จากกรณีที่สาวมีล่า กามิกาเซ่ ออกมาเปิดเผยว่าตนเองถูกน้องชายทำร้ายร่างกายด้วยการแทงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมา เจนนี่ พี่สาวของทั้งคู่ก็ออกมาชี้แจงประเด็นต่าง ๆ โดยระบุว่าก่อนหน้านี้น้องชายป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่น้องลงมือนั้นน้องชายขาดสติและโมโหฉุนเฉียว หลังเกิดเหตุก็พาน้องชายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีธัญญา 2 เดือน จนอาการดีขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมน้องชายถึงไม่ถูกดำเนินคดี เพราะเป็นการทำร้ายร่างกาย เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้
อ่านข่าว : พี่สาวเผย เหตุใดน้องชายถึงทำร้าย มีล่า - ฝากไปถาม 2 ปีแล้วทำไมเพิ่งมาพูด
อ่านข่าว : ครอบครัวมีล่า โดนถล่มอีก ซักผ้าปูให้เหมือนทวงบุญคุณ-ทำไมไม่ดำเนินคดีน้อง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด (15 เมษายน 2564) โลกออนไลน์ก็มีการค้นหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยหยิบยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ซึ่งระบุไว้ดังนี้
"มาตรา 14 ในระหว่างทำการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้พนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณี สั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้นเสร็จแล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำหรือให้การว่าตรวจได้ผลประการใด
ในกรณีที่พนักงานสอบสวนหรือศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้งดการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัวผู้นั้นไปยังโรงพยาบาลโรคจิตหรือมอบให้แก่ผู้อนุบาล ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้อื่นที่เต็มใจรับไปดูแลรักษาก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร
กรณีที่ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาดังบัญญัติไว้ในวรรคก่อน ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้"
โดยมีความเห็นจากชาวเน็ตระบุว่าจะอ้างว่าน้องชายมีล่ามีอาการทางจิตแล้วลอยตัวไม่ได้ ตำรวจรู้ว่ามีการพยายามฆ่าก็ต้องดำเนินคดี แม้จะป่วยก็ต้องส่งไปรักษาจนหาย ออกมาแล้วก็ต้องสอบสวนต่อ ข้อมูลที่เจนนี่ ออกมาชี้แจงก็มัดตัวน้องชายว่าตอนลงมือแทงยังรู้สึกตัวดีอยู่ และยังโทษว่ามีล่าทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้เลยแทงมีล่าแทน ยิ่งพูดยิ่งมัดตัวน้องชาย
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ที่ระบุไว้ดังนี้
" มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"