เอแคลร์ จือปาก เล่าชีวิตวัยเด็ก จากคนที่พอมีกิน พอพ่อจากไป ครอบครัวทรุดทันที
ทั้งนี้ เอแคลร์ เผยว่า ตนซื้อบ้านใหม่แล้ว และทุกคนก็รู้ว่าตนรักบ้านหลังนี้มาก บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ตนอยู่มาตั้งแต่เกิด สมัยที่พ่อยังอยู่ และอายุบ้านก็ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตนก็ผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก
เอแคลร์ บอกว่า ตอนเด็กตนไม่ได้ลำบากอะไร ค่อนข้างจะมีด้วยซ้ำ ตอนนั้นถ้าใครทำงานชิปปิ้งในการท่าเรือ บ้านหลังนั้นแทบจะเป็นตัวท็อป และบ้านของตนเป็นหนึ่งในนั้น แต่จนกระทั่งช่วง ป.1 พ่อก็เสีย และทุกคนก็ร้องไห้ แต่ตนเข้าใจว่าพ่อนอนนิ่งเฉย ๆ ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อจะไม่กลับมาแล้ว
หลังจากที่พ่อเสียชีวิตก็เหมือนเสาหลักของบ้านหัก ครอบครัวก็เป็นหนี้ไปหมด หมดหนี้ก็ตามกู้ใหม่ แม่จากที่เป็นแม่บ้านมาตลอด ก็ต้องไปสมัครเป็นสาวโรงงานหน้าปากซอยบ้าน และแม่ก็ต้องขยันมากเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว พี่ชายตอนนั้นอยู่ ปวช. ก็ช่วยแบ่งเบาภาระไปได้ แต่พี่สาวและตนอยู่โรงเรียนเอกชน ค่าเทอมก็สูง และแม่ก็ต้องหาเงินมา ตอนแรกแม่ก็บอกว่าจะเอาตนออกมา เพราะสู้ค่าเทอมไม่ไหว แต่คุณครูบอกว่าไม่ต้องเอาลูกออก จะหาทุนการศึกษาให้ และได้ทุนมาเรียนต่อ
เกิดวิกฤตทับซ้ำ บ้านไฟไหม้ เซตชีวิตกลับไปเป็น 0 มีเงินไปโรงเรียนแค่ 40 บาท
ตอนประมาณ ป.6 เกิดวิกฤตอีกครั้ง เพราะบ้านของตนไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร ข้างตัวคือไฟที่โหมเข้ามาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนั้นรู้ว่าอีกไม่นานจะสอบปลายภาค จึงหยิบลิ้นชักเอกสารที่มีหนังสือเรียนออกมา และพอออกมาได้ บ้านก็ถล่มลงมาทันที
เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้เครียดมาก ร้องไห้ 3 วันติด และครอบครัวก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้องกู้เงินรอบทิศทาง ที่บ้านไม่มีพ่อก็แย่แล้ว บ้านไฟไหม้ยิ่งแย่กว่าเดิม และตั้งแต่ ม.1 เป็นต้นมา จำได้ว่าไม่มีเงินเลย เวลาไปโรงเรียนก็ต้องเดิน และมีเงินติดตัววันละ 40 บาท เป็นค่าอาหารเที่ยงและขนมนิดหน่อย ภาพที่เห็นประจำทุกเช้าคือ แม่จะวิ่งไปหยิบยืมเงินบ้านนั้นบ้านนี้มาให้ แล้วบอกว่าทอนเงินมาด้วยนะ
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เรียนตนทำกิจกรรมบ่อย ๆ และตอนแอดมิชชั่นก็คิดว่าตัวเองน่าจะติดมหาวิทยาลัยรัฐบาล แต่กลายเป็นว่าไม่ติด และต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแทน ทั้งที่ต้องใช้เงินมหาศาล ตอนนั้นทุกคนมาประชุมกันในบ้านเหมือนในละคร และพยายามหาหยิบยืมมาเรียน ตนต้องไปทำงานห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ ล้างจาน เสิร์ฟ หรือโบกธงตามคอนโด เพื่อให้มีเงินไปสมัครเรียน
ชีวิตเรียนมหาวิทยาลัย จำกัดจำเขี่ย จนฝ่าฟันมาได้
ในการเรียนมหาวิทยาลัยนั้น บ้านของตนอยู่พระราม 4 แต่ต้องไปเรียนที่รังสิต ต้องตื่นตี 3 แต่งตัวตี 4 ออกจากบ้านตี 5 นั่งรถ 4-5 ต่อ เพื่อให้เรียนให้ได้ บ้านก็อยู่ลึกในซอย ต้องเดินออกไปรอรถเมล์ก็ไกล จึงตัดสินใจขึ้นรถไฟฟ้า แต่ก็ต้องสละเงินค่าข้าวไปขึ้นรถไฟฟ้า เลยยอมเดินไกลกว่าเดิมเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์ฯ และคิดในใจว่าถ้าวันไหนมีเงินจะขึ้นแท็กซี่
พอมองกลับไป เอแคลร์ยอมรับว่าเหนื่อยมาก ๆ ลำบากมาก บางครั้งนั่งร้องไห้น้อยใจในรถก็มี แต่เวลาคนมองก็จะบอกว่าฝุ่น
พอขึ้นมหาวิทยาลัย สิ่งที่ดีคือได้เป็นตัวของตัวเอง แต่แย่คือ การเรียนมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ๆ ประจวบกับแม่ทรุดหนัก ก็ทำให้คิดได้ว่าต้องทำอย่างไรให้รอด และการนั่งเรียนในห้องอาจจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไป ต้องทำอะไรก็ได้ให้มีเงิน และต้องไปหางานทำ แม่ก็บอกว่าให้หยุดก่อนไหม เรียนที่นี่แพง มีแต่คนมีเงินเรียน ตนไปเรียนกว่าจะกลับบ้านก็ 3-4 ทุ่ม แต่ตนบอกว่าไม่อยากหยุดเรียนจริง ๆ สุดท้ายก็ไปกู้ทุน กยศ. มาเรียน
เอแคลร์ บอกว่า คนอื่นอาจจะมองว่าตนประสบความสำเร็จ แต่ก่อนหน้านี้ลำบากมาก ๆ ตนสู้ชีวิตจนมามีทุกอย่างอย่างทุกวันนี้
เอแคลร์ เผยบ้านใหม่ราคา 27 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ เอแคลร์ ได้เผยบ้านใหม่ราคา 27 ล้านบาท และเคยทำเซอร์ไพรส์แม่และยายเมื่อปลายปี ด้วยการปิดตาและพาไปดูบ้านหลังใหม่ ซึ่งได้โอนไปเป็นชื่อของเอแคลร์แล้ว บ้านหลังนี้สามารถจอดรถได้ 3 คัน มีห้องโถงขนาดใหญ่ มีลานที่ทำเป็นน้ำตก และมีห้องนอนแขกและห้องน้ำแขกในตัว