- ทำไมจู่ ๆ เลิกเล่นหนัง 18+ ?
นิกกี้ พิ้ม : ผมรู้สึกว่าผมเบื่อ ด้วยอาการก่อน จริง ๆ ผมเป็นไบโพลาร์ ผมเริ่มเป็นตอนอายุ 29 เวลาผมอยู่กับคนเยอะ ๆ ถ้ามีอะไรทำให้โมโห ผมจะโมโหง่ายมาก พอเริ่มรู้ตัว ผมเป็นซึมเศร้า และเบื่อวงการบันเทิง ก่อนหน้านั้นผมไม่เป็น มาเป็นซึมเศร้าตอน 29 อาจเกิดจากการใช้ชีวิตที่หลงผิด อยู่ในช่วงปาร์ตี้บ่อย ก็เกิดเอฟเฟกต์ พอเราโตขึ้นเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางแล้ว ไม่ว่าการใช้ชีวิตหรืออยู่ในวงการบันเทิง
- อาการเป็นยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : อย่างที่เห็นในข่าว บางทีไปขึ้นโรงพักบ้างอะไรบ้าง คนก็ไม่เข้าใจ คิดว่าผมไปก่อกวน จริง ๆ ผมอยู่ในช่วงอยู่คนเดียวแล้วคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมเป็นโรคไบโพลาร์ที่มีอาการมาเนีย โมโหง่าย หลุด ก็เลยเป็นไปตามนั้น
- แก้ยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : หลังจากนั้นมาก็บำบัด เข้าหาแพทย์ กินยาอยู่ 10 กว่าปี 13 ปี จนตอนนี้ผมก็หยุดยามาได้ 2 ปีแล้ว พยายามฝึกสมาธิ ฟังเพลงแจ๊ส อยู่กับธรรมชาติ ดนตรีบำบัด ตอนนี้ผมมีลูกแล้ว ยิ่งทำให้จิตใจผมสงบ เวลาทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลัง
- หลังเลิกเล่น 18+ ก็หายไปเลย เพราะอะไร ?
นิกกี้ พิ้ม : ส่วนใหญ่เป็นเพราะโรคนี่แหละครับ เวลาทำอะไรขึ้นมาก็ไปได้ดีทุกธุรกิจ โชคดีคือผมแตะอะไรจะประสบความสำเร็จ ไม่เจ๊ง แต่โชคร้ายคือคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำได้ 6 เดือน ปีนึง 2 ปี ผมทำให้มันเสียหายเอง เพราะคุมอารมณ์ไม่ได้ ไปอาละวาดกับลูกน้อง จนตอนนี้ผมหยุดยาบำบัดโรคซึมเศร้า ผมคุมตัวเองได้จริง ๆ
- สิ่งที่มันเปลี่ยนเป็นไปได้ไหมเพราะมีครอบครัวและมีลูก ?
นิกกี้ พิ้ม : ภรรยามีส่วนมาก ผมเจอคนดีที่เข้าใจผม คนที่เขาไม่เอาเปรียบผม ทั้งด้านการใช้ชีวิตหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาอยู่กับผมด้วยความรัก เข้าใจและซัพพอร์ต ทำให้ผมเห็นสิ่งที่สวยงามในความรัก
- ก่อนหน้านี้เล่นหนัง 18+ มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเพศซะเป็นส่วนใหญ่ นิกกี้เป็นเพลย์บอย เจ้าชู้ มีแฟนเรี่ยราด ?
นิกกี้ พิ้ม : เบื้องหลังผมไม่ได้มีนะครับ แต่ช่วงที่มีข่าวเป็นช่วงที่ผมไม่ได้คบกับใคร ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราเป็นคนมีชื่อเสียงในตอนนั้นมาก ก็จะมีปาปารัสซีจับภาพที่เราอยู่กับผู้หญิงหลายคนในแต่ละวัน มันก็เลยทำให้สะสมและดูเยอะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงไม่มีข่าวแบบนี้
- พอมีลูกเปลี่ยนไปยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : ผมไม่หลอกตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าภรรยาท้อง ผมเลิกบุหรี่ ตอนนี้เลิกมาได้ปีกว่าแล้ว ไม่ดื่ม ไม่แตะเลย ผมพยายามพูดจาให้เพราะ ไม่ใช้คำหยาบเหมือนเมื่อก่อน ด้วยความที่สังคมเราต้องพัฒนาขึ้น พยายามแก้สิ่งต่าง ๆ ที่มองว่าเป็นลบ เป็นเนกาทีฟ ปรับทุกอย่างให้คงที่ และเป็นบวกขึ้น ผมคิดว่าผมเป็นคนที่มีอินเทลลิเจนต์ระดับหนึ่งเลย แต่ที่ผ่านมาผมไม่ได้ใช้มัน เพราะมองว่าการหาเงินบันเทิงในแบบที่ผมทำมันง่ายกว่า แต่วันนี้ผมอยากโชว์สกิลเซตที่ผมได้สะสมเรียนรู้มา
- นิกกี้ที่รู้จัก จะเอะอะมะเทิ่ง พอรู้ว่าเมียท้อง อาการแบบนี้หายไปไหม ?
นิกกี้ พิ้ม : ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเอะอะอะไร ตอนนี้ผม 42 แล้ว ถ้าผมต้องมีบุตรก็พร้อมเป็นพ่อ แต่ตอนแรกผมกับภรรยาคิดว่าเรามีบุตรไม่ได้ เพราะภรรยาก็เลข 4 แล้วเหมือนกัน พอลูกมาก็ไม่ได้ตกใจ เพราะเราพร้อมในความเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ เรื่องแนวคิด เรื่องธรรมะ ชีวิต
- สงบลงเยอะ เมื่อก่อนคุยแบบนี้ไม่เป็น พอเมียท้องแล้วเปลี่ยนเลยเหรอ ?
นิกกี้ พิ้ม : ท้องด้วย หน้าที่การงานด้วย แต่เมื่อก่อนย้อนกลับไปเรื่องอารมณ์ ผมเป็นคนโชคดีมีรายได้ดีตั้งแต่เด็กจนโต พอไม่สบอารมณ์ผมพร้อมพังเลย พอมาวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเก็บอารมณ์ เพราะเรามีคนที่ต้องดูแล
- เลี้ยงลูกยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : ภรรยาผมเลี้ยง ภรรยาเป็นแอร์ฯ มาก่อน เขามีพื้นฐานความเป็นพยาบาล เขาจะเลี้ยงลูกได้ดี ส่วนผมมีหน้าที่เหมือนคนทั่วไป ออกไปหาเงินเพื่อสร้างครอบครัว
- เจอกันได้ยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : เจอกัน 23 ปีแล้วครับ เมื่อก่อนภรรยาผมเป็นแดนเซอร์ที่อาร์เอส เป็นรุ่นน้อง 3 ปี ที่เราคุยกันเพราะเขาเป็นเด็กที่เรียนอเมริกาด้วยกัน ณ วันนั้น เราใช้ภาษาอังกฤษคุยกันในคอนเสิร์ตการแสดง เขาก็จะเห็นว่าเด็กอเมริกาเหมือนกัน คุยภาษาเดียวกัน ก็สนิทสนมกัน หลังจากนั้นผมก็ฉวยโอกาสเขาไปเหมือนกัน ตั้งแต่ 23 ปีแล้ว เป็นเฟิร์สเลิฟ แต่ผมไม่เคยเอาใส่ใจเขา ผู้หญิงคนนี้มีการดูแลผมมาตลอด จนวันนี้เขามาเป็นภรรยาผม
- ตอนไปจีบเขา เขารู้กิตติศัพท์เราไหม ?
นิกกี้ พิ้ม : รู้ครับ ผมขอโปรโมตตัวเองแล้วกัน พอหลายคนได้รู้จักผม ได้สัมผัสผม จะรู้ว่าเป็นแค่สื่อที่ออกไปจริง ๆ ไม่ใช่สื่อเขียนผิดนะ เวลาผมออกหน้าสื่อผมเป็นอีกคนหนึ่ง แต่เวลาหลังสื่อผมจะเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงที่เข้ามาเขาจะเห็นผมหลังสื่อ
- เป็นคนน่ารัก ?
นิกกี้ พิ้ม : เป็นคนขี้อายครับ ผมถูกสอนมารยาทมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่รู้เป็นยังไง พอออกหน้ากล้องความเป็น devil จะออกมา (หัวเราะ)
- เขารับได้เหรอ ?
นิกกี้ พิ้ม : เขารับได้ ที่ผมยอมผู้หญิงคนนี้เพราะเขารับความเป็นเราได้ เราเรียนรู้ว่าการคบกัน การแต่งงานมันง่าย การมีลูกก็ยิ่งง่าย แต่การอยู่ด้วยกันจนตลอดรอดฝั่งมันยาก ดังนั้นคนที่เราจะตัดสินใจอยู่ด้วยกันตลอดเขาต้องรับเราได้จริง ๆ
- ตอนนิกกี้ทำหนังเอวี ในพอร์นฮับ ตอนนั้นแต่งงานกันหรือยัง ?
นิกกี้ พิ้ม : ผมไม่เคยทำหนังเอวีในพอร์นฮับ หนังที่ทำถูกผลิตเพื่อเอาไปขายให้กับบริษัทใหญ่ ๆ เพื่อลงเป็นแผ่นวีซีดี ถูกต้องตามกฎหมายหมดเลย สมัยก่อนเขาขายในคลองถมลงร้านเช่า ทีนี้มีบริษัทหนึ่ง ไม่ขอพูดชื่อ เป็นบริษัทใหญ่ ก็จ้างผมประมาณปีละ 15 เรื่อง ในการผลิต ทีนี้ได้ฉายประมาณ 6-7 เรื่อง ที่ออกสู่ตลาด สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันชะงัก เพราะอยู่ดี ๆ ร้านเช่าถูกปิดเป็นระนาบเลย มีอีก 7 เรื่องที่ไม่ได้ออก ทีนี้ก็อยู่ในฮาร์ดดิสก์ผมมานานมาก ผมก็มีโอกาสเอาไปลงเว็บพอร์นฮับเมื่อสัก 2 ปีที่แล้ว ทำเป็นหนังจริง ๆ มีดารา มีนักแสดงมีชื่อเสียงเล่น และไม่ใช่หนังโป๊ เพราะชีวิตผมไม่เคยถ่ายหนังที่แก้ผ้าทั้งหมด เป็นหนังอาร์ไทย ไม่ถึงขนาดเอ็กซ์
- พอมันเหลือก็เอาไปใส่ในนั้น ?
นิกกี้ พิ้ม : เพื่อให้มีรายได้ ดีกว่าทิ้งเอาไว้เฉย ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีคนดูเยอะ เพราะพอร์นฮับมันเป็นช่องเอ็กซ์ ของผมมันไม่ได้เอ็กซ์
- แต่ก็ดังมากนะ ทำไมจู่ ๆ เลิกไป ?
นิกกี้ พิ้ม : จริง ๆ รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา วันนี้ผมบอกตรง ๆ ว่าผมเปลี่ยนไม่ใช่เพราะต้องการเงินอย่างเดียว ผมมีอุดมคติที่คิดมานาน ตั้งแต่ 25-26 ผมเคยคิดว่าทำไมคนไม่เห็นสมองผม หรือทาเลนต์ผม ทำไมมาเห็นผมแค่ตรงนี้ ผมอยากพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าสมองมีนะโว้ย ผมก็หยุดทำทุกอย่าง เททุกอย่าง ไม่งั้นคนมองเป้าตลอด
- จะกลับมาทำอีกไหม ?
นิกกี้ พิ้ม : ไม่ครับ เอาเงินมาตั้งเป็นร้อย ๆ ล้านก็ไม่ครับ ถ้าหนังอาร์ไม่เอา ถ้าหนังธรรมดาโอเค อะไรที่ไม่ได้ดาร์ก
- การที่เราไปทำหนังแบบนั้นออกมา มันมีผลกระทบกับภาพลักษณ์นิกกี้ยังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : ก็กว่าจะเคลียร์ตัวเองได้ ให้กลับมา เอาง่าย ๆ ทุกวันนี้ผมทำธุรกิจ ผมเป็นกรรมการผู้จัดการ เป็นเจ้าของ บางคนที่ไม่ได้ตามสตอรี่ผมเลยว่าผมเปลี่ยนแล้วนะ มีลูกแล้วนะ ดีแล้วนะ ก็จะตกใจ ภาพเดิมยังอยู่ อ้าว เป็นเจ้าของธุรกิจเหรอ ทำโครงการขนาดนี้เลยเหรอ โกหกหรือเปล่า โม้หรือเปล่า กว่าจะทำให้เขาเชื่อใจใช้เวลานานมาก จนทุกวันนี้บางทีทีมงานผม พูดในรายการนี้รายการแรก ทีมงานผมใหญ่มาก มีตำแหน่ง ผมเป็นตำแหน่งที่อยู่ข้างหลัง เพราะผมรู้ว่าคนติดเรื่องอิมเมจผม ผมเลยทำตำแหน่งผมให้ธรรมดามากเลย
- ตำแหน่งอะไร ?
นิกกี้ พิ้ม : ซีอีโอผมให้คนอื่นเป็น เวลาใครถามจะบอกว่าผมเป็นมาร์เกตติ้ง ดูแลเรื่องสื่อเรื่องพีอาร์ แต่จริง ๆ ผมคือกรรมการผู้จัดการ
- นิกกี้ทำยังไงให้คนเชื่อถือ ?
นิกกี้ พิ้ม : คู่ค้าที่ผมดีลด้วย ตอนนี้มีโปรไฟล์แล้ว ผมมีพรีเซ็นเทชั่น มีภาพ มีทุกอย่างประกอบ ตอนนี้เราทำงานกับพื้นที่มหาวิทยาลัยด้วย เพราะเราทำเกี่ยวกับนวัตกรรม หลาย ๆ อย่าง ทีนี้จะมีหลายอย่างที่เราเคลมได้ แค่นี้ก็น่าเชื่อถือแล้วครับ
- รายหลัง ๆ คงง่าย เล่าเรื่องรายแรกที่ทำให้นิกกี้ได้ธุรกิจโดยมีภาพเก่าอยู่ ?
นิกกี้ พิ้ม : รายแรกคือเฟซบุ๊กครับ เริ่มโปรโมตก่อนว่าผมสามารถนำสินค้าไปขายประเทศจีนได้นะ ในช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ ทีนี้ด้วยความที่เรามีคนติดตามเฟซบุ๊กหลักแสนอยู่แล้ว ผมก็ประกาศ โพสต์ตลอด ผมว่าเวลาคนดูพวกนี้เขาจะดูสักพักเลยนะ ผมก็เอาภาพช่องทางในประเทศจีนบ้าง ลูกค้าเวลาเข้า-ออกบ้าง จนเริ่มมีลูกค้าเจ้าแรกเข้ามา ผมก็อธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างนี้ ครั้งแรกเขาไม่เซ็นสัญญาเลย เขาต้องเช็กในกูเกิลว่าห้างที่ผมพูดอันดับหนึ่งมีจริงไหม กว่าจะเซ็นได้ มีการเช็กกัน 5-6 มีตติ้ง เขาตรวจสอบเยอะมาก หลังจากนั้นก็มีคนมามากขึ้่นเรื่อย ๆ เพราะเวลาเซ็นทีก็ถ่ายรูปเซ็นสัญญาแล้วนะ รายต่อไปก็เข้ามาทีละนิด จนทุกคนเห็นว่าเป็นของจริง ตอนหลังเริ่มเอาทีมทำเอกสารเข้ามาทั้งหมด เพราะบางอย่างผมตอบไม่ได้ เพราะพอเป็นเรื่องดีเทล ถ้าเป็นเรื่องแพ็กเกจจิ้ง เวิร์ดดิ้งที่ไปศุลกากรอะไรต่าง ๆ ผมตอบไม่ได้ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วย จนตอนนี้พอเป็นรูปธรรมและใหญ่ขึ้น ก็มีพี่ ๆ สื่อช่วยกัน มีคนมาช่วยผม เห็นใจผม มาถ่ายผม เอาตัวเองโปรโมตเลย
- ถ้ามีคนชวนให้เล่นละคร เล่นหนัง เล่นไหม ?
นิกกี้ พิ้ม : เล่นครับ ไม่ได้เสียหายอะไร และคิดว่าอยากคงอิมเมจให้คนรู้จัก เพราะตอนนี้เฟซผมก็เป็นเหมือนพรีเซ็นเตอร์โครงการที่ผมทำ ก็ไม่ได้อยากให้หายไป ถ้าจะมีคนกรุณานะครับ แต่ผมก็ไม่ได้ยึดว่าจะเป็นงานหลักอะไร
- ถ้าเป็นบทบาท 18+ ?
นิกกี้ พิ้ม : ไม่ดีกว่า ผมมีลูกสาว และตอนนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องรายได้ เอาให้กลาง ๆ ดีกว่า
- ธุรกิจที่ทำคืออะไร ?
นิกกี้ พิ้ม : ผมนำเข้าสินค้า ทั้งอาหารและคอนซูเมอร์โปรดักต์เกือบจะทุกอย่าง เข้าสู่ประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ของเราเป็นบริษัทจัดจำหน่าย ในพื้นที่ของเราเอง เรามีห้างเหมือนห้างดองกี้ แต่ของเราอยู่ในประเทศจีน ชื่อร้านนิตินาคิน ซึ่งเป็นชื่อน้องชายผมที่ออกมาเป็นแบรนด์ เราทำร้านอาหาร และช้อปปิ้งตลาดน้ำไทยแบบอัมพวาที่แรกในเอเชีย พอเราทำเสร็จปุ๊บก็เริ่มขยาย ตอนนี้มีหลายห้าง เป็นห้างชั้นนำ ไม่ว่าจะห้างชื่อเค อีเลฟเว่น ของจีน มิตซุยเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นก็เซ็นสัญญากับเรา ห้างพื้นที่ประมาณพันกว่าตารางเมตร ทุกที่ที่ 2 ห้างนี้เปิดใหม่เราก็ขึ้นกับเขาด้วย ปีนี้เราเพิ่มอีก 5 สาขา มีในมาเลเซียด้วย
- ช่วยเอสเอ็มอีไทยและช่วยโอทอป ?
นิกกี้ พิ้ม : ทุกอย่าง และเร็ว ๆ นี้เราจะเซ็นสัญญาอีกห้างที่ยุโรป เราก็ทำออนไลน์กับจีมอลล์ อาลีบาบา วีแชท เพราะทีมเราทำงานให้กับเทนเซ็นต์ เรามีซัพพอร์ตกับทีมงานเทนเซ็นต์ และพวกเจ้าสัวใหญ่ ๆ ที่จีนด้วย
- ทำไมตอนแรกไปเริ่มที่จีน ลู่ทางมายังไง ?
นิกกี้ พิ้ม : จริง ๆ ผมอยู่ไอที ก็เริ่มจากดารานี่แหละ น้องผมคนหนึ่ง เป็นคล้าย ๆ คนสนิทของผู้ใหญ่ในเทนเซ็นต์ เขาทำร้านอาหารที่จีน 4-5 สาขา ทีนี้ 9 ปีที่แล้ว เขาทำแอปฯ ของจีนตัวหนึ่ง ที่จีนให้มาทำ ผมถูกจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วแอปฯ ตัวนี้มีปัญหาภายใน สุดท้ายน้องคนนี้ก็มาเป็นพี่น้องกับผม สนิทกัน เขาต้องทำงานให้หัวหน้าเขาเยอะ ต้องไปลาว ไปอะไร ระหว่างนั้นผมรู้จักคนพวกนี้ก็ไปปูให้เขาหมดเลย ก็ยิ่งสร้างความมั่นใจ
- เป็นผู้ประสานงานที่ดีเลยได้งานมา ?
นิกกี้ พิ้ม : ถูกครับ จนผมเห็นความก้าวหน้าเขามาตลอด จนเขาเซ็นสัญญาใหญ่ เขาต้องอยู่จีน ต้องหาคนไว้ใจได้ 1 บริษัท เพื่อรับสินค้าในเมืองไทย เพราะบริษัทเราคอนเซ็ปต์คือให้คนไทยทำกับบริษัทไทย มันจะได้ง่าย ผมก็ได้โอกาสนั้น ผมเลยตั้งใจทำเต็มที่ ไปแต่ตัว ใช้เฟซบุ๊กทำ จนพอคนเห็นเยอะ ภรรยาผมก็อยู่ในสังคมมีเพื่อนไฮเอนด์ พอทุกคนเริ่มเห็น ของจริงแล้วนี่ ก็เริ่มมีบริษัทที่เป็นเศรษฐีภาคอีสานเริ่มอยากมาเป็นเอเจนต์ เข้ามาศึกษา นี่คือเดอะเวย์แล้ว ผมก็เลยเซตอัพระบบทั้งหมด พออยู่ในจุดที่ต้องมีเรื่องเอกสาร ผมก็หาคนที่เหมาะสม คือคุณแชมเปญ เขาเป็นลูกโรงพยาบาลที่หนึ่ง ให้มาเป็นซีโอบริษัท ตอนนี้ผมไปก็เหมือนทีมงาน เดินตามหลังสุด แต่จริง ๆ ผมเซตระบบนี้ขึ้นมา
- เหมือนบริษัทซื้อมาขายไป ?
นิกกี้ พิ้ม : ไม่ใช่ครับ เอามาในช่องทางเรา เราช่วยแม้กระทั่งคนมีวัตถุดิบ แต่เขาไม่มีความรู้ ไม่มีโนฮาวในการทำแพ็ก ผมทำแพ็กเกจ รับสินค้าเขาไปขาย ผมระบายทุกช่องทางให้
- ขยับไปยุโรปได้ไง ?
นิกกี้ พิ้ม : ยุโรปเริ่มมาติดต่อ หลาย ๆ เจ้าสัว หลาย ๆ ห้างที่สนใจ เพราะเรามีตลาดน้ำ เวลาคนอยากมาวันหยุดก็ไปเที่ยวตลาดน้ำไทย กลายเป็นว่าช่วงโควิดของผมดี คนจีนมาเมืองไทยไม่ได้ ก็พาครอบครัวไปเที่ยวตลาดน้ำไทยในเมืองจีน ยกตุ๊ก ๆ ไปไว้ที่นั่นเลย ทำสวยงาม ยกเรือไปทั้งลำ ทั้งเรือไม้ ตุ๊ก ๆ กำแพงก็เป็นกำแพงวัด มีพระพุทธเจ้าให้เป็นไทยที่สุด
- ขายประสบการณ์ ?
นิกกี้ พิ้ม : และขายอาหารไทย อยากให้เขารู้สึกเหมือนมาที่เมืองไทย เราเอาร้านดังที่เมืองไทยไป อย่างล่าสุดเราเอาชีวิตชีวาจากเชียงใหม่ไป เป็นบิงซูเอาเข้าไปขายด้วย เราก็ติดต่อหลายเจ้า เตรียมเอาแบรนด์ดัง ๆ ในเมืองไทยเข้าไป จริง ๆ ไม่ได้ยาก เพราะตอนนี้เราได้ทำโครงการร่วมกับเอสเอ็มอีแบงก์แห่งประเทศไทย สนับสนุนโดยกระทรวงการคลัง และมีเอ็กซิมแบงก์ สสว. ผู้ว่าฯ มุกดาหารจะร่วมโครงการนี้ด้วย เพื่อผลักดันโครงการนี้ เดือนหน้าทำโรดโชว์ให้ผู้ประกอบการหลาย ๆ ท่าน เอ็กซิมแบงก์เขาจะออกให้ครึ่งหนึ่งด้วย เวลาไปผมใส่แมสก์ก่อนเลย (หัวเราะ) เป็นอีกชีวิตหนึ่ง
- ช่วงโควิดมีปัญหาไหม ?
นิกกี้ พิ้ม : ไม่มี มีเรื่องขนส่งนิดหนึ่ง และเรื่องตรุษจีน เพราะตรุษจีนประเทศจีนเขาหยุดหมดเลย ปกติลูกค้าเซ็นกับเราภายใน 2 เดือน เราจะการันตีให้คุณเอาสินค้าไปวางที่โน่นแล้ว
- จากเอวี 18+ ตอนนี้เข้าสู่เส้นทางเศรษฐีอย่างแท้จริง ?
นิกกี้ พิ้ม : (หัวเราะ) ไม่ใช่เศรษฐี ทำอันนี้ไม่ได้สนใจรายได้อะไร มันต้องมาอยู่แล้ว แต่เราอยากเป็นฮีโร่ พูดตรง ๆ