เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก สำหรับคุณพ่อหุ่นล่ำ จิม เจจินตัย อันติมานนท์ ที่มีลูกสาวน่ารัก น่าเอ็นดู ที่กลายเป็นขวัญใจทุกคนที่ได้เห็น แถมยังมีแฟนคลับติดตามดูความน่ารักของ น้องพลอยเจ มากมาย ซึ่ง คุณพ่อเจจินตัย ที่ได้มารายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยว่ารู้สึกตัวเองโชคดีมากเพราะมีลูกเป็นอภิชาตบุตร เพราะทุกคนพอเอ็นดูลูกก็จะนึกถึงเรา ยอมรับทุกวันนี้กลับมามีชื่อเสียงได้เพราะลูก ส่วนจะมีคนที่สองหรือไม่นั้นทุกอย่างให้ภรรยาเป็นคนตัดสินใจ ส่วนตัวได้วางแพลนอำลาวงการแล้วย้ายพาครอบครัวไปอยู่อเมริกา
เจจินตัย : ช่วงที่มาปรับเปลี่ยนร่างกายด้วยการออกกำลังกาย เพราะเรารู้สึกว่าเราปาร์ตี้หนักมา 20 ปีแล้วเรารู้สึกอิ่มตัว มันสนุกจนเบื่อ แล้วก็เราก็เป็นคนที่ออกกำลังกายมานานแล้ว บวกกับการดื่มเหล้ามาก เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีเทรนเนอร์ พอมีรู้สึกเหมือนมีครูเลย และรู้สึกถึงการเปลี่ยนเร็วมาก 6 เดือนคือ เขาสอนวินัยเรื่องการกินอาหาร และรูปร่างเราเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เพราะเราเป็นคนไม่มีตรงกลางไม่ทำคือไม่ทำ แต่ถ้าทำคือตั้งใจทำมาก ๆ
แล้วคือ ช่วงที่จริงจังกับการออกกำลังกาย เสื้อไม่มีความสำคัญในชีวิตเลยใช่ไหม ?
เลยกลายเป็นขวัญใจ สาวแท้ สาวเทียว ชาวสีม่วงทั้งประเทศไทยเลย ?
เพราะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้ มีสาว ๆ เข้ามามากมายจนเป็นภาพลักษณ์ของ ผู้ชายเจ้าชู้ ?
เจจินตัย : ภาพนี้เป็นมาตั้งแต่เข้าวงการเลยครับ แต่หมดแล้ว เมื่อก่อนก็ยอมรับนะครับว่าเจ้าชู้จริง ยุคนั้นดาราน้อย เราก็เลยเพลินไป ตอนนี้เลิกแล้วครับ นิสัยเจ้าชู้ เพราะมีลูกด้วยแล้วครับ
เห็นว่าช่วงที่ฮอต ๆ มีละคร 11 เรื่องเลยและถ่ายพร้อมกันด้วย ?
เจจินตัย : มีบทที่เป็นบู๊ แอ็คชั่น เป็นอะไรมาก็ส่วนใหญ่จะได้รับบทร้ายอยู่แล้ว 11 เรื่องเราไม่ได้อยู่ทุกตอนนะครับ บางเรื่องก็ 7 ตอน 8 ตอน พอเราจะถ่ายเรื่องนี้จบเรื่องใหม่ก็เปิดกล้องพอดี เป็นการเชื่อมต่อกัน 7 วัน คือ ถ่ายละคร 7 วันเลย จันทร์ อังคาร พุธ 2 เรื่อง พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 4 เรื่อง การอยู่ในวงการนี้คือ ถ้ายอมแพ้ก็จบ แต่ถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ งานก็จะมีเข้ามาให้เราเรื่อย ๆ ครับ
ขอย้อนกลับไปถามเรื่องที่เราเป็นนักแสดงวัยรุ่น แล้วเราต้องเปลี่ยนตัวเองมาเป็นอีกแบบของการแสดง ชีวิตช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง ?
เจจินตัย : ตอนนั้นเราเหมือนเป็นพระเอกช่วง 90 ทุกคนเต็มที่กับเราหมด แต่พอเราเปลี่ยนมาเป็นตัวสอง คนที่เราเจอเปลี่ยนไปจริง ๆ นะครับเป็นสัจธรรมมาก เราไม่กลัวที่เราไม่ได้เป็นพระเอกนะครับ แต่เราแค่เฮิร์ตมากกว่าเพราะความรู้สึกเปลี่ยนไป เพราะพระเอกก็จะมีคนมาอวยอะไรก็ดีไปหมด แรก ๆ ก็สัมผัสได้นะครับ แต่เราก็ทำใจได้เข้าใจได้เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป
ในช่วงที่เปลี่ยนแปลงในเรื่องการแสดง คือ เป็นข่วงที่เราแต่งงานพอดีเลยไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไร แต่ที่กลับมาฮอตได้เพราะลูกสาว พลอยเจ ดึงกลับมา ?
เจจินตัย : ด้วยความที่เราไม่ชอบเป็นข่าวอยู่แล้ว เราก็จัดไม่ได้ใหญ่มาก เราก็จดทะเบียนกับภรรยาอย่างถูกต้อง และเราก็จัดกันในครอบครัว เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นประเด็นที่คนจะสนใจอะไรขนาดนั้น เราก็ใช้ชีวิตปกติ แต่พอเรามีลูกเราก็ลงรูปลูกเรา แต่มีคนมาสนใจในความน่ารักของ พลอยเจ เยอะ คือ ชีวิตเราเปลี่ยนเลยเพราะมีแต่คนมาเอ็นดูลูกเรา เพราะพอเขาเอ็นดูแล้วเขาก็มานึกถึงเรา (ซึ่งหนึ่งในคนที่เอ็นดูลูกเราก็ คือ พี่อ้วนเลยครับ) เพราะพี่อ้วน เข้ามาคอมเมนต์ หนูน่ารักจังนะคะลูก เราก็ดูใครปรากฏว่าเป็น พี่อ้วน (ยิ้ม)
ซึ่งก็เห็นว่าเราก็ส่งเสริมเขาให้เรียนการแสดงตั้งแต่ 3 ขวบเลย ?
เจจินตัย : ใช่ครับ พยายามให้เขาได้ลองเรียนหลาย ๆ อย่างเพราะเราอยากรู้ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร พาไปเรียนแอ็คติ้งแล้วเรารู้สึกว่าเขาชอบ เราก็เลยไปต่อ ให้เขาเรียนเป็นกลุ่มเลยครับ เพื่อที่จะได้ละลายพฤติกรรมกล้าออกสังคม ไปเจอกล้อง เราได้เห็นเขาก็มีความสุขมีเพื่อน ลูกเป็นคนที่มีเอนเนอร์จี้เยอะชอบว่ายน้ำ เตะฟุตบอล อย่างงานละเอียด พวกทำอาหารลูกบอกว่าไม่เอาเลย แต่ถ้าถามว่าจะดันให้เล่นละครไหม ไม่ได้ดันหรอกครับ เพราะโลกของการเล่นละครมันเหนื่อยมาก
แล้วถ้ามีคนติดต่อให้เขาเล่นละคร ?
เจจินตัย : ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ ตอนนี้ยังไม่ใช่วัยเขาเล่น
ไม่ให้ลูกเล่นละคร แต่พาลูกเข้าวัดเพิ่งมาหรือทำมานานแล้ว ?
เจจินตัย : เรื่องการทำบุญทำมาตั้งแต่อายุ 15 แล้วนะครับ แต่ว่าเราไม่ได้มีโซเชียลอะไรเท่ากับทุกวันนี้ ตอนนี้มีเราลงก็ได้เห็นว่าเราทำอะไรบ้าง เราทำบุญ เราก็สงบ แล้วเราก็ให้เขาซึมซับไปเรื่อย ในสิ่งที่เราทำหรือเราพาเขาไป ผมพาเขาเข้าวัดตั้งแต่ 4 เดือน จนตอนนี้เขาสวดมนต์ได้
มีลูกสาวน่ารักขนาดนี้ทำไมไม่คิดว่าจะมีอีกสักคน ?
เจจินตัย : ตัวเราเองอยากจะมี แต่ภรรยาเดี๋ยวก็อยาก เดี๋ยวก็ไม่อยาก เรื่องนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจแต่ละคนด้วยเนอะครับ เพราะว่าเขามีความรู้สึกว่าไม่รู้จะแชร์ความรักยังไง เพราะว่ารักคนนี้มาก ส่วนผมคือ อยากมีลูกชาย แต่สุดท้ายปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะว่าถ้าเขาพร้อมเมื่อไรก็เมื่อนั้นเพราะภรรยาต้องเป็นเจ้าบ้านใช่ไหม
แล้วจริงไหมที่ จะย้ายไปอยู่ที่ อเมริกา ?
เจจินตัย : ใช่ครับ เพราะผมมีหุ้นส่วนเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ อเมริกา ไว้แล้ว ทำมา 7 ปีแล้วเลยอยากพาลูกไปลุย ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปตั้งแต่เดือนเมษายน แต่เพราะโควิดมาก็เลยพักไว้ก่อน
ที่ไปคือไปเที่ยว หรือ ไปยังไง ?
เจจินตัย : ไปอยู่ถาวรเลยครับ ไปเป็นนักลงทุนที่โน่นเลย ละครหรือสิ่งที่เราจะสูญเสียไปก็ไม่เสียดายครับ รู้สึกแลกกันเพราะอยู่ที่นั่นก็มั่นคง อยู่ที่ลูกสบายไป เพราะมีแต่คนเอ็นดู รัก ช่วยเหลือ ถ้าเราไปอยู่ที่อเมริกาสัก 10-15 ปี แล้วกลับมาลูกน่าจะกลายเป็นคนแข็งแกร่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต ผมบินไปดูที่เรียนให้ลูกแล้วนะครับ ไปดูสถานที่ ไปดูโลเกชั่นร้านเรียบร้อยแล้ว
แต่ตอนนี้ ยังไปไม่ได้ เลยรับงานต่อก่อนครับ แล้วค่อยดูทิศทางอีกครั้ง เพราะว่าถ้าเราไปเลยตอนนี้ แปลว่าเราตัดทุกอย่างทางนี้เลย ตอนนี้เลยต้องดูสถานการณ์ เศรษฐกิจ และ ความปลอดภัยก่อนครับ ซึ่งภรรยาผมอยากไปมาก อยากพาลูกไปลุย