ชีวิตวัยเด็กของกอล์ฟ หลายคนไม่ค่อยรู้ คุณพ่อคือคุณพ่อเพิ่มพูน เชยอรุณ เป็นผู้กำกับหนังซึ่งโด่งดังมาก ตอนนั้นได้มีโอกาสไปช่วยไหม ?
"จริง ๆ คุณพ่อจับเล่นหนังตั้งแต่เด็ก 8-9 ขวบ เรื่องหลวงตา ภาค 1 คุณพ่อเห็นเราชอบไปวิ่งเล่นในกองถ่าย เขาก็จับให้เล่นไปเลย เป็นช่วงตอนต้นจะมีพระเอกวัยเด็ก เราก็เล่นเป็นเพื่อนพระเอก ไม่ใช่พระเอก (หัวเราะ) อยู่ในกลุ่ม"
ตอนเด็กคุณเป็นนักกิจกรรม ชอบเต้นระบำ ?
"ไม่ชอบเรียน เอางี้ดีกว่า คือเวลาโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ กิจกรรมไหว้ครู วันปีใหม่ คริสต์มาส ต้องมีเบญจพล เชยอรุณ รวมอยู่ในนั้น เล่นดนตรี แต่งเพลง อะไรที่ต้องมีรุ่นพี่รุ่นน้องแสดง เราจะอยู่ในนั้นเสมอ คุณครูจะนึกถึงตลอด"
แต่งเพลงตอนไหน ?
"ช่วง ม.2-3 เอาจริง ๆ ผมเริ่มจากอยากเอาชนะเพื่อนในห้อง เพื่อนเล่นดนตรีในห้องแล้วมันเท่ สาว ๆ ไปกรี๊ด แค่นี้เอง"
คุณมีแรงผลักดันเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก ?
"(หัวเราะ) ครับ"
ทำไมไม่ไปเล่นหนัง หรือทำหนังกับพ่อ อันนั้นระดับประเทศ ?
"คุณพ่ออยากให้เป็นผู้กำกับเหมือนคุณพ่อ ไม่ได้อยากให้เล่นเลย คุณพ่อบอกตลอดว่ากอล์ฟมาทำหนังไหม เขาเห็นว่าเรามีพรสวรรค์ พ่อผมเขาเก่งวิธีสอนมาก เขาจะเขียนเรื่องย่อมา แล้วส่งไปให้พี่ชายผม เขาชวนพี่ชายมาตั้งนานแล้ว พี่ชายปัจจุบันนี้่ก็ไปสายมิวสิกวิดีโอ กำกับเหมือนคุณพ่อ พ่อจะส่งบทเรื่องย่อให้พี่ชายโดยผ่านผม ให้ผมรับงานผ่านพ่อส่งให้พี่"
เพื่อ ?
"ให้ผมเห็น ผมเป็นประเภทเห็นแล้วอ้าว กูทำได้นี่ เราก็เลยขอพ่อ พ่อขอเขียนฉากนั้นฉากนี้หน่อย เราก็เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ ผมไม่รู้เหมือนกัน อาจเป็นเรื่องสายเลือด หรือพรสวรรค์ พ่อเขาก็หลอกล่อ จนเราเขียนบทได้ พ่อบอกนี่ไง เขียนบทได้แล้ว"
ช่วยพ่อเขียนบทเรื่องอะไรบ้าง ?
"หลวงตา ภาค 3 ตอนนั้นเริ่มโตแล้ว น่าจะ 18-19 ประมาณนี้"
พ่อไม่ผลักดันขึ้นข้างหน้า ฝันจริง ๆ คืออะไร ?
"อยากเป็นนักดนตรี เราเริ่มจากมัธยม เด็ก ม.4-5 อยู่ ๆ ส่งเพลงไปขายตามค่ายเพลงแล้วมีคนซื้อ แล้วคนที่ซื้อเป็นโปรดิวเซอร์ พี่ปุ๊ อัญชลี เมื่อก่อนพี่ปุ๊ดังมากนะ ผมส่งไปมั่ว ๆ เลย ปรากฏว่าโปรดิวเซอร์พี่ปุ๊ อัญชลี กับพี่ต้อม ไกรวิทย์ มั้ง เขาชอบ เขาก็เลยซื้อ ซื้อเพลงเราตั้งแต่อยู่ ม.5 สุดท้ายพ่อก็ยอมให้ไปตามฝัน พ่อทำอัลบั้มให้ชุดแรก เป็นวง ชื่อวงเลอโดม"
รักความฝันถึงขนาดเดินไปบอกพ่อว่าขอหยุดการเรียน เพื่อเดินทางด้านดนตรีแต่งเพลงเต็มที่ ?
"ใช่ อันนั้นคือจบ ม.6 แล้วนะ ก็บอกพ่อว่าถ้าเอนซ์ไม่ติด ขอหยุดปีนึงจะขอทำตามความฝันหน่อย สุดท้ายก็เอนซ์ไม่ติดจริง ๆ พ่อก็มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เลยในชุดนั้น มันเริ่มจากพ่อจะทำหนังเรื่องหนึ่ง แล้วให้เราเขียนเพลงประกอบหนัง ปรากฏว่าเขียนไป 4-5 เพลง หนังไม่ได้สร้าง ผู้อำนวยการสร้างเขามีปัญหาเรื่องเงิน พ่อเลยบอกว่าเห็นมีความฝัน ลูกทำได้ งั้นเขียนให้ครบ 10 เพลงเลย ทำเป็นวงดนตรี เดี๋ยวพ่อไปเสนอตามค่ายให้"
สุดท้ายเป็นยังไง ?
"ลึก ๆ ผมก็ติดเป็นปมในใจ ตอนนั้นพ่ออยากให้เป็นผู้กำกับ แต่คุณพ่อยอมตามฝันลูก ไม่ได้ตามฝันตัวเอง สุดท้ายเขาเอาตัวเองลงมาช่วย เอาชื่อเสียงมาผลักดันเต็มที่ สุดท้ายเรารักษาวงไว้ไม่ได้"
เกิดจากอะไร ?
"ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ แล้วอยู่ ๆ เราได้เป็นหัวหน้าวง เราไม่รู้วิธีการเมเนจว่าต้องทำอะไรบ้าง เรารู้แค่ว่าเขียนเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ทำดนตรีอยู่แล้ว จนสุดท้ายเราควบคุมวงไม่อยู่ วงมันก็แตก พอวงแยกปุ๊บ เพลงเริ่มโปรโมตเพลงที่ 3 เอง ก็เลยหยุดโปรโมต"
คุณเสียใจไหม ?
"เสียใจอยู่แล้ว เราเริ่มมา และเป็นความฝันเราตั้งแต่ ม.4 ฝันมันทลาย แต่ที่เสียใจที่สุดคือเราเอาชื่อเสียงพ่อ ตอนวงแตกพ่อไม่ได้ว่าอะไร ผมเหมือนลูกคุณหนูสมัยก่อน อะไรก็ได้ เพราะพ่อมีชื่อเสียง เงินทองก็ไม่ลำบาก ผมก็รู้สึกว่าพ่ออุตส่าห์ให้โอกาส ให้ฝันเราเป็นจริง แต่เราเก็บไว้ไม่ได้เอง"
ความฝันตอนนั้นทำไม่รอด ?
"ใช่ พอไม่รอดปุ๊บ ผมก็ยอมมาเป็นผู้กำกับ เริ่มศึกษาเต็มที่ในการเป็นผู้กำกับ คุณพ่อมาจากไปซะก่อน ก่อนคุณพ่อเสีย 3 เดือน เราเตรียมเปิดกล้องแล้ว เรื่องเมืองในหมอก ภาค 2"
งานกำกับใช่ความฝันเราไหม ?
"เป็นความฝันของพ่อ"
ถ้าคนบอกมีศักยภาพ มีประสบการณ์ที่พ่อถ่ายทอดเอาไว้ให้ อยากให้กำกับหนัง-ละครสักเรื่อง รับไหม ?
"ถ้าตอนนี้รับ แต่ก่อนหน้านี้ไม่รับ เพราะผมอยากทำความฝันคืนให้พ่อบ้าง"
พอมาอยู่เบื้องหน้าวงการบันเทิง แรก ๆ ตอนหนุ่ม ๆ คุณไปอยู่ก๊วนเพลย์บอยได้ยังไง ?
"ใครเหรอ เพลย์บอย"
กรรชัย กำเนิดพลอย ?
"เขาเป็นพิธีกรชื่อดัง (หัวเราะ)"
ยุคแรกที่คุณสนิท คุณกรรชัย, โบ๊ท วิบูลย์นันท์ แล้วใครอีก ?
"วิลลี่เหรอ จอนนี่เหรอ (หัวเราะ) เขาหล่อกันหมด ผมไม่หล่อ (หัวเราะ)"
แล้วไปอยู่กับเขาได้ไง ?
"ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) น่าจะเริ่มจากเล่นละคร ไปเจอกับกรรชัยนี่แหละ คุยกันไปกันมา เหมือนจูนกันติด เพราะพ่อผมเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ พ่อคุณหนุ่ม กรรชัย เป็นดาราเก่า เลยเหมือนจูนกันติด เพราะอยู่ในวงการบันเทิง เลยสนิทกันโดยปริยาย"
ปัจจุบันให้นิยามคุณหนุ่ม กรรชัย ยังไง ?
"พิธีกรชื่อดังครับ"
อดีตล่ะ ?
"เละเทะครับ (หัวเราะ)"
กลุ่มนี้เป็นเสือเลย ?
"ไม่ใช่เสือ คนคิดกันเอาเอง เราแค่เป็นกลุ่มนักแสดงเฟรนด์ลี่"
คบซ้อน ?
"ไม่ซ้อน"
สาบาน ?
"อุ๊ย ตายฟรี (หัวเราะ)"
คุณไม่หล่อเท่าเขา แต่มีคารม ?
"ได้อยู่ บางครั้งหล่อ ๆ ก็ไม่ได้กินครับ คารมเอาไปครับ"
เละเทะคืออะไร ?
"ไม่มีอะไร เด็กวัยรุ่นทั่วไป สนุกสนานเฮฮา ไปเที่ยวตามผับ เฮฮาปาร์ตี้"
พอโตมาหน่อยเป็นคุณแม่ญาณี มัม ลาโคนิคส์ เป็นเพื่อนคุณ ?
"ครับ คือทุกคนที่ผมทำงานด้วย มันเริ่มจากความสนิท เลยไม่เหมือนมาทำงาน เหมือนมาปาร์ตี้ อย่างมาวันนี้เรารู้จักกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกลัวอะไรพี่ท็อป มันสนิทกัน ถึงพี่ท็อปจะถามลึกมาก ผมก็กล้าตอบ เพราะผมก็รู้เรื่องพี่ท็อปเยอะแยะ (หัวเราะ)"
ตอนคุณทำค่ายเพลง กรรชัยเคยมาขอคุณร้องเพลง ?
"ใช่ ตอนทำบีมายเกสท์ ชุดแรก กรรชัยยังไม่ได้เข้ามา เขาก็รู้สึกว่าทำทำไม นักร้องแบบนี้ขายยาก กรรชัยไม่ผิด ทุกคนมองอย่างนี้อยู่แล้ว อย่าทำ เจ๊งแน่ ๆ ปรากฏว่าดังมาก คุณกรรชัยเลยเดินมาบอกว่า เฮ้ย กอล์ฟ ชุดแรกกูร้องด้วย (หัวเราะ) เขาก็ร้องครับ"
มีวีรกรรมอะไรประทับใจ ?
"เหนื่อยครับ ถ้าเล่านี่บอกเลย"
เรื่องสาว ๆ ?
"เรื่องนี้จะไม่ยุ่งครับ มันผ่านไปแล้ว มีบ้างประปราย แต่เป็นอดีต เขาไม่ทำแบบนั้นแล้ว เชื่อผม เขาไม่ทำแล้ว"
เพื่อนในวงการคนไหนที่พูดคุยได้หมดทุกเรื่อง ?
"พี่ตุ๊ก ญาณี คุยกันทุกเรื่อง พี่ตุ๊กก็คุยกับผมทุกเรื่อง กล้าเปิดใจกับเรา มีช่วงหนึ่งที่พี่ตุ๊กมีปัญหาแล้วหายไป ผมถึงต้องออกมาพูดในรายการทีวี"
คุณคบเพื่อนแต่ละคน หน้าตาดี เก๋ ๆ เป็นเหตุผลไหมทำให้เกิดกระแส ที่คนหันมาจับจ้องกันเรื่องคุณศัลยกรรมจมูก ?
"มันไม่ได้มาจากการคบเพื่อนอะไรเลย ไม่เกี่ยว (หัวเราะ) มันเกิดจากผมทำงานในวงการมาเรื่อย ๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรตัวเองเท่าไหร่ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ จนวันหนึ่งพี่นีโน่น่ะแหละเป็นคนทักคนแรก บอกว่าจมูกใหญ่ขึ้น เราอาจชินของเรา จนผ่านมา 2 ปี พี่โน่ก็พูดอยู่เรื่อย ๆ ผมก็เริ่มโดนเพื่อนฝูงแซวนิดหน่อย ซึ่งแซวกับบูลลี่ต่างกันนะ เขาแซวเล่น ๆ เลยเอารูปเก่า ๆ มาดู เฮ้ย ใหญ่จริงว่ะ"
กระแสถาโถมที่สุดเหมือนกัน ?
"อันนี้งงสุด บอกตรง ๆ ผมกล้าพูดนะว่าอยู่ในวงการมาร่วม 30 ปี ผมไม่เคยมีข่าวเสียหาย แย่ ๆ นี่เป็นครั้งเดียวที่มีข่าวและเป็นข่าวไม่ค่อยดี ก็รู้สึกว่าการที่เราทำมันขนาดนั้นเลยเหรอ เราไม่ได้เป็นพระเอกไง แต่เราอยู่ในยุคโซเชียลที่ใช้กันแบบผิด ๆ ใช้กันแบบไม่มีความเกรงใจ ผมก็เลยงงว่าอยากเข้ามาว่าใครก็ว่างี้เหรอ"
มีจะทำอะไรอีกไหม ?
"อาจแก้จมูกอีกรอบ มันยังไม่เล็กสวยเหมือนแม่กับพี่ชาย ผมอยากให้ใกล้เคียงแม่กับพี่ชาย ตอนนี้มันลดลงไปแล้ว แต่มีบางจุดที่อยากแก้นิดหน่อย"
หมดไปหลักอะไร ?
"ไม่บอกดีกว่า ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการพูดคุยกับที่ที่เราไปทำ การต่อรองก็ว่ากันไป แต่ละเคสก็ไม่เหมือนกัน"
ความพอใจที่ออกมา ?
"ผมโอเค แต่อยากเพิ่มเติมบางอย่างอยู่ หมายถึงจมูกนะ ส่วนอื่นไม่ได้อยากทำแล้ว"
พอเข้าวงการมาได้สักพัก คุณไปทำรายการรายการหนึ่ง เด็กทีมงานน่ารัก คุณจีบและจัดการเผด็จศึก ขอแต่งงาน รวบหัวรวบหาง จนมาเป็นคู่ชีวิตปัจจุบัน อยากให้เล่าย้อนให้ฟังว่าเป็นยังไง ?
"(หัวเราะ) แต่ละคำ ก็ไม่มีอะไร ทำรายการกับพี่ตุ๊ก ญาณี นี่แหละ ชื่อรายการขอบอก ของพี่บอย ถกลเกียรติ ผมเองพอดีเลิกกับแฟนเก่า ผมเหมือนปิดตัวเอง อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ พี่ตุ๊กบอกว่าทำไมน้องมันดูเงียบ ๆ ซึม ๆ เขาก็เลยเขี่ย เป็นแม่สื่อแม่ชัก บอกว่า กอล์ฟ ๆ ดูน้องคนนี้สิ เป็นทีมงาน ปุ้ยเขาเป็นแอดมิน ดูแลพิธีกร เราก็เริ่ม ๆ เปิดใจมอง"
น้องปุ้ยรู้ตัวไหมจะโดนขย้ำ ?
"เขาไม่รู้หรอก พฤติกรรมเราเปลี่ยนเอง ก็เริ่มมีหยอด ก็ใช้เวลาเป็นแฟนกันพอสมควร เพราะเขาไม่ได้มั่นใจในตัวเรา คนรอบข้างเขาก็ไม่ได้เชียร์ เพราะเราอยู่ในกลุ่มดาราที่มีภาพเจ้าชู้"
พอคบหาเป็นแฟนกันแล้ว กำลังจะขอแต่งงาน ว่าที่เจ้าสาวหนีไปอเมริกา เกิดจากอะไร ?
"เราซนนิดหน่อย ไม่ได้คุยคนเดียว"
คบซ้อน ?
"ไม่ทันซ้อนเลย จับได้ก่อน คือความที่เราเหมือนมีนิสัยเจ้าชู้มาบ้าง พอวันหนึ่งที่หยุดไปแล้วอยากบริหารเสน่ห์ อยากรู้ว่าเราจั่วแล้วติดไหม ไปจั่วเล่นแล้วติด เขาจับได้ วิธีการเขาก็เนียน ๆ เลย เราวางมือถือไว้เขาก็เปิดอ่านแล้วก็เจอ เผอิญตอนเขาเจอเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถ้าเราอยู่เราจะได้ทำลายหลักฐาน เราจะเขวี้ยงโทรศัพท์ นี่กรรชัยสอนนะ กรรชัยบอกว่าถ้าอยู่ให้รีบเขวี้ยงโทรศัพท์ เขาไม่ได้แคปข้อความ เขาเก็บเบอร์เอาไว้เลยแล้วก็โทร. ไปเช็ก ทางนั้นก็บอกว่ามาคุยจริง ๆ จ้ะ (หัวเราะ)"
หลังจากนั้นปุ้ยทำยังไง ?
"ขนของหนีไปอเมริกา เขาไม่บอก เขาเนียนมาก เขาไม่ให้เรารู้เลยว่าเขาจับได้ แม้แต่วันที่เขาไปเขาก็บอกว่าเขาจะไปเยี่ยมพี่สาว แค่นั้นเอง"
คุณมารู้ตัวได้ไง ?
"ผมรู้ตอนที่ต้องเลือกระหว่างจะเดินไปทางไฟแดงหรืออุโมงค์สว่าง ผมก็เดินไปอุโมงค์สว่างดีกว่า"
พอเขาไปอเมริกาก็คุยกัน ?
"เขาไม่กลับมา ยังไงก็ไม่กลับ ตื๊อตั้งนานกว่าจะส่งรูปมาให้ดู จนผมแอบสืบ พี่ติ๊ก เพื่อนพี่ตุ๊ก คุยกับพี่ตุ๊กก่อนว่าได้มารูปหนึ่ง ปุ้ยหนีไปอเมริกา รูปนี้มันมีป้ายร้านอยู่ร้านหนึ่ง เขาไปซื้อของที่ร้านนี้ สืบให้หน่อย ว่ารัฐนี้อยู่รัฐอะไร พี่ติ๊กก็ไปหาเพื่อนสจวร์ด เต็มไปหมดเลย หาจนเจอว่าอยู่เมืองไหน รัฐอะไร ผมก็เตรียมตัวเลย บินไปง้อ กะเหมือนในหนังเลย ไปยืนหล่อ ๆ หน้าร้าน งัดแหวนปั๊บ วาดภาพไว้แบบนี้ แล้วยังไงผมจะไปขอเจ้าของร้าน ไปนอนที่ร้านสักอาทิตย์หนึ่งได้ไหม เพราะไม่รู้เขาจะมาวันไหน โชคดีร้านนั้นเป็นร้านคนไทย กะว่าต้องเจอสักวัน สุดท้ายเขากลับมาก่อน"
คุณรู้ได้ไง ?
"เขาบอกเราว่าวันนี้จะกลับแล้วนะ เราก็อุ๊ย กำลังจะซื้อตั๋วแล้วเชียว"
ตอนนี้ชีวิตครอบครัวเป็นไง ?
"แฮปปี้ดีครับ ผมแต่งงานกับเขามา 6 ปีแล้ว คบกับเขามา 8-9 ปี รวม 14-15 ปี"
ไม่มีลูก ?
"ไม่มีครับ มีโยอิและน้องหมาอีก 8 ตัว ตอนนี้อบอุ่นดี"
ล่าสุดคุณซื้อภาพวาดคุณแพท พาวเวอร์แพท ?
"เราแค่เป็นคนในวงการที่อยากให้กำลังใจและให้โอกาสน้อง รวมถึงให้โอกาสคนอื่น ๆ ที่อาจทำผิดพลาดในชีวิต บางคนอาจมองคนเหล่านี้ไม่ดี มองในแง่ลบ เราอยากให้มองใหม่ว่าคนเรามีสิทธิ์ผิดพลาดได้ สังคมจะได้น่าอยู่ แล้วผมเห็นภาพนี้ของน้อง ตอนน้องเขาสัมภาษณ์รายการหนึ่ง กล้องแพนไปแวบเดียว ผมสะดุดตาอยู่ เป็นภาพจอห์น เลนนอน ถ้าน้องวาดได้ขนาดนี้ น้องต้องเต็มไปด้วยความตั้งใจนะ ผมก็ติดต่อเพื่อนผมไป เพราะเพื่อนผมเป็นคนดูแลน้องก่อนน้องเข้าเรือนจำ ก็ถามเท็ดดี้ว่าน้องขายไหม อยากช่วยน้อง เท็ดดี้เขาก็ไปถามให้ สุดท้ายเขาบอกราคามา เราก็บอกว่าเฮ้ย ไม่ได้ คือน้องจะตั้งราคาแค่นี้ไม่ได้"
ราคาเท่าไหร่ ?
"5 พัน เราก็โอนตังค์ไปให้มากกว่านั้น เขาก็ขอบคุณกลับมา ก็เลยฝากไปบอกน้องว่าอย่าไปประเมินตัวเองต่ำ คือแพทต้องรู้ตัวว่าสิ่งที่แพททำมามันผิดมันพลาดไป แต่รูปที่แพทวาดขึ้นมา ทุกลายเส้น ทุกสีที่วาดลงไป มันผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะมาก มันเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายในชีวิตของคุณ ไม่ควรประเมินค่าตัวเองต่ำ"
ได้คุยตรง ๆ กับแพทไหม ?
"น้องโทร. มา คุยกันแป๊บเดียว โทร. มาขอบคุณ ผมว่าไม่มีอะไร ให้กำลังใจกันเฉย ๆ ก็สู้กันต่อไป คนเรามีสิทธิ์ผิดพลาดกันได้ ผมว่าถ้าสังคมไทยมีน้ำใจให้กัน มีความรู้สึกดีให้กัน สังคมจะน่าอยู่"