เดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ บิ๊นท์ สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ นางสาวไทยปี 2562 หลังคว้ามงกุฎมิสอินเตอร์เนชั่นแนล 2019 จากประเทศญี่ปุ่น มาครองเป็นคนแรกของประเทศในรอบ 59 ปี และเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงเย็นของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ก็มีครอบครัว สื่อมวลชน และแฟนนางงาม ไปรอต้อนรับเป็นจำนวนมาก
โดย บิ๊นท์ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกหลังรับมงกุฎว่า รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก ๆ ที่เดินทางมาถึงแล้วมีคนมารอรับเป็นจำนวนมาก น้ำตาจะไหลตลอดและขนลุกเลย ไม่คิดว่าชีวิตจากเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมารอ แต่พอวันนี้มีคนมาต้อนรับก็รู้สึกน้ำตาจะไหลตั้งแต่ก้าวแรกเลย ดีใจและมีพลังมาก และภูมิใจว่าเราทำให้ประเทศไทยได้แล้ว เพราะแฟน ๆ ก็รอมงกุฎจากเวทีนี้มานานเหมือนกัน
ถามว่าเราคาดหวังกับมงกุฎนี้ไหม ส่วนตัวแล้วไม่ได้หวังมากว่าจะต้องได้ เพราะว่ากองประกวดเขาเก็บทุกอย่างเงียบมาก ไม่บอกไม่หลุดอะไรเลย ไปรู้พร้อมกันวันสุดท้ายจริง ๆ หน้าเราเลยเป็นแบบนั้นในวันสุดท้าย ส่วนตัวก็มองว่าตัวเองน่าจะเป็นม้ามืด เพราะตอนที่เก็บตัวมีตัวเก็งเยอะมาก แล้วปีนี้ผู้เข้าแข่งขันสวยและมีความสามารถมาก ๆ เป็นอันหนึ่งที่ทำให้เราไม่คิดว่าจะเป็นเรา จริง ๆ เราเลยเหวอตอนที่ได้ ตอนแรกก็เตรียมจับมือกับเวียดนามแล้ว เพราะคิดว่าอีกคนจะได้เพราะเขาตอบคำถามดี แต่พอประกาศว่าเป็นชื่อเราก็เลยตกใจ ตอนนั้นคือสมองไม่สั่งการแล้ว จนเพื่อนเข้ามากอดก็เลยเป็นโมเมนต์ที่แบบดีใจมาก
ส่วนเรื่องสปีชบนเวทีนั้น ก็ได้บอกไปว่าถ้าเกิดผู้หญิงธรรมดาอย่างเราทำได้ พวกคุณก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยความที่ธีมเป็นการเชียร์อัปให้กับผู้หญิงในทางไหนก็ได้ จึงเลือกเชียร์จากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าความเป็นคนธรรมดาทุกคนต้องเคยเป็นมาก่อน ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นดาราเลย หรือไม่มีใครเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จเลย เลยคิดว่าเป็นคำตอบที่น่าจะให้แรงบันดาลใจกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ได้ ตอนนั้นเราก็แค่อยากสื่อสารออกไปว่า เราอยากให้ผู้หญิงทุกคนกล้าในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และลงมือทำเลยถ้ามันเป็นความฝันเรา
เรื่องนี้ถือเป็นการลบคำสบประมาทไหม มองว่าไม่เชิงคำสบประมาท เพราะก็เข้าใจว่าทุกคนอยากได้ตัวแทนประเทศที่ดีที่สุด คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาด่าเพราะเราไม่สวย มันคงไม่ใช่เหตุผล มองว่าเขาอยากได้ตัวแทนที่ดี แต่ตอนนั้นก็ยอมรับว่าเรายังขาดในหลายจุดในเวทีนั้น เพราะเราเพิ่งจะเริ่ม ถามว่าเราท้อไหม ก็ไม่เลย คือเราเป็นคนที่ถ้ามีอะไรที่เข้ามาแล้วทำให้เราเครียด เราจะทิ้งเร็วมาก เพราะเรารู้สึกว่ามันจะทำให้เราไม่พัฒนา และมันจะทำให้เราทำเป้าหมายที่หวังไว้ไม่สำเร็จ ก็เลยเลือกทิ้งไปก่อน แต่เราก็เก็บคำติมาปรับปรุง ซึ่งวันนี้มันก็เป็นบทพิสูจน์ที่ทำให้ทุกคนเห็นได้แล้ว
ไม่ใช่ความรู้สึกสะใจ แต่เป็นความรู้สึกว่าอยากให้คนภูมิใจในตัวฉัน ยอมรับว่าเสียใจแค่วันแรก มีน้ำตาไหล แต่วันที่สองก็คิดว่าเขาคงติเพื่อก่อ ตอนนั้นก็มีคุยกับทีมว่าเราต้องปรับตรงไหนบ้าง ก็พัฒนากันไป สุดท้ายเราก็ทำให้แฟน ๆ กลับมารักได้ เพราะเราพัฒนาตัวเอง ก็ภูมิใจกับมันมาก คำวิจารณ์ที่ผ่านมาที่ทำให้เรารู้สึกแย่นั้น เราจำไม่ได้แล้ว รู้สึกว่ามันเป็นคำวิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่ด้วยความที่เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้มายด์เรื่องรูปลักษณ์ขนาดนั้น ไม่ได้แคร์ว่าเราต้องสวยที่สุดในการแข่งขัน เรามองว่ามันเป็นความท้าทายที่ว่าฉันจะทำดีให้ดูเองว่าฉันทำได้
ส่วนเรื่องดูสวยขึ้น สาวบิ๊นท์ ก็ได้ยืนยันว่าไม่ได้ไปทำศัลยกรรมมา แต่ยอมรับว่ามีการปรับรูปหน้าบางจุด อย่างการฉีดฟิลเลอร์ต่าง ๆ จุดนี้ก็ต้องขอบคุณคุณหมอที่ช่วยดูแล ตอนแรก ๆ ก็กลัว แต่ด้วยความที่หัวใจคิดอย่างเดียวเลยว่าเราจะเป็นตัวแทนประเทศ จะไม่ทำเหรอ ซึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งในงานเรา เลยยอมเจ็บตัว ปกติแล้วจะกลัวมาก และค่อนข้างพอใจในหน้าเดิมของตัวเองอยู่แล้ว พอมันถึงจุดประสบความสำเร็จ ก็ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตแล้ว เคยคิดตั้งแต่เด็ก ๆ เวลามองนักกีฬาโอลิมปิกหรือนักกีฬาระดับชาติ เขาได้เหรีญทอง รู้สึกว่าเขาเท่จังเลย เขาเป็นตัวแทนประเทศ เขาขลังมาก แล้วเราอยากทำอะไรให้ประเทศอย่างนั้นได้บ้าง แต่ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าเราจะทำได้ จนกระทั่งได้ลองเดินตามความฝันที่เราอยากทำจริง ๆ และมันทำได้ ก็เลยมีความสุขและอิ่มใจมาก ยิ่งวันนี้เห็นทุกคนมาต้อนรับเยอะมากก็ยิ่งดีใจมาก ๆ
ถามว่าหลังจากได้รับมงกุฎชีวิตเปลี่ยนไหม บิ๊นท์ ตอบว่า คือทุกคนก็บอกว่าชีวิตเราจะเปลี่ยนไปแล้วนะ แต่เราก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป ยังรู้สึกว่าเป็นตัวเราเยอะอยู่ดี แต่ถ้าว่าถามหลังจากนี้ อาจจะเปลี่ยนคำตอบ แต่ตอนนี้ยังเป็นคนเดิม ยังเหมือนเดิม ส่วนเรื่องภารกิจหลังจากนี้ หลัก ๆ ก็จะมีงานด้านการกุศล แล้วก็มีออกรายการต่าง ๆ ก็ติดตามรอชมสัมภาษณ์ได้ช่วงเวลานั้น อาจจะเหนื่อยและเปลี่ยนคำตอบได้
สาวบิ๊นท์ ยังได้เผยถึงเรื่องที่นำมงกุฎกลับมาที่ไทยด้วยว่า ต้องขอบคุณทีมไทยมาก ๆ ที่ทำให้เรานำมงกุฎนี้มาได้ คือเราพาคนดูแลของเขามากับเราเลย เพราะถ้าเกิดว่าไม่มีคนดูแลจากฝั่งเขามา เขาจะไม่อนุญาตให้เอาออกมา เขาเคยเล่าว่าหลายครั้งเขาต้องนอนกอดมงกุฎหลับบนเครื่องเลย เขาบอกว่าเขาแทบจะล่ามมงกุฎไว้กับตัวเอง เพราะราคา 17 ล้าน มันสูงมาก ซึ่งทางมิกิโมโตะเขาก็กังวล แต่ตอนนี้ก็ทำประกันเรียบร้อยแล้ว มงกุฎนี้จะอยู่กับเรา 5 วัน จนถึงวันอาทิตย์ ก็อาจจะได้เห็นในหลาย ๆ รายการ และวันที่ 24 พฤศจิกายน นี้ จะมีไปพบกับแฟน ๆ แถวช่วงสวนลุมฯ ถึงงานกาชาด ก็ไปเจอกันได้
ส่วนเรื่องงานในวงการบันเทิงนั้น สาวบิ๊นท์ เผยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาก็อยากตักตวงสิ่งที่เราเคยอยากทำตอนเด็ก ๆ ส่วนเรื่องเภสัชฯ มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ไม่ได้กลัวว่ามันจะหายไปเลย เพราะเราไม่มีทางทิ้งอาชีพนี้ได้ มีแพลนในอนาคตถ้าอายุมากขึ้นอยากทำร้านยาชุมชน แต่ก็ต้องดูกันต่อไป เพราะมันก็เป็นแพลนในระยะยาว แต่ตอนนี้เราก็โฟกัสกับโอกาสใหม่ที่เข้ามาด้วย ส่วนตัวก็สนใจ เพราะตอนเด็ก ๆ ชอบดูละคร แต่ไม่ได้มองบทนางเอก มองบทนางร้าย เพราะมันดูสนุก แต่สุดท้ายก็แล้วแต่ความเหมาะสม
สุดท้ายแล้ว สาวบิ๊นท์ ก็ขอบคุณแฟน ๆ นางงามว่า ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกคนจริง ๆ เพราะตอนที่เราอยู่ญี่ปุ่น มันคือการอยู่คนเดียว แต่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้นอกจากครอบครัวและทีมงานก็คือแฟน ๆ ชาวไทย ได้เข้าไปอ่านคอมเมนต์และได้พลังกลับมาเยอะมาก ไม่เคยคิดว่ากำลังใจจากคอมเมนต์จะมีอิมแพ็คกับเรามากขนาดนี้ จนกระทั่งอยู่คนเดียว มันอิ่มใจจนไม่กลัวอะไรเลยเพราะรู้สึกว่าเราเป็นตัวแทนหนึ่งเดียวของประเทศไทย แล้วข้างหลังมีคนสนับสนุนเราเต็มเลย เราต้องกลัวอะไร มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจและได้มงกุฎมาด้วย
ภาพจาก Instagram bintsireethorn, เฟซบุ๊ก นางสาวไทย - Miss Thailand, นางสาวไทย 2562
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก วันบันเทิง - oneบันเทิง