ล่าสุดฟ้องร้องเรื่องอะไร ?
ทราย : ฟ้องเรื่องที่มาว่าแม่ค่ะ ตรงไปตรงมา ค่าเสียหายไม่เยอะค่ะ กรุบกริบ ๆ
ถ้าไม่พาดพิงแม่จะไม่ฟ้อง ?
ทราย : จริง ๆ เรื่องโดนด่ากับทรายเป็นของคู่กันอยู่แล้ว หนูว่าเราสองคนน่าจะโดนจนชิน เพราะเราเป็นคนสาธารณะ ลำพังเราถือว่าปกติ เราเข้าใจได้ แต่การพาดพิงไปถึงแม่ในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องมันไม่ใช่ และเรื่องเกิดขึ้นในช่วงที่คุณแม่ทรายเสียชีวิตได้ไม่นาน มันเหมือนเอาจุดที่เรากำลังอ่อนแอที่สุดมาทำร้ายเราอีกที ก็ไม่คิดว่าจะไปได้แรงขนาดนั้น เราคิดว่าเถียงก็เถียงกันปกติ ด่าก็ด่ากันเอง ปกติมากไม่เป็นไร มีคำด่าเยอะแยะที่ใช้ได้ แต่ทรายเพิ่งทำบุญร้อยวันไปเมื่อต้นเดือนนี้เอง มันมากไป
ทรายปรับตัวได้ง่ายไหม เพิ่งผ่านมาร้อยวันนี่เอง ?
ทราย : ไม่ง่ายเลยค่ะ ตอนพ่อเสีย ทรายก็ยังมีแม่เป็นหลักอยู่ ตอนพ่อป่วย ทรายออกไปทำงาน แต่พอเราได้กลับมาบ้านเราก็ยังได้เจอเขาทั้งคู่ ถึงแม้พ่อจะไม่สบายไปเยอะแล้ว แต่ตอนแม่ไม่อยู่ ช่วงท้าย ๆ ของชีวิตเขาสื่อสารไม่ได้แล้วด้วย เราต้องอาบน้ำให้ ป้อนข้าวอยู่ที่บ้าน มันก็ยากแล้ว เหมือนเรื่องท้าย ๆ ที่เราคุยกับเขาคือแม่อยากกินอะไร มะม่วงหรือฝรั่ง
ทรายทำงานหนัก กลับมาดูแลแม่ก็หนักอีก ?
ทราย : ก็หนักค่ะ แต่มีคนช่วย มีน้องช่วย พี่เลี้ยงคอยช่วย ต้องดูแลระหว่างวันด้วย เพราะเราต้องป้อนข้าว ทำอะไรให้เขา แต่มันไม่เหมือนเคย ปกติทรายมีอะไรกับแม่ก็คุยกันเลย หรือหลัง ๆ ทรายไปทำงานคนเดียวแม่ก็โทร. มาถาม วันนี้เป็นยังไง เจออะไร เขาจะคอยคุยกับเราเรื่อย ๆ พอวันหนึ่งเราต้องมาทำเองทุกอย่าง ก็รู้สึกว่า โห ตอนนั้นแม่เขาก็ทำอะไรให้เราเยอะเหมือนกัน
ความประทับใจที่มีกับแม่ ?
ทราย : ถ้าไม่มีแม่ ทรายคงไม่ได้ทำอะไรหลายอย่างขนาดนี้ แม่เขามีความเชื่อมั่นในตัวเรามากว่าเราทำได้ เหมือนเรื่องหนังนางนาก ตอนที่เล่น มีบางฉากทรายเล่นไม่ไหวแล้ว ทรายร้องไห้จนไม่มีน้ำตา จนจะยกกองแล้ว แม่เขาก็เดินมาแบบ พี่ทรายไหวไหม ถ้าไม่ไหวเรากลับบ้านกันนะลูก แค่นั้นทรายร้องไห้เลย ไม่ได้แล้ว เราต้องไม่ทำให้แม่ผิดหวัง เขาจะมีโมเมนต์อะไรแบบนั้น เราฟังแล้วเฮ้ย ไม่ได้ เราต้องทำได้สิ มาถึงขนาดนี้แล้ว บางทีเขามีบ่นมีอะไรเราบ้างตามประสาแม่กับลูกสาว
คำสอนของแม่ที่ทรายคิดว่ามีส่วนกับการใช้ชีวิต ?
ทราย : แม่สอนให้ทรายอยู่คนเดียวให้ได้ เขาบอกว่าสำคัญมาก ทรายเป็นลูกสาวคนโต ผู้หญิงต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ ดูแลตัวเองให้ได้ เราเป็นพี่คนโตของน้องด้วย ต้องเป็นหลักให้น้องอีกสองคน มันจะมีบางช่วงที่ทรายต้องออกไปทำงานคนเดียว น้องชายทรายลาออกมาดูคุณพ่อ เราอยากไปเที่ยวกับเพื่อน พอต้องไปไหนคนเดียวมันก็แปลก บางทีถามแม่ว่าทรายหาเพื่อนไปด้วยได้ไหม แม่บอกทำไมต้องหาใครไปด้วย อยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียวมันจะเป็นอะไร แรก ๆ ทรายแปลก ๆ เพราะคนชอบถามว่ามากับใคร เราบอกว่ามาคนเดียว คุณแม่อยู่บ้าน (หัวเราะ) เวลาไปกองถ่ายคนเยอะแยะ หลากหลายประเภทมาก แม่เขาอยากให้ทรายอยู่ให้ได้ วางตัวให้ดี ไปคนเดียวให้ได้ สร้างปัญหาให้น้อย
ตอนเด็ก ๆ มีวีรกรรมอะไรกับแม่ ?
ทราย : โดนแม่ตีครั้งเดียวในชีวิตแล้วไม่โดนอีกเลย เอาปลาทองมาตากแดดค่ะ (หัวเราะ) จะมีหัวดุกดิก ๆ มันน่ารัก เราเลยตักมาดู เอามาวางบนพื้นหญ้า แม่เห็นก็จับเอาปลาคืนบ่อ แม่บอกว่าอันนี้ไม่ดีนะ ไม่ทำ ถ้าทำแม่จะตี แต่แม่ไม่เคยตีทรายเลย เราก็เลยรู้สึกว่าไม่หรอก ไม่มั้ง ก็ตักใหม่เอามาวาง แม่เห็นอีกทีฟาดเลยค่ะ (หัวเราะ) โอเคยอม
ดื้อไหม ?
ทราย : ทรายดื้อตาใสค่ะ ตอบว่าค่ะ แต่ไม่ทำ ดื้อที่สุดเท่าที่จะดื้อได้
แม่สอนให้อยู่คนเดียวให้เป็น คำสอนพ่อล่ะที่จำแล้วเอามาใช้ ?
ทราย : ทรายดูจากสิ่งที่พ่อทำ พ่อทรายเป็นฟรีแลนซ์มาทั้งชีวิต แต่เขาดูแลลูกได้ดีมาก ไม่เคยเอาปัญหามาบ่นที่บ้านว่าเหนื่อย เครียด ต้องบริหารเงินยังไง ลูก ๆ ได้เรียน ได้เที่ยวครบทุกอย่าง ตอนนั้นก็เฉย ๆ ธรรมดา แต่พอโตมาแล้วบริหารเอง เราก็รู้สึกว่าพ่อไม่เครียดได้ยังไง ชีวิตฟรีแลนซ์ที่ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ความแน่นอนไม่มีเลย เขาดูแลเรา เลี้ยงเรามาได้จนโตอย่างดี อย่างเต็มที่ของเขา เขาก็มีความสุขให้เราเห็นเสมอ ไม่เคยเอาปัญหามาบ่นที่บ้าน
แม่บอกว่าฉันมีผัวดารายังไม่เหนื่อยเท่ามีลูกเป็นดารา ?
ทราย : จริงค่ะ (หัวเราะ) หนูเล่นหนังผีบ่อย แม่ทรายไม่ชอบขับรถกลางคืน เพราะสายตาไม่ดี แต่พอลูกต้องไปถ่าย เขาก็ต้องไปด้วย ไปขับรถให้ เขาบอกว่านี่ไม่ใช่ธุระของฉันเลย ตอนมีผัวเป็นดาราพ่อแกเลี้ยงดูฉันเป็นอย่างดี แต่พอเป็นแกซึ่งเป็นดาราทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ แล้วเล่นหนังผีถ่ายตี 3 ตี 4 เราก็ง่วงจะหลับ แม่บอกว่าห้ามหลับ พาฉันมาต้องอยู่คุยเป็นเพื่อน (หัวเราะ)
เล่นหนังผีหลายเรื่องแต่คนจำได้จากเรื่องนางนาก เรื่องอื่นที่เล่นมีอะไรบ้าง ?
ทราย : มีเฮี้ยน มีหกตายท้าตาย นาคปรกไม่ใช่หนังผีแต่อยู่ในวัดตลอด แล้วก็มีละครอีก ตอนเล่นนางนากเป็นฉากมัดตราสังข์ หามเรา พี่อุ๋ย ผู้กำกับ ถามแม่ว่าโอเคไหม แม่บอกว่าไม่เป็นไร อย่าทำให้มันตายจริงก็แล้วกัน (หัวเราะ) ตอนถ่ายก็น่ากลัว แต่แม่เขาโอเค ถ่ายฉากเข้าคุก ถ้าแม่โอเค ทรายก็โอเค คนอื่นอาจถือเป็นลาง อย่างเรื่องย่านาก คนก็บอกว่าเล่นแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรัก เราก็ไม่แก้เคล็ดอะไร ก็ไหว้ปกติค่ะ
ตอนถ่ายเจอดีบ้างไหม ?
ทราย : บ่อยมาก ๆ ค่ะ จนช่วงโปรโมตนางนาก ต้องบอกทุกรายการที่ไปว่าพี่ไหว้ย่าด้วยนะคะ ต้องไหว้ธูปสองดอกนะคะ ไหว้ย่ากับลูกย่านะคะ แต่ตอนถ่ายบางฉากอยู่ ๆ ฉากห้อยหัว เขาไปดูสถานที่ก็ไม่เป็นอะไร แต่วันถ่ายเอาตัวทรายขึ้นไปแล้ว เสาก็ตกน้ำมัน ในกล้องมันเห็น ก็ตกใจค่ะ เพราะตอนไปดูโลเคชั่นมันไม่ตกค่ะ มันตกวันนั้น แล้วเป็นหอฉันเก่าที่ถ่ายเสร็จพระท่านจะรื้อแล้ว เอาไม้ไปทำอย่างอื่น ระหว่างนั้นเอาเขาเอาทรายลงมา ระหว่างรอ ทีมงานเขาก็เช็ดคลีนเสาให้โอเคที่สุด พี่อุ๋ยเหมือนออกไปคุยกับทีมงานข้างนอกว่าเอาไงดี แผนสองเพื่อไม่ให้ดาราตกใจ มันเป็นวัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำแถวเมืองนนท์ ได้ยินเสียงคนขายขนมตอนตี 4 ก็คิดว่าเป็นชาวสวนตื่นเร็ว เขาตะโกนบอกว่าเอาขนมไหมคะ พี่อุ๋ยก็บอกว่าไม่เอาจ้ะ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พายเรือมาให้เห็น สงสัยไม่เอา เขาก็เลยไม่มา (หัวเราะ)
มีคนวูบ ๆ วาบ ๆ ทำงานไม่เหมือนเดิมไหม ?
ทราย : เอาเป็นว่าพอจบเรื่องนี้ ทีมงานชายทุกคนไปบวชหมดเลยค่ะ พี่อุ๋ยก็บวช คนเขียนบท ทีม หัวหน้าฝ่ายอาร์ต เขาไม่ยอมบอกหนูว่าเจออะไร
สิ่งที่ต้องโดนตอนถ่ายหนังผี มีอะไรบ้าง ?
ทราย : โห มีตายบนเตียงโรงพยาบาลร้างค่ะ ห้องน้ำโรงพยาบาล ทรายชินมาก แทบจะโดนทุกเรื่อง หรือตกน้ำลงไปในรถตู้ต้องพยายามเปิดประตูออกมาเองให้ได้ หรือตกหลุมในป่าช้าจริง ๆ เป็นป่าช้าโบราณ ทีมงานเขาถามทรายแล้ว ทรายบอกว่าทรายยังไงก็ได้ ทีมงานเขาบอกว่าถ้าทรายบอกว่ากลัวทุกอย่างก็จบเลยนะ เขาไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) แต่เราก็เล่น เขาก็ต้องไปขุดไม่มีข้อแก้ตัว ถ่ายตี 3 แล้วประหลาดมาก หนูจะงง ๆ นั่งอยู่ในหลุมแล้วเป็นฉากร่ำลากัน อยู่ ๆ มีแมลงชีปะขาวเยอะมากจนเล่นไม่ได้ เยอะจนพูดไม่ได้มันเข้าปาก มันติดตามตัว พี่อุ๋ยเขาหายไปแป๊บหนึ่งแล้วแมลงทุกอย่างก็หายไป
ทราย : เขาก็ไปจุดธูป พี่อุ๋ยบอกว่าที่นี่มีผีเสื้อแดงด้วยนะ ไม่รู้มากลางคืนหรือเช้า ทรายก็โอเค ปกติทีมไฟเขาจะมีเสื้อทีมไฟประจำของเขา ของนางนากนี่เป็นเสื้อสีม่วง โอเค เราเห็นคนเสื้อม่วง ๆ ยืนอยู่มุมมืดต่าง ๆ เพราะไฟมันน้อยหน่อย เราก็เอ๊ะ มีชาวบ้านมาดูด้วย ใส่เสื้อแดง เห็นแต่ไม่ได้ทักอะไร ก็คงชาวบ้านมั้ง (หัวเราะ) เขาอาจมายืนดู เรานึกว่าผีเสื้อแดงคือผีเสื้อ ผีเสื้อสีแดงที่บินได้ พอถ่ายเสร็จก็บอกว่า เออพี่ชาวบ้านยังมายืนดูกันอีกเหรอ มันดึกมากแล้วนะ พอทักไปทุกคนก็เริ่มเงียบ ๆ เลิ่กลั่ก ๆ สุดท้ายเจ้าอาวาสมาบอกให้ทำบุญให้เขาด้วย
เขาว่าเล่นเรื่องแม่นากจะผิดหวังเรื่องความรัก จริงไหม เคยอกหักมากี่ครั้ง ?
ทราย : โหย เยอะค่ะ ถ้าความสมหวังของคนคือแต่งงาน มีลูก โอเคค่ะ หนูผิดหวังในความรักค่ะ
แม่ไม่อยากให้มีแฟนในวงการ ?
ทราย : จริง ๆ เป็นไปได้เขาไม่อยากให้มีแฟนเลยด้วยซ้ำค่ะ
มีคนในวงการจีบหลายคน ?
ทราย : ก็วัน ๆ หนูไม่ได้เจอใคร หนูก็เจอแต่คนในวงการนี่แหละค่ะ ถ้าแม่จะผิดหวังก็คงผิดหวังที่สุดคือเรื่องนี้ เราทำงานใกล้ชิดกับคนในวงการเดียวกันมากกว่า ไม่ได้ออกไปเจอคนข้างนอกเลยที่เขาทำอาชีพอื่น
ครั้งที่เฮิร์ตที่สุด ?
ทราย : ประมาณสิบกว่าปี ที่เฮิร์ตเพราะตอนนั้นพ่อทรายเพิ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์ พี่คนนี้เคยไปสวัสดีคุณพ่อแล้วที่บ้าน แต่โอเค วันหนึ่งเขาบอกว่ามันไม่ได้ ทรายก็ไม่ได้ก็ไม่ได้ค่ะ เขาไม่ได้อธิบายอะไร ทรายก็ซัก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ค่ะ
ตอนนี้มีหรือยัง ?
ทราย : มีแล้วค่ะ ชื่อกอล์ฟ เป็นเพื่อนกันมา 7-8 ปี กอล์ฟทำงานแผนกเสียงอยู่เบื้องหลัง เป็นเพื่อนกันมาตลอด จนสัก 4 ปีที่แล้ว ก็ขยับสถานะขึ้นมา คือทรายเป็นคนที่เพื่อนไม่ค่อยมีอยู่แล้ว อย่าเอาเพื่อนมาเป็นแฟนเลย เดี๋ยวพอเลิกกันจะไม่มีเพื่อนอีก แต่ก็รู้จักมานานมากแล้ว
ประทับใจอะไรทำให้ยอมเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นแฟน ?
ทราย : จริง ๆ กอล์ฟปกป้องทรายหลายอย่างมากค่ะ เวลามีใครเมาท์แปลก ๆ ไม่จริง เขาจะออกตัวเลยว่าไม่ใช่นะ คุณไม่รู้จริงอย่ามาพูด ตั้งแต่สมัยเป็นเพื่อนกันแล้ว เราก็โอเคนะ เขารู้สึกเรื่องนี้ไม่ถูกต้องออกมาพูด เขาเป็นคนปกติ แล้วทำให้ทรายรู้ว่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เป็นปกติต่อกันในสังคมหรือระหว่างคู่รักมันเป็นยังไง
ทรายจีบเขาก่อน ?
ทราย : ใช่ค่ะ ก็บอกเขาเลยว่าวันนี้ว่างไหม ไปกินข้าวกัน เขาก็เออ เราทำงาน แต่เราอยากกินข้าวกับเธอมาก ๆ เลยนะ เขาก็อ๋อ ๆ ว่าง ๆ (หัวเราะ) แล้วก็ไป กินข้าว คุยทุกอย่าง ตอนนั้นเรื่องเครียดเรื่องอะไรเขาเห็นมาตลอด พ่อป่วย แม่ป่วย ทรายป่วย
จำตอนที่ขอเป็นแฟนได้ไหม ?
ทราย : กินข้าวผัดปูแถว ๆ ธนาคารกรุงเทพ แถว ๆ เกษตรฯ แต่ตอนนี้น่าจะปิดไปแล้ว เราอยากสั่งกระเพาะปลามาเพิ่ม แต่เอ๊ เรากินคนเดียวจะเยอะไปไหม เขาก็บอกว่าเดี๋ยวมีอะไรก็กินด้วยกัน แบ่งกัน เราก็ถามว่าใช่แล้วใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าไปเครียด
รักครั้งนี้ มั่นใจแค่ไหน ?
ทราย : ตอนนี้คำว่ามั่นใจของทรายไม่เหมือนตอนเด็ก ๆ แล้วค่ะ ตอนที่พ่อแม่อยู่เราคิดว่าต้องแต่งงาน มีพิธีกรรมให้เกียรติพ่อแม่เรา พ่อแม่เขา มันนึกไม่ออกว่าจะไม่แต่งงานได้ยังไง แต่พอโตมาถึงตอนนี้ ทรายก็รู้สึกว่าสิ่งที่คู่รักควรมีให้กันคือความสงบ
ทรายไม่ชอบลงรูปคู่เขา ?
ทราย : ปกติผู้หญิงชอบลงรูป แต่ผู้ชายไม่ค่อยลง แต่กอล์ฟชอบลงรูป ทรายรู้สึกว่าเขาลงแล้ว งั้นเราไม่ต้องลง (หัวเราะ) วันครบรอบเขาจะจำได้ แต่ทรายจำไม่ได้เลยค่ะ กอล์ฟเก็บตั๋วหนังที่ดูด้วยกัน ซึ่งทรายก็อ๋อ ๆ เราเคยดูหนังเรื่องนี้
ทรายคิดว่าการลงแบบนี้คือการอวดผัว ?
ทราย : นิดหนึ่ง ทรายจะใช้คำว่ารีวิวผัว แต่บางคู่เขาน่ารักไง มีลูก กินข้าวครอบครัว แต่ของทรายมันแค่ดูหนัง ก็เลยไม่ได้รีวิวเขาเท่าไร จริง ๆ เขาอยู่ทุกช่วงชีวิตเลย เลยไม่รู้สึกว่าต้องลงหรือไม่ต้องลงยังไง แต่เขาลงทรายก็ให้เขาทำเต็มที่เลยนะ
บอกเขาไหมจะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ?
ทราย : บอกค่ะ
ทำไมมั่นใจตั้งแต่เด็กว่าจะไม่มีผัว ?
ทราย : จริง ๆ ผัวอยากค่ะ แต่ลูกไม่ซีเรียส ผัวยินดีจะมีค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการมี แต่เรื่องแต่งงาน มีลูก นึกไม่ออกว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่พอโตมาอีกจุดหนึ่งก็มั่นใจเลยว่าไม่มี ทรายบอกเขาตั้งแต่แรกเลย ตัวต้องไปบอกพ่อแม่เลยนะ ฝ่ายหญิงไม่ได้อยากมีลูก ถ้าพ่อแม่เขาคาดหวังก็ไม่แฟร์กับเขา มาแต่งกับอีนี่แล้วมันไม่มี กอล์ฟก็ไปบอก เขาบอกว่าพ่อแม่เขารับได้