็นเขายัง..เรียกว่ายังไงดีล่ะ เขาก็ต้องเข้าใจในวันหนึ่ง ผมไม่ต้องเตรียมคำตอบอะไรเรื่องที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะผมเชื่อว่าลูกมีสัญชาตญาณในการปรับตัวและเข้าใจด้วยเซ้นส์
เราต้องประคับประคองลูกยังไงต่อไป ?
ตุ้ย : ผมเชื่อว่าความรักของพ่อและแม่ยังเหมือนเดิม ความรักเหล่านี้เขาสามารถรับรู้ได้ในความเป็นลูก ผมแค่เชื่อว่าด้วยความรักของเราทั้งสองคนที่พร้อมจะดูแลเขาต่อ เขาก็น่าจะมีพลังในการเติบโตไปสู่โลกที่มีการหมุนเร็วมาก และยังแข็งแรง
ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ได้คุยกับแอนนาไหม ?
ตุ้ย : ทราบครับ คุยกันว่าในแนวทางนี้ถึงจุดที่ต้องมาชี้แจงสถานการณ์ ก็เห็นตรงกัน
เสียดายเวลาไหม แต่งงาน 11 ปี ?
ตุ้ย : มันเสียดายอยู่แล้วครับ แต่เราก็ต้องเดินต่อ
ชีวิตจากนี้ไปวางแผนยังไง ?
ตุ้ย : เอาตรง ๆ ยังไม่ได้วางแผนอะไรเลย เราอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดครับ แล้วก็หายใจลึก ๆ แล้วเดินต่อไป ในส่วนงานในวงการบันเทิงก็ยังมีครับ
นอกจากมีข่าวลือเรื่องมือที่สาม ยังมีข่าวลือว่าเลิกกันเพราะเรื่องธุรกิจด้วย ว่าล้มละลาย ?
ตุ้ย : เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องละเอียด ซับซ้อน ถ้าถามว่าเกี่ยวมั้ย ไม่เกี่ยวครับ เป็นเรื่องของทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกันมากกว่า
วันนี้ยังรักแอนนาอยู่ไหม ?
ตุ้ย : รักในฐานะของความเป็นเพื่อนที่ดี ทีมเวิร์กที่ดี และแชร์ความรักไปให้ลูก สภาพจิตใจของแอนนาก็แน่นอนว่าต่างคนต่างต้องผ่านระยะเวลาที่เสียใจ เป็นระยะเวลาที่เราต้องปรับตัว และเดินต่อกับทิศทางที่เราคิดว่าเหมาะสมที่สุด
สินสมรสมีการแบ่งกันยังไง ?
ตุ้ย : ขออนุญาตไม่ชี้แจงดีกว่า
คุณพ่อบอกว่าไม่ทราบว่าหย่ากัน ?
ตุ้ย : คือพ่อผมก็อยู่อีกที่หนึ่ง นาน ๆ นัดกินข้าวกันทีหนึ่ง ท่านก็อายุมากแล้ว ก็เลยไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจไปรบกวนจิตใจ แต่ก็คุยกันเรียบร้อยแล้ว พ่อก็บอกว่า อ้าวเหรอ แต่เขาก็ให้กำลังใจตลอด ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตไหน ๆ ก็ตาม ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีอะไรดีเสมอหรือร้ายเสมอ ทุกอย่างปน ๆ กันไป แล้วก็แค่มีสติที่ดีแล้วก็ดำเนินชีวิตไปให้สมดุลที่สุด หายใจลึก ๆ
ได้พูดแล้วโล่งไหม ?
ตุ้ย : มันก็คงจะเป็นจุดหนึ่งที่เรามองเห็นแล้วล่ะว่าควรจะชี้แจง พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ไม่ทราบ ที่คนโทร. มา ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกอง เมื่อวานก็เพิ่งปิดกล้องไป เราก็มีสติกับทุกการตัดสินใจ
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้อ่านไหม ?
ตุ้ย : ยังไม่ได้อ่านครับ จริง ๆ เพิ่งปิดกล้องเมื่อวานนี้
คนมองว่าเป็นเพราะมือที่สาม ?
ตุ้ย : ไม่มีแน่ ๆ ครับ
อนาคตถ้ามีคนใหม่เข้ามา ต้องระวังไหมว่าเขาอาจถูกโยง ?
ตุ้ย : คือผมมองว่าอยู่ที่เรา มุมมอง แน่นอนว่าในแรงกดดันหรืออะไรต่าง ๆ มันมีเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ต้องเรียนว่าในการทำงานมาก็เกือบ 20 ปี ก็มีทั้งเรื่องราวที่สุ่มเสี่ยงบ้าง เรื่องราวที่น่ายินดีบ้าง ไม่น่ายินดีบ้าง ปะปนกันไป แต่ถามว่ามันกระทบกับการตัดสินใจของเรามากน้อยแค่ไหน ในที่สุดแล้วมันก็อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ใจเรา
สามารถเจอกับแอนนาเหมือนเดิมไหม ?
ตุ้ย : พูดคุยอยู่แล้ว และก็จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมาก มันก็มีความห่วงใยให้กันและกันตลอดเวลา เพราะยังไงก็ตามแล้วเราก็ยังอยากสื่อสารความรู้สึกกับลูกของเรา ก็เปลี่ยนชุดความคิดให้มันดำเนินไปอย่างดีที่สุด เรื่องลูกไม่ต้องวางแผน มันคงดำเนินไปตามสถานการณ์ในปัจจุบัน ในฐานะพ่อแม่ไม่เปลี่ยน และจะไม่มีวันเปลี่ยนครับ
มุมมองเรื่องชีวิตคู่เปลี่ยนไปไหม ?
ตุ้ย : กับตัวเองก็คงจะต้องกลับมาทำความเข้าใจกับตัวเอง วิกฤตครั้งนี้ก็มีจุดที่เราต้องมองตัวเองว่าในการเดินต่อไปเราบกพร่องตรงไหน แล้วก็แก้ไขข้อบกพร่องตรงนั้นยังไง แล้วจะทำให้เรามีกำลังใจเดินต่อ มีกำลังใจทำงาน กลับมาฟิตตัวเอง
ที่ผ่านมาทำงานหนัก มันมีส่วนกระทบกับครอบครัวไหม ?
ตุ้ย : ในเวลามันต้องมีส่วนกระทบอยู่แล้ว อาจจะโดยธรรมชาติของเราเป็นนักกีฬา เวลาลงสนามเราก็จะเต็มที่ ถามว่ามันมีส่วนมั้ย ก็คงมีแหละ ถามว่าจะเปลี่ยนธรรมชาติของการทำงานเราได้มั้ยเนี่ย มันก็ต้องไปคิด มันก็ยากเหมือนกัน
ยอมรับว่าการทำงานหนัก มีส่วนที่ทำให้เราให้เวลากับครอบครัวน้อย ?
ตุ้ย : ก็เคยมีการคุยกันเรื่องนี้ พยายามปรับจูนมาตลอด เรื่องเวลาก็จะเป็นหนึ่งปัจจัยเหมือนกันที่มันอาจจะไม่สมูทนัก ไม่ราบรื่นนัก เรื่องอาชีพเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าอาจจะเป็น..ธรรมชาติสไตล์การทำงานของเราเป็นแบบนั้น
การหย่ากันเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว ?
ตุ้ย : ไม่ได้มองครับ แต่ว่าเป็นเรื่องของการพูดคุยกัน และคุยกันด้วยเหตุและผลและสติครับ เอาอารมณ์วางไว้ข้าง ๆ เป็นทางเลือกที่เห็นร่วมกันแล้วว่าเหมาะที่สุด คิดว่ามันไม่ใช่ว่ามันไม่มีความสุขแล้วเดินต่อไม่ได้ คิดว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนมันจะสร้างปัญหาเพิ่มมากกว่า ตอนนี้อยู่คนละบ้าน แต่อยู่ไม่ไกลกัน ก็ยังมีโอกาสได้เจอกันเรื่อย ๆ
ตกลงว่าจะทำหน้าที่พ่อและแม่ให้เต็มที่เพื่อลูก ?
ตุ้ย : ใช่ครับ ใช่
11 ปี ไม่มากพอที่จะยื้อคนสองคนได้ ?
ตุ้ย : ผมไม่ได้มองในเชิงของตัวเลข เวลา หรืออะไรก็ตาม เพราะผมคิดว่ามันไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เรามาพิจารณา ผมมองในมุมของอย่างที่บอก ทัศนคติ มุมมองการใช้ชีวิตต่าง ๆ มันไม่สอดคล้องกันครับ