รักษาสิว ทำอย่างไรดี ตามมาดูเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวให้หายขาดแบบฉบับคุณหมอแนะนำ งานนี้มีเคล็ดลับแน่น ๆ ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน สาวคนไหนอยากมีผิวสวย หน้าใส ไร้สิว ห้ามพลาด
เชื่อเลยว่าเกือบทุกคนคงต้องเคยเผชิญกับปัญหา "สิว" กันมาบ้าง บางคนดูแลตัวเองสุดฤทธิ์ เจ้าสิวตัวป่วนก็ยังผุดขึ้นมาให้ช้ำใจ ขณะที่บางคนก็รักษาสิวมาแล้วสารพัดวิธี ทั้งพึ่งยาทา ยากิน รวมถึงเข้าคลินิกเสริมความงาม สิวหายให้ดีใจแป๊บเดียว ก็กลับมาขึ้นใหม่อีกแล้ว
วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวให้หายขาดจากเพจ Dr. Yui คุยทุกเรื่องผิว มาฝากกัน รับรองเลยว่าเมื่อรู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว สาว ๆ จะสามารถจัดการกับเรื่องสิว ๆ ได้อยู่หมัดแน่นอน
วิธีรักษาสิวให้หายขาด เรื่องที่สาว ๆ ต้องรู้
1. อย่าทายาปฏิชีวนะแค่อย่างเดียว
การแต้มแต่ยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycin หรือ Erythromycin เพียงอย่างเดียว ไม่ได้รักษาจากต้นเหตุ แม้จะมีฤทธิ์ให้สิวอุดตันนิ่มลงและหลุดออกจากผิวได้ แต่ถ้าใช้นาน ๆ เข้าเชื้อสิวก็จะดื้อยา ทำให้สิวไม่หาย
2. อย่าทายาไม่ตรงกับชนิดของสิว
สิวมีหลายประเภท ลักษณะแตกต่างกันไป การใช้ยาที่ไม่ตรงกับสิวชนิดนั้น ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่น สิวอุดตันอย่างเดียว ไม่มีอักเสบเลย แต่ทา Clindamycin อันนี้ไม่ช่วยให้สิวอุดตันดีขึ้น
3. หลักการทายาสิว
หลักการทายาสิวที่ถูกต้อง 2 ข้อ แบบเข้าใจและทำตามง่าย
- ให้เริ่มจากเลือกใช้ยาความเข้มข้นน้อยก่อน ถ้าทนไหว ค่อยเพิ่มความเข้มข้น เช่น Benzac เริ่ม 2.5% ก่อน ค่อยขยับไปที่ 5%, Retin A เริ่ม 0.025% ก่อน ค่อยเพิ่มเป็น 0.05%
- เริ่มจากการทาทิ้งไว้แล้วล้างออก คือ อย่าทาทิ้งไว้นาน ถ้าแสบหรือรู้สึกไม่โอเค ให้ล้างออกเลย เช่น เริ่มทา 5 นาที ล้างออก x 3 วัน ค่อยเพิ่มเป็น 10 นาที x 3 วัน แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้ผิวทนยาสิวได้ ถ้าเริ่มทาครั้งแรก 15-30 นาทีเลย ผิวหน้ามักเกิดอาการแห้ง แดง แสบ ลอก ทำให้หลายคนเลิกทายาไป เพราะคิดว่าแพ้ยาสิว
4. ยากลุ่ม Retenoid เริ่มทาบาง ๆ เฉพาะจุดที่มีสิวก่อน
แนะนำให้ใช้ปริมาณยาประมาณเมล็ดถั่วเขียว ช่วงแรกให้ทาคืนเว้นคืน สัก 2-4 สัปดาห์ ถ้าทนไหวค่อยทาทั่วหน้า แล้วเปลี่ยนมาทาทุกคืน ควรทาครีมบำรุงก่อนทายาด้วย เพื่อลดการระคายเคืองจากยา
ทั้งนี้ ช่วง 2-4 สัปดาห์แรกจะมีสิวเห่อขึ้น หรือหน้าแดงลอก เรียกว่าเกิด Retinoid Dermatitis ซึ่งเป็นอาการปกติที่เจอหลังจากทายา วิธีการแก้ไข คือ ให้ทายาน้อย ๆ และทาครีมบำรุง จะช่วยให้ผ่านระยะนี้ไปได้ จากนั้นสิวและผิวหน้าจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นมากผิดปกติ ให้พบหมอผิวหนังโดยทันที
5. วิธีทายาให้สิวหายและหน้าไม่พัง
- ทาถูกเวลา ยากลุ่ม Retinoid ให้ทาก่อนปิดไฟนอน เพราะตัวยาเสื่อมได้ง่ายเมื่อโดนแสง (Photounstable) และอาจจะเกิดอาการผิวไวต่อแสง (Photosensitive)
- ทาถูกวิธี เช่น ยากลุ่ม BP (Benzoyl Peroxide) ให้ทาแล้วล้างออก ไม่ควรทาทิ้งไว้ และไม่ควรทา BP คู่กับ Retinoid เพราะหักล้างฤทธิ์กัน ทำให้ไม่ได้ผล (ยกเว้น Epiduo เพราะเป็นยารักษาชนิดผสมกัน) ซึ่งจริง ๆ ตามวิธีการ หมอจะให้ใช้ทาคนละเวลาอยู่แล้ว แต่คนไข้ไม่รู้ ไม่อยากทาหลายรอบ เลยรวมเอาทาทีเดียว
- ทาปริมาณถูกต้อง ยาสิว ห้ามทาปริมาณมากแบบครีมทาผิวอื่น ๆ ควรแต้มบาง ๆ ก็พอ หากทามากไปจะเกิดการระคายเคือง ทำให้คนไข้ทนยาไม่ได้ เลิกใช้ หรือหยุดทา สิวก็ไม่หาย
6. ระวังอย่าทายาซ้ำซ้อน
ยากลุ่ม Retinoid เลือกมาแค่ตัวเดียวที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา และหากทายาผสม (Fixed Combination) คือยาที่ผสมตัวยา 2 ชนิดในหลอดเดียวกัน เพื่อให้ใช้ง่ายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทายาแยกที่เป็นส่วนผสมของยานั้น ๆ อีก
อย่าลืมว่าบริเวณที่เรามองไม่เห็นว่ามีสิว จริง ๆ แล้วอาจจะมีสิวที่เตรียมกำลังจะขึ้น (microcomedone) แต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แนะว่าในช่วงเริ่มต้นของการทายา ให้ทายาเฉพาะจุดก่อน ถ้าทนไหวค่อยเพิ่มพื้นที่
8. อยากรักษารอยสิว หลุมสิว ควรรักษาสิวที่ยังมีอยู่ด้วย
ตราบใดที่ยังควบคุมสิวไม่ได้ ถึงรักษารอยหรือหลุมสิวไปแล้ว สิวก็อาจจะวนกลับมาเป็นซ้ำ ๆ อีก ดังนั้นจึงควรรักษาสิวให้หายดีก่อนแล้วจึงรักษารอยสิว
9. รอยสิว รอยแดง กับรอยดำ รักษาต่างกัน
รอยสิวมี 2 แบบ ได้แก่ รอยแดง กับรอยดำ เกิดจากการอักเสบและมีเส้นเลือดเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น รอยดำทายาได้ เช่น Skinoren ตัวนี้ช่วยรักษาทั้งสิวและรอยดำ แต่ข้อเสียคือช่วงแรก ๆ ที่ทาอาจจะมีอาการคันยุบยิบได้ เพราะตัวยาเป็นกรด (Azeleic acid) ส่วนรอยแดงที่เกิดจากเส้นเลือด การทายาไม่ค่อยช่วย ถ้าจะรักษาให้ตรงจุด สามารถทำเลเซอร์กลุ่มที่ลดรอยแดงได้
ถ้าสิวเยอะมาก ทายาอย่างเดียวจะไม่พอ ต้องกินยาด้วย ณ จุดนี้ควรปรึกษาคุณหมอผิวหนัง โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากยาปฏิชีวนะ เช่น Doxy เพื่อหวังผลลดการอักเสบของสิว ไม่ได้หวังฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิว แต่ถ้าไม่ได้ผล หรือสิวรุนแรงมาก ๆ อาจจะข้ามไปใช้กลุ่ม Isotretinoin ได้เลย ซึ่งควรมีหมอผิวหนังดูแลและสั่งยาให้ เพราะเป็นยาอันตราย
11. เมื่อสิวบุกตอนท้อง ต้องระวังการใช้ยาเป็นพิเศษ
สิวในคนท้องจะมียาให้ใช้ได้น้อยกว่า เพราะยาหลายตัวมีทั้งยาทาและยากินที่ไม่แนะนำหรือห้ามใช้ตอนท้อง เช่น Tazarotene (Tazorac) ถึงแม้จะเป็นยาทา แต่ทำให้ทารกพิการได้ ส่วนยากิน Isotretinoin ต้องหยุดยาก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนถึงจะปลอดภัย
12. อย่าเสียเวลาทดลองรักษาสิวเอง
การรักษาสิวเองในเบื้องต้นสามารถทำได้ แต่ถ้าสิวเยอะ ไม่ควรเสียเวลาทดลองรักษาเอง อย่าหวังพึ่งแค่สกินแคร์และยาแต้มสิว เพราะถ้าทิ้งให้สิวอักเสบเป็นอยู่นาน ๆ จะเกิดปัญหาแผลเป็นสิว หลุมสิว รอยสิวตามมา ซึ่งรักษาให้กลับมาเป็นผิวสวย ๆ เหมือนเดิมได้ยาก และค่ารักษาจะแพงกว่าการรักษาสิวตั้งแต่แรกเริ่ม
13. ไม่แกะ กด บีบสิวเอง
14. การกดสิว ไม่ได้เหมาะกับสิวทุกประเภท
การกดสิวเหมาะกับสิวอุดตัน สิวหัวเปิดสีดำจะกดง่ายกว่า สิวหัวปิดสีขาวค่อนข้างกดยาก ต้องใช้ฝีมือมากกว่า ถ้าทายาละลายหัวสิวมาระยะหนึ่งก่อน จะช่วยให้สิวไม่แน่น กดสิวง่ายขึ้น เจ็บน้อยลง ส่วนสิวอักเสบไม่ควรกด
15. อยากสิวหายต้องใจเย็น
การรักษาสิวไม่มีทางลัด ต้องอดทน และรักษาต่อเนื่อง ใช้เวลานานหลายเดือน บางคนหลายปีกว่าจะหาย แต่สิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นถ้ารักษาถูกวิธี นอกจากใช้ยาแล้ว การปรับพฤติกรรมเพื่อตัดวงจรสิวก็สำคัญ ถ้ารักษาสิวหายแล้ว แต่ยังกลับใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ นอนดึก นอนน้อย กินแป้งน้ำตาล ของหวาน กินนม ชีส หรือไขมันทรานส์ ล้างหน้าผิดวิธี เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว ชอบจับหน้า ชอบแกะสิว แต่งหน้าเยอะ สิวก็กลับมาอีกได้
16. น้ำเกลือล้างหน้า ไม่ได้ช่วยให้สิวหายดีขึ้น
น้ำเกลือสามารถเช็ดทำความสะอาดผิว เพื่อลดคราบสิ่งสกปรกอุดตันได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของสิว จึงไม่จำเป็นต้องใช้
17. เบตาดีน ผงวิเศษ ไม่ควรเอามาแต้มสิว
บางคนเชื่อว่าสามารถใช้เบตาดีนหรือผงวิเศษมาแต้มสิวจะทำให้สิวยุบลงได้ แต่แท้จริงแล้ว ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้ระคายเคืองผิวมากเกินไป และในผงวิเศษยังมีซัลฟาด้วย ใครแพ้ยาซัลฟา ต้องระวังเรื่องการแพ้ด้วยนะคะ
18. การฉีดสิว ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เราสามารถฉีดยารักษาสิวได้ถ้าสิวอักเสบมาก แต่เลือกฉีดเพียงบางจุด ไม่ฉีดบ่อยเกินไป เพราะตัวยาที่ใช้เป็นสเตียรอยด์ และอาจมีผลข้างเคียงได้คือผิวยุบลงในกรณีที่ฉีดมากเกินไป ดังนั้นควรรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย อย่าฉีดสิว แต่ไม่รักษาสิวค่ะ
19. ยากินรักษาสิว ต้องเข้าใจวิธีกินยา
การกินยารักษาสิวเพื่อความปลอดภัย ควรสั่งจ่ายโดยหมอผิวหนัง โดยยาแต่ละชนิดมักมีวิธีกินที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เช่น
- Doxy ห้ามกินพร้อมนม เพราะยาจะดูดซึมไม่ดี และถ้าลืมกินบ่อย ๆ จะไม่ได้ผล
- Isotretinoin ต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร ถ้ากินตอนท้องว่าง ยาก็ดูดซึมน้อยลง วิธีเช็กคือกินแล้วต้องปากแห้ง ผิวหน้าแห้ง เมื่อเทียบกับก่อนรักษา
20. รักษาก่อนบำรุง
ในระหว่างการรักษาสิว อย่าเพิ่งคิดบำรุงผิวในช่วงนี้ แต่ให้หันมารักษาสิวให้หายก่อน โดยควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส โคโค่บัตเตอร์ เปปเปอร์มินต์ออยล์ เพราะตอนที่เราเป็นสิว ผิวจะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ยิ่งพวกครีมเนื้อหนัก ๆ เก็บเข้ากรุไปก่อน ถ้าไม่อยากให้อุดตันรูขุมขนมากขึ้น ทั้งนี้หากต้องการบำรุงผิวบ้าง สำหรับคนผิวแห้ง อาจเลือกใช้เจลว่านหางจระเข้มาเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ แต่สำหรับคนผิวมันเลือกชนิดที่เป็นเจล หรือเซรั่มเบา ๆ แบบที่ไม่เหนียว ถ้าเขียนว่า oil free ได้ยิ่งดี
ใครที่เคยซื้อยารักษาสิวมากินหรือทาเอง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่สิวไม่หาย เพราะเชื้อเกิดดื้อยา ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอผิวหนังก่อนนะคะ ที่สำคัญต้องอย่าใจร้อน พร้อมกับลองเอาข้อแนะนำข้างต้นไปปรับใช้ แล้วผิวหน้าใส ๆ ก็จะเป็นของเราได้ในอีกไม่นานเกินรอ
ข้อมูลจาก : หมอยุ้ย เพจ Dr. Yui คุยทุกเรื่องผิว, med.mahidol.ac.th
วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวให้หายขาดจากเพจ Dr. Yui คุยทุกเรื่องผิว มาฝากกัน รับรองเลยว่าเมื่อรู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว สาว ๆ จะสามารถจัดการกับเรื่องสิว ๆ ได้อยู่หมัดแน่นอน
วิธีรักษาสิวให้หายขาด เรื่องที่สาว ๆ ต้องรู้
1. อย่าทายาปฏิชีวนะแค่อย่างเดียว
การแต้มแต่ยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycin หรือ Erythromycin เพียงอย่างเดียว ไม่ได้รักษาจากต้นเหตุ แม้จะมีฤทธิ์ให้สิวอุดตันนิ่มลงและหลุดออกจากผิวได้ แต่ถ้าใช้นาน ๆ เข้าเชื้อสิวก็จะดื้อยา ทำให้สิวไม่หาย
2. อย่าทายาไม่ตรงกับชนิดของสิว
สิวมีหลายประเภท ลักษณะแตกต่างกันไป การใช้ยาที่ไม่ตรงกับสิวชนิดนั้น ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่น สิวอุดตันอย่างเดียว ไม่มีอักเสบเลย แต่ทา Clindamycin อันนี้ไม่ช่วยให้สิวอุดตันดีขึ้น
3. หลักการทายาสิว
หลักการทายาสิวที่ถูกต้อง 2 ข้อ แบบเข้าใจและทำตามง่าย
- ให้เริ่มจากเลือกใช้ยาความเข้มข้นน้อยก่อน ถ้าทนไหว ค่อยเพิ่มความเข้มข้น เช่น Benzac เริ่ม 2.5% ก่อน ค่อยขยับไปที่ 5%, Retin A เริ่ม 0.025% ก่อน ค่อยเพิ่มเป็น 0.05%
- เริ่มจากการทาทิ้งไว้แล้วล้างออก คือ อย่าทาทิ้งไว้นาน ถ้าแสบหรือรู้สึกไม่โอเค ให้ล้างออกเลย เช่น เริ่มทา 5 นาที ล้างออก x 3 วัน ค่อยเพิ่มเป็น 10 นาที x 3 วัน แบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้ผิวทนยาสิวได้ ถ้าเริ่มทาครั้งแรก 15-30 นาทีเลย ผิวหน้ามักเกิดอาการแห้ง แดง แสบ ลอก ทำให้หลายคนเลิกทายาไป เพราะคิดว่าแพ้ยาสิว
แนะนำให้ใช้ปริมาณยาประมาณเมล็ดถั่วเขียว ช่วงแรกให้ทาคืนเว้นคืน สัก 2-4 สัปดาห์ ถ้าทนไหวค่อยทาทั่วหน้า แล้วเปลี่ยนมาทาทุกคืน ควรทาครีมบำรุงก่อนทายาด้วย เพื่อลดการระคายเคืองจากยา
ทั้งนี้ ช่วง 2-4 สัปดาห์แรกจะมีสิวเห่อขึ้น หรือหน้าแดงลอก เรียกว่าเกิด Retinoid Dermatitis ซึ่งเป็นอาการปกติที่เจอหลังจากทายา วิธีการแก้ไข คือ ให้ทายาน้อย ๆ และทาครีมบำรุง จะช่วยให้ผ่านระยะนี้ไปได้ จากนั้นสิวและผิวหน้าจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าเป็นมากผิดปกติ ให้พบหมอผิวหนังโดยทันที
5. วิธีทายาให้สิวหายและหน้าไม่พัง
- ทาถูกเวลา ยากลุ่ม Retinoid ให้ทาก่อนปิดไฟนอน เพราะตัวยาเสื่อมได้ง่ายเมื่อโดนแสง (Photounstable) และอาจจะเกิดอาการผิวไวต่อแสง (Photosensitive)
- ทาถูกวิธี เช่น ยากลุ่ม BP (Benzoyl Peroxide) ให้ทาแล้วล้างออก ไม่ควรทาทิ้งไว้ และไม่ควรทา BP คู่กับ Retinoid เพราะหักล้างฤทธิ์กัน ทำให้ไม่ได้ผล (ยกเว้น Epiduo เพราะเป็นยารักษาชนิดผสมกัน) ซึ่งจริง ๆ ตามวิธีการ หมอจะให้ใช้ทาคนละเวลาอยู่แล้ว แต่คนไข้ไม่รู้ ไม่อยากทาหลายรอบ เลยรวมเอาทาทีเดียว
- ทาปริมาณถูกต้อง ยาสิว ห้ามทาปริมาณมากแบบครีมทาผิวอื่น ๆ ควรแต้มบาง ๆ ก็พอ หากทามากไปจะเกิดการระคายเคือง ทำให้คนไข้ทนยาไม่ได้ เลิกใช้ หรือหยุดทา สิวก็ไม่หาย
6. ระวังอย่าทายาซ้ำซ้อน
ยากลุ่ม Retinoid เลือกมาแค่ตัวเดียวที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา และหากทายาผสม (Fixed Combination) คือยาที่ผสมตัวยา 2 ชนิดในหลอดเดียวกัน เพื่อให้ใช้ง่ายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทายาแยกที่เป็นส่วนผสมของยานั้น ๆ อีก
7. การทายาสิวตามทฤษฎีจะแนะนำให้ทาทั่วหน้า เพราะได้ผลดีกว่า
8. อยากรักษารอยสิว หลุมสิว ควรรักษาสิวที่ยังมีอยู่ด้วย
ตราบใดที่ยังควบคุมสิวไม่ได้ ถึงรักษารอยหรือหลุมสิวไปแล้ว สิวก็อาจจะวนกลับมาเป็นซ้ำ ๆ อีก ดังนั้นจึงควรรักษาสิวให้หายดีก่อนแล้วจึงรักษารอยสิว
9. รอยสิว รอยแดง กับรอยดำ รักษาต่างกัน
รอยสิวมี 2 แบบ ได้แก่ รอยแดง กับรอยดำ เกิดจากการอักเสบและมีเส้นเลือดเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น รอยดำทายาได้ เช่น Skinoren ตัวนี้ช่วยรักษาทั้งสิวและรอยดำ แต่ข้อเสียคือช่วงแรก ๆ ที่ทาอาจจะมีอาการคันยุบยิบได้ เพราะตัวยาเป็นกรด (Azeleic acid) ส่วนรอยแดงที่เกิดจากเส้นเลือด การทายาไม่ค่อยช่วย ถ้าจะรักษาให้ตรงจุด สามารถทำเลเซอร์กลุ่มที่ลดรอยแดงได้
10. สิวขึ้นเยอะ ควรใช้ทั้งยากินและยาทา
สิวในคนท้องจะมียาให้ใช้ได้น้อยกว่า เพราะยาหลายตัวมีทั้งยาทาและยากินที่ไม่แนะนำหรือห้ามใช้ตอนท้อง เช่น Tazarotene (Tazorac) ถึงแม้จะเป็นยาทา แต่ทำให้ทารกพิการได้ ส่วนยากิน Isotretinoin ต้องหยุดยาก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนถึงจะปลอดภัย
12. อย่าเสียเวลาทดลองรักษาสิวเอง
การรักษาสิวเองในเบื้องต้นสามารถทำได้ แต่ถ้าสิวเยอะ ไม่ควรเสียเวลาทดลองรักษาเอง อย่าหวังพึ่งแค่สกินแคร์และยาแต้มสิว เพราะถ้าทิ้งให้สิวอักเสบเป็นอยู่นาน ๆ จะเกิดปัญหาแผลเป็นสิว หลุมสิว รอยสิวตามมา ซึ่งรักษาให้กลับมาเป็นผิวสวย ๆ เหมือนเดิมได้ยาก และค่ารักษาจะแพงกว่าการรักษาสิวตั้งแต่แรกเริ่ม
13. ไม่แกะ กด บีบสิวเอง
การแคะ แกะ บีบ หรือกดสิวเอง ทำให้สิวอุดตันหลุดออกได้ก็จริง แต่สิวจะยิ่งอักเสบ ติดเชื้อ หรือกลายเป็นรอยแผลที่หายยากกว่าเดิม โดยเฉพาะการกดสิวควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่สะอาดปลอดเชื้อ
14. การกดสิว ไม่ได้เหมาะกับสิวทุกประเภท
การกดสิวเหมาะกับสิวอุดตัน สิวหัวเปิดสีดำจะกดง่ายกว่า สิวหัวปิดสีขาวค่อนข้างกดยาก ต้องใช้ฝีมือมากกว่า ถ้าทายาละลายหัวสิวมาระยะหนึ่งก่อน จะช่วยให้สิวไม่แน่น กดสิวง่ายขึ้น เจ็บน้อยลง ส่วนสิวอักเสบไม่ควรกด
การรักษาสิวไม่มีทางลัด ต้องอดทน และรักษาต่อเนื่อง ใช้เวลานานหลายเดือน บางคนหลายปีกว่าจะหาย แต่สิวจะค่อย ๆ ดีขึ้นถ้ารักษาถูกวิธี นอกจากใช้ยาแล้ว การปรับพฤติกรรมเพื่อตัดวงจรสิวก็สำคัญ ถ้ารักษาสิวหายแล้ว แต่ยังกลับใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ นอนดึก นอนน้อย กินแป้งน้ำตาล ของหวาน กินนม ชีส หรือไขมันทรานส์ ล้างหน้าผิดวิธี เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว ชอบจับหน้า ชอบแกะสิว แต่งหน้าเยอะ สิวก็กลับมาอีกได้
16. น้ำเกลือล้างหน้า ไม่ได้ช่วยให้สิวหายดีขึ้น
น้ำเกลือสามารถเช็ดทำความสะอาดผิว เพื่อลดคราบสิ่งสกปรกอุดตันได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุของสิว จึงไม่จำเป็นต้องใช้
17. เบตาดีน ผงวิเศษ ไม่ควรเอามาแต้มสิว
บางคนเชื่อว่าสามารถใช้เบตาดีนหรือผงวิเศษมาแต้มสิวจะทำให้สิวยุบลงได้ แต่แท้จริงแล้ว ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้ระคายเคืองผิวมากเกินไป และในผงวิเศษยังมีซัลฟาด้วย ใครแพ้ยาซัลฟา ต้องระวังเรื่องการแพ้ด้วยนะคะ
18. การฉีดสิว ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เราสามารถฉีดยารักษาสิวได้ถ้าสิวอักเสบมาก แต่เลือกฉีดเพียงบางจุด ไม่ฉีดบ่อยเกินไป เพราะตัวยาที่ใช้เป็นสเตียรอยด์ และอาจมีผลข้างเคียงได้คือผิวยุบลงในกรณีที่ฉีดมากเกินไป ดังนั้นควรรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย อย่าฉีดสิว แต่ไม่รักษาสิวค่ะ
การกินยารักษาสิวเพื่อความปลอดภัย ควรสั่งจ่ายโดยหมอผิวหนัง โดยยาแต่ละชนิดมักมีวิธีกินที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เช่น
- Doxy ห้ามกินพร้อมนม เพราะยาจะดูดซึมไม่ดี และถ้าลืมกินบ่อย ๆ จะไม่ได้ผล
- Isotretinoin ต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร ถ้ากินตอนท้องว่าง ยาก็ดูดซึมน้อยลง วิธีเช็กคือกินแล้วต้องปากแห้ง ผิวหน้าแห้ง เมื่อเทียบกับก่อนรักษา
20. รักษาก่อนบำรุง
ในระหว่างการรักษาสิว อย่าเพิ่งคิดบำรุงผิวในช่วงนี้ แต่ให้หันมารักษาสิวให้หายก่อน โดยควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส โคโค่บัตเตอร์ เปปเปอร์มินต์ออยล์ เพราะตอนที่เราเป็นสิว ผิวจะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ยิ่งพวกครีมเนื้อหนัก ๆ เก็บเข้ากรุไปก่อน ถ้าไม่อยากให้อุดตันรูขุมขนมากขึ้น ทั้งนี้หากต้องการบำรุงผิวบ้าง สำหรับคนผิวแห้ง อาจเลือกใช้เจลว่านหางจระเข้มาเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ แต่สำหรับคนผิวมันเลือกชนิดที่เป็นเจล หรือเซรั่มเบา ๆ แบบที่ไม่เหนียว ถ้าเขียนว่า oil free ได้ยิ่งดี
ใครที่เคยซื้อยารักษาสิวมากินหรือทาเอง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่สิวไม่หาย เพราะเชื้อเกิดดื้อยา ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอผิวหนังก่อนนะคะ ที่สำคัญต้องอย่าใจร้อน พร้อมกับลองเอาข้อแนะนำข้างต้นไปปรับใช้ แล้วผิวหน้าใส ๆ ก็จะเป็นของเราได้ในอีกไม่นานเกินรอ
ข้อมูลจาก : หมอยุ้ย เพจ Dr. Yui คุยทุกเรื่องผิว, med.mahidol.ac.th