
ใครจะคิดว่าจากอัลบั้มชุดแรกที่ทะลุล้าน กับคอนเสิร์ตยาวลากมาถึง 2 ปี พอมาถึงอัลบั้มที่ 2 ปุ๊บ ?
เป็นไปได้ยังไง กำลังทำเงินให้ค่ายเป็นหลาย ๆ ล้าน แล้วทำไมถึงปิด ?
กิ๊ฟท์ : จริง ๆ ศิลปินก็เยอะด้วย แล้วตอนนั้นศิลปินหลายคนก็โด่งดัง
จอย : มันไม่ใช่ความรู้สึกแค่ ที-สเกิ๊ต ว่ามันเป็นไปได้ยังไง มันเป็นความรู้สึกของคนทั้งค่าย กระทั่งทีมงานทุก ๆ คน ก็ช็อกไปเหมือนกัน มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเราจะทำอะไรกันต่อ เราจะเดินไปไหนต่อ แล้วงานที่ค้างอยู่ล่ะ
เพราะว่ามันไม่มีแววเลย ?
เรางงไหมว่าเราจะไปกันยังไงต่อ ?
กิ๊ฟท์ : ทุกคนเป็นหมดค่ะ ต้องบอกว่าด้วยตัวศิลปินเองในคีตาและก็พี่ ๆ ทีมงานทุกคน คือมันเป็นบริษัทที่เล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าด้วยความที่มันเป็นองค์กรเล็ก ๆ เราก็จะสนิทกันเหมือนครอบครัว เหมือนพี่น้องเจอกันบ่อย ๆ
กิ๊ฟท์ : เพราะฉะนั้นทุกคนก็แบบเสียใจ เฟล ช็อก
จอย : แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่ทราบ เราไม่ทราบถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องปิด แต่ที่รู้ ๆ ก็คือว่าทุกคนเนี่ยเจ็บ เหมือนกับว่า เฮ้ย...เราตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป มันเป็นอะไรที่ไวและก็จบเร็วมาก
ซึ่งตอนนั้นก็บอกตรง ๆ ว่าเราก็ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เกิดขึ้น เมื่อวานเราเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่อยู่ดี ๆ เหมือนกับว่าเราไม่มีบ้านแล้ว ?

ก็แปลว่าการที่วันนั้นคีตาจบลง เหมือนกับเราก็หยุดเส้นทางในวงการบันเทิงกันไหม ?
มาร์ : เราก็แยกย้ายไปทำในสิ่งที่เรามองว่าอันนี้แหละน่าจะเป็นเส้นทางของเราที่เราจะต้องเดินคนเดียว ตอนนั้นมาร์จำได้ พอคีตาปิดก็มีงานละครติดต่อเข้ามาเลย แต่เป็นงานของอีกค่ายหนึ่ง ซึ่งช่วงนั้นก็ถ่ายละครทั้งสัปดาห์ 2-3 เรื่องก็ถ่ายละครอย่างเดียวเลย บางทีเราก็รู้สึกว่าถ่ายละครแล้วมันก็แบบ ถามว่าสนุกไหม มันก็สนุก แต่มันไม่สนุกเท่ากับการร้องพลง
จอย : ตอนนั้นก็กลับไปเรียนเลยค่ะ เพราะว่าเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 พอดี แล้วก็เลยรู้สึกว่าการเรียนเนี่ยแหละ ถูกปลูกฝังมาว่าการศึกษาเนี่ย มันจะช่วยเราต่อยอดได้ในอนาคต ถ้าเราไม่มีการศึกษา เราก็จะทำอะไรไม่ได้ ต้องเรียนให้จบ คิดแค่นี้ และก็ไปเรียน ระหว่างที่เรียนเลยเจอทาง เพราะว่าเราเรียนเกี่ยวกับเรื่องศิลปกรรมศาสตร์อะไรพวกนี้ มันเลยทำให้เราได้มาทำงานต่อเนื่องเกี่ยวกับเบื้องหลังบันเทิง จนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้จอยเป็นแคสติ้งไดเรกเตอร์ เป็นแอ็คติ้งโค้ช เมื่อก่อนก็เป็นพนักงานประจำอยู่ที่บริษัท ฟีโนมีนา ทำร่วมกับคุณต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ที่เป็นผู้กำกับ ชีวิตก็ยังอยู่ในวงการนะคะ แต่ผันตัวเองไปอยู่เบื้องหลัง ไม่กล้าอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ
ใช้คำว่าไม่กล้าเลยเหรอ ?
ถึงขนาดที่คนนี้เปลี่ยนลุคให้คนจำไม่ได้ว่านี่คือ จอย ที-สเกิ๊ต ?
จอย : ใช่ บางทีจอยรำคาญกับการต้องมานั่งตอบคำถามอะ มันเหมือนอกหัก มันเหมือนแบบพ่อแม่เราทะเลาะกันแล้วบ้านแตกอะ แล้วก็ถ้าเกิดเราต้องมาตอบอะไรซ้ำ ๆ เราก็เจ็บเหมือนกัน
มาร์ : ใช่ แล้วอีกอย่างมันเป็นคำตอบที่มันไม่เคลียร์กับตัวพวกเราเองด้วย มันเพราะอะไรกันแน่ อย่างนี้ค่ะ
จอย : จอยเลยแบบว่า จัดฟัน เพราะว่าสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดคือ เรามีเขี้ยวกันทั้ง 3 คน ช่วงนั้นจัดฟันกำลังฮิตก็เลยไปจัดด้วย ก็คิดว่าคนคงจำไม่ได้ ก็ยังจำได้ มันเป็นความคิดแบบเด็ก ๆ วัยรุ่นอะค่ะตอนนั้น
กิ๊ฟท์ : ของกิ๊ฟท์ก็จริง ๆ แล้วก็ไปเล่นละครอย่างเต็มตัวค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วตัวเองเล่นละครมาตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วก็ในระหว่างนั้นเนี่ย แม้ว่าจะออกเทปเอง ตัวเองก็เล่นละครมาตลอด เล่นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ นางเอกบ้าง นางร้ายบ้างก็สลับกันไป ก็เป็นละครอย่างเต็มตัว เพราะมาทางละครตั้งแต่เด็ก
แม้ว่าในปัจจุบันนี้ วง ที-สเกิ๊ต จะกลายเป็นอดีตแล้ว แต่ถ้ามีคิวว่างตรงกันทั้ง 3 คน ก็ยังรวมตัวออกอีเวนต์อยู่ตลอด ๆ และตอนนี้ทุกคนก็เป็นคุณแม่ยังสาวและสวยกันหมดแล้ว และถ้าใครคิดถึง 3 สาว อยากจะย้อนไปยังวันวานที่ยังโด่งดัง และติดตามว่าทั้ง 3 สาว ทำธุรกิจอะไรอยู่บ้าง ก็ตามไปชมแบบย้อนหลังได้ในรายการ ต้มยำอมรินทร์

