ยุคนั้นดังมาก ดังระดับไหน ?
โรสแมรี่ : เราไม่คิดว่าจะดังมาก แต่มันขึ้นอันดับ 1 ฮอตเวฟ ก็เลยคิดว่ามันน่าจะดังมั้ง เพราะตอนนั้นฮอตเวฟเป็นคลื่นที่วัยรุ่นฟังเยอะที่สุด คอนเสิร์ตก็เยอะ โรสทำงานจนไม่รู้ว่าทำงานเยอะขนาดไหน มีไปทัวร์ทั่วเลย
รายได้เป็นยังไงกับการเป็นนักร้องสมัยนั้น ?
โรสแมรี่ : ไม่ได้นับเลย ยังเด็กมาก รายได้เยอะประมาณหนึ่ง
ทำให้ตั้งตัวได้ มีเงินเก็บไหม ?
โรสแมรี่ : มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ก็คือได้รถมาคันหนึ่ง ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ เป็นรถคู่ใจ ยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ตอนแรกว่าจะเปลี่ยน แต่นั่นแหละมีจุดหักเหนิดหนึ่ง
จุดหักเหเกิดอะไรขึ้น ?
โรสแมรี่ : ก็ตอนที่มีน้องนี่แหละค่ะ ตอนนั้นกำลังมีวง จากรายได้ที่ไม่เยอะมาก ก็เป็นวงที่มีรายได้เยอะ เดือนนึงก็เยอะ กำลังจะดีไปได้สวย แล้วน้องมาพอดี เป็นจุดที่เราต้องเลือก คุณพ่อเขาไม่พร้อม เราก็ต้องเลือกว่าจะเอาน้องไว้หรือไม่เอาน้องไว้ ทุกคนที่วงรู้หมด
ณ วันที่รู้ว่าท้อง และตัดสินใจว่าจะเอาไว้หรือไม่เอาไว้ อะไรมากกว่ากัน ?
โรสแมรี่ : เอาไว้มากกว่า แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราเอาเขาไว้ เราจะเอาอะไรกินกัน 2 คน เราจะฝากท้องยังไง ช่วงทำงานไม่ได้เราจะเอาเงินที่ไหนซื้อนม มันอยู่ในหัวเต็มไปหมด โรสเดินตั้งแต่พระราม 3 ไปจนถึงถนนจันทน์ สี่พระยา ค่อย ๆ เดินแล้วคิด เพราะพอยต์แรกพอรู้ว่ามีน้อง คิดร้ายไว้ก่อนว่าถ้าเขาไม่รับล่ะ เพราะเป็นนักดนตรีเหมือนกันด้วย คิดแย่ ๆ ไว้ก่อนว่าเราจะทำยังไงดี
ณ วันที่เราบอกเขา ?
โรสแมรี่ : เขาอึ้งและช็อกไป เขาก็บอกว่ายังไม่ได้มั่นคงเลย และเขาก็ไม่พร้อม เราได้ยินแบบนี้ก็อ้าว แล้วยังไง คืออะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักโรสนะ โรสอยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเหรอ อยากแต่งงานกับคนไม่รักเหรอ คำตอบนี้ก็ทำให้เราตัดเลย เพราะมันไม่มีคำถามแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงบางคนอาจจะทำไมเธอไม่รักฉัน แต่โรสไม่รักก็คือจบ ไม่มีคำพูดอะไรต่อ
ตอนคลอดลูกมีไปทำงานโรงแรม ?
โรสแมรี่ : จุดหักเหคือเพื่อนที่รู้จักเป็นเจ้าของโรงแรมที่จังหวัดหนึ่ง แล้วโรสไปเจอเขาพอดี ก็เลยบอกเขาว่าฉันท้อง จริง ๆ ตอนนั้นไม่กล้าบอกใคร เพิ่งรู้ว่าท้อง เขาก็ถามว่าจะยังไง จะเก็บน้องไว้ไหม ถ้าเก็บไว้จะช่วย แต่ก็ต้องตัดที่นี่ทิ้งทุกอย่างเลยนะ ตอนนั้นพ่อโรสไปร้องเพลงที่โรงแรมเขาด้วย เขาบอกจะทำห้องพักให้ที่ข้างหลังเป็นห้องพักพนักงาน จะติดแอร์ติดอะไรให้สบาย ให้ไปอยู่ที่โน่น ทิ้งที่นี่ซะ แล้วไปอยู่ที่โน่น ก็กินในโรงแรม เรื่องคลอดน้องเดี๋ยวจะดูแลให้ เราก็ตัดสินใจว่าเลือกน้อง ชีวิตเปลี่ยนเลย แล้วก็เริ่มทำอะไรไม่ได้ เพราะท้องโตแล้ว ก็กินนอน ๆ
เห็นว่าตอนทำงานโรงแรม โดนนินทา เพื่อนร่วมงานไม่โอเค ?
โรสแมรี่ : ทีแรกเพื่อนที่ช่วยเป็นเพื่อนที่รู้จักมานาน 10 ปี เขากลับจากเมืองนอก ดีกับเรามาก แล้วอยู่ดี ๆ วันหนึ่งเขาก็เปลี่ยนไป ทุกคนในโรงแรมไม่คุยกับเราเลย เหมือนกดดัน ตอนนั้นน้องน่าจะ 1 ขวบ แล้วก็พูดกดดันว่าพ่อแก่แล้วเมื่อไหร่จะให้พ่อเลิกร้องเพลง พ่อเขาก็คิดมาก ตอนนั้นพ่อน่าสงสารมาก ขนาดตี 4 เขาจะอยู่กับเพื่อนอีกห้องหนึ่ง บอกว่าให้มาดูพ่อหน่อย พ่อเขาฉี่ราดรดกางเกงแล้วนะ แล้วใส่รองเท้าจะไปทำงาน เหมือนเขาคิดมาก เขากลัวจะไม่ได้ทำงาน คิดมากกลัวเราจะลำบาก เพราะทำงาน 2 คนเงินก็ไม่ได้เยอะอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้ให้เงินเดือนเยอะเลย แล้วพออาชีพโรงแรม คนนั้นก็พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พอเราตอบโต้ไป สุดท้ายกลายเป็นเราเป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมด ทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนเริ่มเลย เพื่อนเราก็หูเบา เชื่อเขา ทุกอย่างก็กลายเป็นว่าไม่มีใครคุยกับเรา จากที่ไหว้เรา ทุกคนมองเราเอาง่าย ๆ เหมือนสุนัขตัวหนึ่งเลย
ต้องไปกินข้าวหลังโรงแรมคนเดียว ?
โรสแมรี่ : ใช่ ตอนแรกที่เขาตกลงไว้ โรสกินข้าวได้นะ วันละ 200 หรือกินเกินก็ให้บอกเรา เซ็นเอาไว้ เพราะเป็นของเราให้โรสนะ ค่าจ้างพี่เลี้ยงดูแลโรสเราจะจ่ายให้นะ เขาก็มาดูแลทุ่มนึงตอนโรสไม่อยู่ โรสร้องเพลงเสร็จ 3 ทุ่มก็กลับ แล้วเขาก็บอกว่าเขาดูแลเรื่องค่าพี่เลี้ยงให้ไม่ได้แล้วนะ เราก็ถามว่าจะทำยังไง ต้องอุ้มลูกไปเหรอ เขาก็บอกว่าแล้วแต่จะคิดแล้วกัน เรื่องข้าวที่โรงแรมก็ไม่ให้กินแล้วนะ แล้วเราจะกินยังไง ในเมื่อเงินเดือนเราก็น้อย ตอนนั้นงงมาก ก็เลยต้องไปกินที่พนักงานเขากินกัน อาหารลูกค้าที่เก็บใส่ตู้ที่พอจะยังเหลืออยู่ จะมีอาหารพนักงาน อาหารดี ๆ อย่างปลา บางทีเราเห็นเขากินกันก่อน เพราะเราร้องเพลงเสร็จคนสุดท้าย เราก็เอาเศษที่เหลือมากิน บางทีมีแต่น้ำซุปก็ต้องกิน
นั่งกินอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครคุยด้วยเลย เป็นความกดดันอยู่อย่างนั้นหลายเดือนมาก เขาพยายามบีบให้เราออก แต่เราไม่มีทางออก เพราะเราไม่มีบ้าน ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่เลย แล้วเราต้องหอบทั้งพ่อ ทั้งลูก ทั้งหมา กลับมา ลูกก็เล็ก แล้วจะทำงานประจำยังไง อายุขนาดนี้แล้วไม่เคยทำงานประจำ เป็นนักร้องมาตลอด ซึ่งเพื่อนก็รู้ว่าเราลำบาก กลับบ้านก็มีช่วงหนึ่งที่เราโฮออกมาเลย กวาดบ้านอยู่แล้วออกมาหมดเลย มันอัดอั้น เราไม่เข้าใจว่าคนเหล่านั้นเอาอะไรมาวัดว่าวันหนึ่งจะไหว้เพราะเราเป็นเพื่อนเจ้าของ แต่พอวันหนึ่งเราโดนบีบ ทำกับเราเหมือนไม่ใช่คน เรารู้สึกว่าคุณรู้จักเราแค่ไหน มองค่าความเป็นคนเราขนาดไหนถึงทำแบบนี้
จุดเปลี่ยนที่ตัดสินใจออกจากตรงนั้น ?
โรสแมรี่ : มันไม่มีจุดเปลี่ยน โรสทำอะไรไม่ได้เลย ต้องอยู่อย่างนั้นไปสักพักหนึ่ง แต่มันแย่มากตรงเดินเข้าไปในบ้านแล้วเห็นลูกตัวเล็ก ๆ เขาเพิ่งเดิน เราผูกพันกันมาก ตั้งแต่ในท้อง พอเราร้องไห้เขาก็เดินเตาะแตะ ๆ มา เราก็ร้องไห้เยอะมาก แล้วหมาก็มานอนตัก น้องก็เดินไปเหมือนคุ้ยตะกร้า ลากผ้าเช็ดตัวมาผืนหนึ่งแล้วเอามาซับน้ำตาให้เรา คราวนี้เราร้องหนักเลย คือเด็กเขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นอะไร แต่เขารู้ว่าเวลาเขาร้องไห้ เราซับน้ำตาให้เขา พอเราร้องเขาก็มาซับให้เรา โดยที่เขาพูดไม่ได้ มากอดเรา เราก็ยิ่งแบบ ทำไมคนพวกนี้ใจร้ายจังเลย ทำกับเราไม่เป็นไรนะ แต่การที่เราได้เห็นพ่อเราเอ๋อ จิตตกไปเลย วูบไปเลย ลูกต้องมาอยู่สภาพแบบนี้ คุณจะทำยังไงก็ได้ แต่กับคนแก่กับเด็กน่าจะมีน้ำใจหน่อยนะ
แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร ?
โรสแมรี่ : เขาบอกว่าเราเป็นตัวทำให้โรงแรมแตกแยกกัน ความรู้สึกมันแย่มาก
เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ?
โรสแมรี่ : โรสว่ามันน่าจะนานแล้ว ตั้งแต่เด็กด้วย ตอนเด็กชีวิตเราก็ไม่ได้ดีเหมือนกัน โรสว่ามันมาออกตอนที่พ่อเสีย หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็เริ่มเอ๋อ น็อกไปรอบหนึ่ง ขาดออกซิเจนไป 4 นาที แล้วก็เอ๋อ กลับมากรุงเทพฯ ก็หาบ้านไม่เจอ ไปนั่งอยู่ในบ้านใครก็ไม่รู้ แล้วมีคนโทร. หาบอกว่านี่พ่อพี่มาเดินอยู่ถนนจันทน์ เคาะทุกบ้านเลยว่าโรสอยู่ไหม โรสก็ไปรับ เขานั่งเหมือนเด็ก ๆ ถือถุงไก่ถุงหนึ่งเอามาให้หมา เราก็แบบป๊ากลับเถอะ เขาก็ไม่กลับ นั่งเหมือนเด็ก อีกวันหนึ่งก็จำทุกอย่างได้ เหมือนเป็นชอต ๆ ไป ถามว่าเราโกรธไหม เราโกรธนะ เพราะทำกับพ่อเรา
เคยคิดฆ่าตัวตายด้วย ?
โรสแมรี่ : เคยคิดนะ ถ้าเดินมาแล้วเห็นเราห้อยต่องแต่ง 3 ชีวิตจะสะใจไหม แต่เราเห็นหน้าลูกเขาบริสุทธิ์เกินไป เราทนเห็นลูกเจ็บไม่ได้ แค่คิดเราก็ไม่ ๆ เคยคิดว่าถ้าต้องเหมือนในข่าว เอายาให้ลูกกิน ชักดิ้นชักงอ เราต้องกินทีหลัง เห็นอย่างนั้นเราทำใจไม่ได้ เราเห็นภาพนี้ไม่ได้ แล้วคนที่รักเราต้องมาเห็นภาพนี้จะรู้สึกผิด รู้สึกแย่ขนาดไหน ต้องเป็นโศกนาฏกรรมอะ
เราเป็นโรคซึมเศร้า ไปหาหมอไหม ?
โรสแมรี่ : หาหมอ เราเป็นนั่นแหละ แต่เราคิดว่าเราโอเค เรามองโลกแง่ดีได้ แต่ว่ามันออกมาทางกาย คือเริ่มหายใจไม่ออก หัวใจเต้นผิดปกติ ก็คิดว่าเฮ้ย ฉันกำลังจะหัวใจวาย แล้วมีข่าวคนนั้นตายหัวใจวายเฉียบพลัน ก็คิดว่าฉันกำลังจะตาย ฉันหายใจไม่ออก ข้างในมวนท้องไปหมด ก็เลยเขียนจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ฝากไว้ให้ใครที่ดูแลลูกให้ช่วยเขาเรียนให้จบจนโต แล้วก็ฝากให้เขาอย่าไปตกในมือใคร เพราะเขาไม่มีใครเซ็นรับเป็นพ่อ ก็กลัวว่าเขาจะไปตกที่บ้านเด็ก ก็เขียนว่ารักลูกนะ ถ้าไม่ได้เจอหน้ากัน
ที่เขียนไว้จะฝากลูกไว้กับใคร ?
โรสแมรี่ : พี่ในวงการคนหนึ่งที่สนิทกัน ก็ฝากเบอร์ทิ้งไว้ แล้วเขียนถึงลูก
สุดท้ายไปหาหมอและกินยา ?
โรสแมรี่ : ก็รีบไปหาหมอ หมอก็รีบเช็กคลื่นหัวใจ เช็กเลือด เช็กความดัน หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรนะ ไม่มีความดัน ไม่มีน้ำตาลในเลือด หัวใจก็เต้นปกติ เราก็บอกว่าไม่ ๆ หมอ หนูจะตายจริง ๆ มันหายใจไม่ออกจริง ๆ มันบีบรัด เขาก็ตรวจให้อีกรอบ แต่ก็ไม่เป็นอะไร เขาก็บอกว่าแพนิก ซึมเศร้า พรุ่งนี้พบจิตแพทย์เลยแล้วกัน เราก็โอเค ก็ไปพบแพทย์และกินยา
น้องพีเจ อยู่ในรายการด้วย ตอนนี้เป็นดาราเด็ก ?
น้องพีเจ : ตอนนี้ 8 ขวบครับ อยู่ชั้น ป.2/4 ตอนนี้ถ่ายโฆษณานมคาร์เนชั่น โอเมก้า 11 ชอบทำงานในวงการครับ ชอบแอ็คติ้งครับ เล่นเป็นคุณหมอครับ
เรียนหนังสือเก่งไหมครับ ?
น้องพีเจ : เก่งครับ
โรสแมรี่ : เรียนได้เกรด 3.86
พูดได้หลายภาษาด้วย ?
น้องพีเจ : ครับ
โรสแมรี่ : หนังในเน็ตฟลิกซ์เขาอ่านชื่อหนังได้ทุกเรื่อง เราถามว่ารู้ได้ยังไง เขาบอกว่าเขารู้เอง ภาษาจีนก็ได้
น้องพีเจ : ในโรงเรียนมีวิชาภาษาจีนครับ คุณครูสอนให้
ชอบวิชาอะไรที่สุด ?
น้องพีเจ : วิทยาศาสตร์และสังคมครับ
โตขึ้นอยากเป็นคุณหมอ ?
น้องพีเจ : ใช่ครับ
โรสแมรี่ : ไม่ใช่อะ อยากเป็นเกมเมอร์ (หัวเราะ)
เขาให้กำลังใจเรายังไง ?
โรสแมรี่ : เยอะแยะ คุณแม่เจ็บตรงนั้นตรงนี้เหรอ รอยข่วนเป็นยังไง กินยาหรือยัง
รักคุณแม่มากแค่ไหน ?
น้องพีเจ : มาก ๆ เลยครับ
หนูดื้อไหมกับคุณแม่ ?
น้องพีเจ : 50 เปอร์เซ็นต์ อีก 50 เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กดี 20 เปอร์เซ็นต์ (หัวเราะ)
ทุกวันนี้อยู่กัน 2 คน ?
โรสแมรี่ : 2 คนค่ะ 2 มานานแล้ว ไม่มีใครเข้ามาด้วย เราก็ไม่มีใครด้วย
ทุกวันนี้เช่าบ้านอยู่ ?
โรสแมรี่ : ใช่
โพสต์ที่ขอบริจาคอาหาร ?
โรสแมรี่ : โพสต์นั้นนานแล้วตอน 6 เดือน ตอนนั้นช่วงโควิด ตกงานระนาว
น้องพีเจ : ตกงานเสียใจ
โรสแมรี่ : แต่มีคนให้ของเต็มเลยนะ เขาก็เอาไปให้คนอื่นต่อด้วย ให้คนพิการซ้ำซ้อน
น้องพีเจ : สงสารครับ
โรสแมรี่ : ถ้าวันหนึ่งพีเจมีเงิน จะเอาเงินไปทำอะไรครับ
น้องพีเจ : ให้เงินช่วยคนด้วยครับ
ถ้าใครอยากติดต่องานละคร โฆษณาติดต่อได้เลย ?
น้องพีเจ : ได้เลยครับ 095-4466-595 ครับ
หลังจากแยกทางกับคุณพ่อน้อง ได้ติดต่อให้ความช่วยเหลือลูกบ้างไหม ?
โรสแมรี่ : ตั้งแต่ท้อง โรสถือว่า 50 เปอร์เซ็นต์ความผิดเรา ครึ่งหนึ่งก็คือเขา เพราะเราไม่ได้ทำเรื่องนี้คนเดียว ถ้าจะพลาดคือพลาดทั้งคู่ ในเมื่อ 50 เปอร์เซ็นต์เขาไม่รับ โรสก็รับมาเองและดูแลเขา และเขาก็พูดว่าไม่มีทาง เธออยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน โรสก็เลยเก็บข้าวของทิ้งทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่ไปต่างจังหวัดเลย และไม่เจอกันอีกเลย 3 ปี ไม่ได้คุยไม่ได้อะไร และไม่มีร้องไห้ ตัดเพื่อไปต่อ ลูกอยู่ในท้อง ถ้าโรสต้องมานั่งคิดว่าเขาจะกลับมาไหม มันจะใช้ชีวิตยากขึ้น ไม่ใช่เข้มแข็งนะ แต่ถ้าไม่ตัดก็จะเรื้อรังอยู่อย่างนั้น คำว่าไม่รักมันจบนะ
มีการช่วยเหลือลูกบ้างไหม ?
โรสแมรี่ : เขาเพิ่งเจอลูกตอน 3 ขวบ โรสเพิ่งย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนน้อง 3 ขวบ เขาก็มาและถามว่าเรากลับมากรุงเทพฯ แล้วเหรอ ขอไปเจอลูกได้ไหม ขอไปกราบขอโทษได้ไหมกับเรื่องที่ผ่านมา เขาไม่กล้าโทร. มาเพราะเห็นเราหายไปเลย ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เราก็บอกว่าไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องอะไรเลย เป็นสิทธิ์ของลูกกับเธอ เขาเป็นสายเลือดเธอ เราไม่มีสิทธิ์ห้ามเธอกับลูกเจอกัน ส่วนเรื่องเราก็เป็นคนอื่นไปแล้ว เรื่องขอโทษไม่ต้องเลย เธอก็เข้ามาและหาลูกได้เลย
เขาเจอกันแล้วเป็นยังไง ?
โรสแมรี่ : พอบอกว่าคนนี้แด๊ดดี้ เขาก็กอด ไม่ได้เคอะเขินอะไร พีเจเป็นคนไนซ์ อ่อนโยนมาก ก็กอด ดีใจ
หลังเจอกันตอน 3 ขวบ ตอนนี้ได้เจอกันไหม ?
โรสแมรี่ : ไม่ได้เจอแล้ว เพราะทางโน้นเขามีน้อง ทางแฟนเขาก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ที่จะมาให้เจอ
น้องพีเจเคยถามถึงคุณพ่อไหม ?
โรสแมรี่ : ก็ถาม เราก็บอกว่าพ่อไปทำงานไกล เขารักพ่อเขามากนะ พ่อเป็นฮีโร่ของเขาเลย โรสไม่อยากสร้างแผลให้ลูก ให้เขาโตไปแบบนั้นดีกว่า จนกว่าวันหนึ่งที่เขาโตและเข้าใจอะไร โรสว่าธรรมชาติจะบอกให้เขารู้เอง ในเมื่อความผูกพันมันไม่มี คนสูญเสียไม่ใช่พีเจ น่าจะเป็นเขามากกว่า
ค่าใช้จ่ายเขาได้ช่วยเหลือไหม ?
โรสแมรี่ : ตอนแรกก็มี แต่หลัง ๆ ก็น้อยลง เขาบอกว่าเป็นนักดนตรี ติดโควิดก็ช่วยไม่ได้ ตอนหลังไม่ได้พูดก็ไม่ได้ทวงอะไร อยากช่วยเท่าไหนก็เท่านั้นแล้วกัน เพราะเบอร์บัญชีก็อยู่ตรงนั้น
ทุกวันนี้ทำงานอะไร ?
โรสแมรี่ : ไม่มีงานทำเลย แต่มีอีเวนต์บ้าง น้องเพิ่งไปถ่ายละครมา ก็มีงานนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นซีนเล็ก ๆ ไม่ได้เงินเยอะ ส่วนงานโฆษณาที่ไปแคสต์เป็นเงินก้อนใหญ่ ๆ ก็หลุดหลายงาน เพราะเด็กเยอะมากในตอนนี้ ก็ช่วย ๆ กัน โรสก็ไปแคสต์เป็นเอ็กซ์ตร้า บทคุณป้า รับหมด หลักร้อย ป้าข้างบ้านบอกว่า โรส พอดีป้าไม่มีรถ มีคนสั่งออร์เดอร์มา เดี๋ยวให้ค่าน้ำมัน เอาไหม หลักร้อย เราก็โอเค ทำทุกอย่าง แต่ทำทุกอย่างในกฎที่ต้องได้ดูแลลูกด้วย เพราะเด็ก 1-10 ขวบ เขาต้องการแม่ที่สุด ต้องการความใกล้ชิดเพื่อสร้างความมั่นใจในอนาคต
อีกหน่อยเขาก็ไปอยู่กับเพื่อนแล้ว ให้โรสมีเงินเป็นร้อยล้าน ก้มหน้าทำงานก็ไม่ได้ภูมิใจ เพราะซื้อช่วงเวลาเขาอายุ 1-8 ขวบไม่ได้ โรสคิดว่าโรสคิดดีแล้วที่จะอยู่กับลูก คนก็หาว่าทำไมขี้เกียจ ทำไมไม่ทำงานประจำ จ้างคนมาอยู่กับลูก แต่เวลาที่เสียไปกับการเติบโตเขาที่เราไม่ได้เห็น เราจะเสียดายไปตลอดชีวิต ฉะนั้นเราอยู่เป็นกำลังใจให้เขาเถอะ เพราะตอนเล็ก ๆ โรสขาดมาก โรสรู้ว่ามันขาดความมั่นใจ มันสูญเสีย โรสรู้ว่าอยู่คนเดียวเป็นยังไง ก็กอดเขา รักเขา มันสำคัญ ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกขาด รู้สึกว่าได้เยอะเกินไปด้วยซ้ำ
ช่วงเวลาลูกเรียนล่ะ ?
โรสแมรี่ : ทำงานบ้าน ตอนแรกขายสบู่ ขายน้ำพริก แต่งานออนไลน์ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ ค่าโฆษณาก็มี ไม่ใช่ทุกคนทำแล้วจะรวย บางคนโดนสต็อกของ มันไม่ได้ง่าย ล่าสุดที่โรสบ่นไปว่าค่าเรียนพิเศษลูก ค่าโน่นค่านี่มาอีกแล้ว เดี๋ยวค่าน้ำมา เดี๋ยวหนี้มาอีกแล้ว มันเหมือนเดือนชนเดือนทุกเดือน เหมือนปืนจ่อหัว มันเหนื่อย โรสบ่นไปแต่ไม่ได้ขออะไรนะ แต่อาทิตย์นั้นเจแทบไม่ได้ไปเรียนเลย เป็นภูมิแพ้ บ่นเฉย ๆ ทุกคนอาจเห็นว่าเธอดูมีความสุขดี ไปโน่นไปนี่ ชีวิตดูมีเงิน แฮปปี้ แล้วใครจะมานั่งร้องไห้โพสต์เฟซบุ๊กให้คนอื่นเห็นว่าฉันเศร้า แต่ก็มีบางทีที่ปรี๊ด เรามีลูกคนเดียว แล้วเราจะไประบายที่ไหนได้ สิ่งเดียวที่มีคือเฟซบุ๊ก ก็มีหลายคนที่โพสต์ว่าตัวเองเป็นอะไร แล้วก็ได้รับกำลังใจ เป็นที่เดียวที่เราลงได้
ถ้าลูกโตแล้วลูกถามถึงพ่อ เคยคิดไหมจะมีช่วงอายุหนึ่งที่ต้องเล่าความจริงให้ลูกฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
โรสแมรี่ : ตอนนี้เขาก็ถาม เราก็บอกว่าบางทีคนเราเรื่องความสัมพันธ์มันซับซ้อน บางทีคนก็เลิกกัน แม่เลิกกับแด๊ดดี้เป็นเพื่อนกันได้ แต่เขารักพีเจแบบลูก มันไม่เหมือนกัน หรืออยากให้เราอยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะกัน พีเจอยากเห็นอย่างนั้นไหม เขาก็ไม่อยากเห็นเหมือนกัน ก็พยายามใส่ให้เขาว่าในโลกนี้มีบ้านที่แตกหัก ดีกว่าครอบครัวที่อยู่ด้วยกันแต่ลึก ๆ แล้วทะเลาะกันแทบตาย ซึ่งอย่างนี้ก็อาจจะดีกว่าก็ได้ ในความไม่สมบูรณ์แบบก็อาจจะสมบูรณ์แบบในตัวมันเอง
ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ มีอาการที่เรารู้สึกว่ามีอาการที่โรคซึมเศร้ากำเริบไหม ?
โรสแมรี่ : มี มันเหนื่อย เหมือนเรายิ่งพยายามแต่ยิ่งไม่ได้ คนบอกว่าพยายามไม่พอ อะไรคือความพยายามไม่พอ โรสไม่มีเส้นสายอะไรเลย โทร. ไปของาน พยายามไปหางานทำ ทุกคนจะรู้เหรอว่าโรสทำอะไร เขาบอกว่าเราพยายามไม่พอ คุณมีโอกาสทำไมไม่ยื่นงานให้เรา เราก็ทำได้ เราทำอะไรก็ได้ ให้ช่วยเราหน่อย แต่จะให้เราไปตอกบัตรทำงานประจำเราทำไม่ได้ เรามีลูก เราจะจ้างพี่เลี้ยงคนหนึ่งมานั่งดูแลลูกต้องได้เงินเดือนเท่าไหร่ แล้วอายุขนาดนี้ใครจะมาจ้างเงินเดือน 5-6 หมื่น เป็นแสน เป็นไปไม่ได้ เราร้องเพลงได้เราก็ร้องเพลง บางทีเราได้เงินหลักร้อยก็มีนะ แต่เราก็รับ โรสไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนักร้องต้องได้เงินเยอะ ๆ มากกว่าคนอื่น
ตอนไปร้องเพลง ลูกอยู่กับใคร ?
โรสแมรี่ : ลูกไปด้วย ไม่ได้รับงานดึกมาก แค่ 5 ทุ่ม เขาก็ตื่นสาย 7 โมงได้ เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน ไปนาทีนึงก็ถึง
ถ้าคนจะหยิบยื่นโอกาสให้ โรสทำอะไรได้บ้าง ?
โรสแมรี่ : โรสทำได้ทุกอย่าง อยากทำอยู่ในวงการเพราะเป็นช่วงเวลาที่สั้น ๆ และก็ได้เงิน อย่างพีเจเขาก็ทำงานได้ ถ้าน้องได้ทำเขาก็อยากช่วย เป็นประสบการณ์ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็หยิบยื่นมาให้เราได้ เพราะเงินทุกอย่างตอนนี้ก็เป็นของเขา โรสก็โตจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เราไม่ได้ปาร์ตี้ ไปเที่ยว แต่งตัวแล้ว ตอนนี้ก็ลูกทั้งนั้น จะกินอะไรสักอย่างก็คิดถึงลูก รอลูกมากินด้วย กินคนเดียวไม่สนุกแล้ว ก็อยากให้ช่วย ถ้ามีงานก็เรียกได้ เป็นเอ็กซ์ตร้า เป็นป้าอะไรก็ได้หมด เราแสดงได้ ร้องเพลงได้ เบื้องหลังก็ได้ ให้ไปดูแลอะไรก็ได้ จะไปเสิร์ฟน้ำก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ขอให้แค่ได้ทำงาน