พี่แบมเข้าวงการมาได้ยังไง ?
แบม : ก็ไม่คิดนะว่าวันนึงจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในสปอตไลท์ โดยเฉพาะในวงการบันเทิง มาโชว์ถ่ายแบบหรืออะไรแบบนี้ แต่ในที่สุดพอเข้าจุฬาได้ ก็มีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโครงการถวายสมเด็จ แล้วก็ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร จากตรงนั้นก็เลยมีภาพเข้าไปอยู่ในหน้าสังคม แล้วก็ไปเจอกับพี่ชาลี ซึ่งเป็น บก.นิตยสารดิฉัน โดยบังเอิญ ซึ่งพี่ชาลีอาจจะเห็นหน้าเห็นตามาบ้างแล้ว พี่ชาลีก็เลยชวนมาถ่ายปกนิตยสารดิฉันกันไหม ตอนนั้นเราก็ดีใจมาก อยู่น่าจะประมาณปี 1 แล้วขาเราก็ไม่ได้สวย แต่พี่ชาลีก็บอกว่าเนี่ยมาถ่ายปกกัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จัก
แต่จุดที่เป็นที่รู้จักจริง ๆ คือตอนปี 4 ที่เป็นดรัมเมเยอร์ฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ 50 ปี กับ พี่ตั้ว ศรัณยู พี่แหวน ธิติมา น้องอร อรอนงค์ ตอนนั้นก็เลยมีโอกาสได้มาเจอกับคุณวิทวัจน์ ในรายการ ตีสิบ โดยมาสัมภาษณ์แบบหมู่คณะ แล้วอีก 2 วัน ทีมงานตีสิบก็ติดต่อมาอยากเชิญมาสัมภาษณ์เดี่ยว เพื่อจะรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะ 3 ท่าน คนนึงก็นางสาวไทย อีก 2 ท่าน ก็ดารา ก็เลยมีโอกาสได้เจอคุณวิทวัจน์ หลังจากนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายนิตยสาร ให้ไปถ่ายผลิตภัณฑ์หลาย ๆ อย่าง
แล้วจริง ๆ พี่แบมชอบวงการบันเทิงไหม ?
แบม : ทุกวันนี้ยังคิดถึง ก็เป็นอะไรที่สนุก จริง ๆ อยู่ในรายการตีสิบ อาจจะ 3 ปี แต่ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการอื่น ๆ รวม ๆ แล้วน่าจะมี 5 ปี ก็สนุกและมีความสุขที่ได้ทำ
ตอนนั้นมีคนชวนไปเป็นนักแสดงบ้างไหม ?
แบม : มีค่ะ ยังคิดเสียดายอยู่เลยนะ ตอนนั้นน่าจะไปเล่นสักหน่อย มันจะเป็นอะไรที่เป็นประสบการณ์ ซึ่งตอนนั้นถามว่าทำไมไม่ไป จริง ๆ เป็นคนขี้เกียจ คือรู้ว่านักแสดงต้องทุ่มเทมาก เวลาไปออกกอง คิวได้ยินเวลาเขาเล่าว่าต้องรอ เรารู้สึกว่าขี้เกียจไปนั่งรอถ่าย แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่บทบาทของเรา ก็เลยไม่เอาดีกว่า ไม่น่าจะเป็นเรา
จากพิธีกร มาเล่นการเมือง มันคนละทางกันเลย ?
แบม : พอเรียนจบกลับมา ก่อนที่จะไปเป็นพิธีกรตีสิบ กลับมาเมืองไทยรับราชการก่อน แล้วไม่ได้มีความคิดเลยจะมาทำพิธีกรจริงจัง แต่พอมาทำปั๊บทำให้คนเห็นหน้าเราในความเป็นสาธารณะ และในหมวดที่เราเป็นข้าราชการก็เลยมีโอกาสได้เจอพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็บทสัมภาษณ์ที่ออกมาเรามีความสนใจ เพราะเราเรียนรัฐศาสตร์ แล้วก็เรียนโทด้านนี้ ก็เลยเกิดการทาบทามว่ามาลง ส.ส. ไหม เป็นข้าราชการก็ทำงานให้ประเทศได้นะ แต่ถ้าเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. ถ้าได้ร้บเลือกตั้งเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนเลย ทำได้หลายเรื่องมาก ก็ตัดสินใจอยู่พอสมควร เพราะตอนนั้นก็เป็นพิธีกรแล้วด้วย รายการตีสิบ เพราะเรารู้ว่าเราต้องออกจากตรงนั้น ห้ามเป็นคู่กัน
แสดงว่าเป็นความชอบตั้งแต่ทุนเดิมสำหรับการเป็นนักการเมือง ?
แบม : ต้องบอกว่าโดยพื้นฐานจริง ๆ ลึก ๆ คุณแม่ก็รัฐศาสตร์ แล้วคุณแม่ให้เราเข้ารัฐศาสตร์ แล้วมาทำงานราชการจริง ๆ คุณแม่เป็นคนชอบการเมือง จริง ๆ คุณแม่อยากให้เราทำงานราชการ หรือไปเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งถามว่าตัวเองชอบไหม เราก็ทำได้ แล้วเราก็สนใจเรื่องบ้าน เรื่องเมือง แต่ว่าไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วขนาดอายุ 26 ปี ที่จะก้าวออกไปเลย แต่สุดท้ายตัดสินใจ เพราะได้รับโอกาสที่ดี
พอเข้ามาในวงการนักการเมืองก็มีคนโทร. มาขู่ มันมาได้ยังไง ?
แบม : พี่เป็น ส.ส. เป็นนักการเมือง รวมกันแล้ว 2 สมัย แล้วก็ 8 ปี สมัยแรกเป็นแบบบ้ญชีรายชื่อ คือเลือกมาจากพรรคแล้วเราได้ แต่สมัยที่สอง เราไปลงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต คือเป็นตัวแทนในการหาเสียง พอเราลงพื้นที่มีผู้คนหลากหลายต่อสู้ มีการแข่งกันในพื้นที่ค่อนข้างเยอะมาก ดุเดือด หลายกลุ่มหลายพวก อย่างว่าคนที่ลงแข่งเขาอาจไม่ชอบเรา ก็เจอเรื่องน่ากลัว ๆ ตอนนั้นอายุประมาณใกล้ 30 ปี
ตอนนั้นกลัวไหม ?
แบม : ตอนนั้นตัวคนเดียวลุคบู๊ ทีมเวิร์ก พรรคพวกเยอะก็ไม่กลัวนะคะ เราก็ซ่า
พี่แบมจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นได้ยังไง ?
แบม : พอได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ พอเราลงไปเขาเฮ เขาอยากให้เรามา มันเหมือนฮึกเหิม แล้วก็ไม่แคร์ เรารู้สึก เรามีประชาชนเป็นโล่ ถ้าอะไรเกิดขึ้นมันคงเป็นเรื่องอะไรที่ไม่น่าจบง่าย ๆ แล้วตัวคนทำก็ต้องเจออยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าไม่น่ามีใครกล้าเอาตัวเองมาเสี่ยง ก็น่าจะเป็นคำขู่
เห็นว่ามีเอาปืนมาขู่ลูกน้องพี่แบมด้วย ?
แบม : ใช่ ก็หลากหลาย บางทีเราไปออกงาน บางทีมีคนกินเหล้าเมา มาทีก็มาแบบอะไรอย่างนี้ แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ไหน จุดเสี่ยงเป็นยังไง อันตราย เราก็จะมีทีมงานที่เข้าไป คือไม่เคยไปไหนคนเดียว
มีท้อไหม ?
แบม : มีเหนื่อยเป็นพักๆ ท้อมีเป็นระยะๆ แต่ว่าเราเป็นคนอึด เหนื่อย ๆ พอนอนข้ามคืนเหมือนมันรีชาร์จ มันก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าจะถอย
แล้วกับข่าวลือต่าง ๆ เหมือนเมาท์พี่แบมว่าเป็นภรรยาน้อยบ้าง เวลาเราได้ยินรู้สึกยังไงบ้าง ?
แบม : จริง ๆ ตั้งแต่เข้าวงการการเมืองมันก็จะมีมาตลอด ซึ่งจริง ๆ เราเตรียมตัวในระดับนึง เรารู้อยู่พอสมควรว่ามาเป็นนักการเมือง มันเป็นกลยุทธอะในการที่จะดิสเครดิตอีกฝั่งนึง เวลาได้ยินเราก็เซ็งนะ เพราะตอนที่เราอยู่วงการบันเทิง มันมีแฟนคลับ เราไม่ค่อยโดนอะไรแบบนี้ เป็นที่รัก แต่อยู่ดี ๆ เราต้องมาโดนแบบว่าป้ายสีอะไรแบบนี้ แบมเชื่อว่าสุดท้ายความจริงก็ต้องปรากฏออกมาว่ามันเป็นยังไง อย่างเรื่องที่โดนกับท่านหัวหน้าพรรคในยุคนั้น ก็จะเป็นประเด็นโจมตี เพราะว่าท่านหัวหน้าพรรคก็เอ็นดูแบมจริง ๆ ในการทำงาน เพราะเราก็เป็นคนทำงานให้พรรค แล้วก็การทำงานของเราในยุคนั้นก็พิสูจน์คนที่ติดตามการเมืองในยุคนั้น คนที่ออกมาแสดงและหลุดพ้นจากราคีนี้ก็คือภรรยาและลูกสาวของท่านหัวหน้าพรรค
แล้วมีคนคิดต่อจริง ๆ ไหม เพราะพี่แบมทั้งสวย ทั้งสาว และอยู่ตรงนั้น น่าจะมีผู้ใหญ่ที่เขามองพี่เหมือนกัน ?
แบม : มันก็คงจะมีนะ แต่ว่าเราก็ต้องมีวิธีหลบหลีก เอาตัวรอด
แต่ว่าสุดท้ายก็มาพบรักกับคุณสามี ?
แบม : ตอนนั้นกำลังจะครบสมัยของการเป็น ส.ส. แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ต้องมีการยุบพรรค พอเราผ่านการเลือกตั้งไปก็มีเหตุการณ์การยุบพรรค แล้วก็พรรคการเมืองที่สังกัดโดนคำสั่ง กรรมการบริหาร ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี เราก็เลยโอเค ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เลยเริ่มกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง หลังจากเกือบ 10 ปี ไม่เคยไปนั่งฟังเพลงข้างนอก ใช้ชีวิตสาว ๆ วัยรุ่น ก็เลยมีโอกาสได้ไปแล้วไปเจอกับพี่โบ๊ทโดยบังเอิญที่สถานที่นั่งฟังเพลงที่นึง เราเห็นหน้าเขาแบบไม่รู้ทำไมหน้าเขาเตะตาเรา เราคิดในหัวว่าเด็กคนนี้หน้าตาบ้องแบ๊วจังเลย
ทำไมถึงใช้คำว่าเด็ก ?
แบม : เพราะคิดว่าเขาอายุน้อยกว่า ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่
เห็นแล้วสเปกเลยไหม ?
แบม : ไม่ ๆ เห็นแล้วแบบเหมือนเราเห็นดาราคนนึง ว่าเออ...น้องคนนี้หน้าตาดีนะ แต่ว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก อยู่ดี ๆ ก็แบบแบม ๆ นี่แนะนำให้รู้จักรุ่นพี่โรงเรียนสาธิต หันไปเอ้า...เด็กคนเมื่อกี้ ยกมือไหว้แทบไม่ทัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้แนะนำให้รู้จัก
แล้วต่อเนื่องกันยังไง ?
แบม : เราก็แบบว่า...สวย ไม่รวย แต่หยิ่งนะ เขาก็ขอเบอร์หน่อย แต่เราเป็นคนที่แบบอยู่ดี ๆ ไม่ไปให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร ในความรู้สึกแบบไม่ได้ให้เบอร์ผู้ชายแปลกหน้า เหมือนเราแบบมีใจ ก็ไม่ให้ เปลี่ยนเรื่อง แต่เราก็รู้ว่าเดี๋ยวเขาก็คงเอาได้แหละ
แล้วนานขนาดไหนพี่ถึงเปิดใจแล้วได้คุยกัน ?
แบม : ก็น่าจะประมาณสักเดือน สองเดือน เขาก็โทรมา เริ่มคุยโทรศัพท์ตอนนั้น แต่ว่าไม่ไปกินข้าวกับเขาเลยนะ เรามีความรู้สึกแบบถ้าเราไม่ได้รู้จัก ไม่ได้เป็นเพื่อนของเพื่อนที่เราแบบว่าคุ้นเคยแล้ว ไปนั่งทานข้าวด้วย ยุคนั้นเดี๋ยวจะมีความรู้สึกว่าเรามีใจให้ เสียฟอร์มเรา ไม่ไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องไปตั้งนานแล้วนะ
สุดท้ายแล้วทำไมถึงต้องไป ?
แบม : มันมีเหตุการณ์ที่ต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ที่อเมริกาประมาณ 3 สัปดาห์ เขาก็บอกว่ามาเถอะ มาเจอกัน ทานข้าว ไม่มีอะไรกินข้าว คุยกันได้ เราก็มานั่งคิด เราก็ 30 กว่าแล้ว จะมาอะไรกันมากมาย ก็เลยโอเคไปก็ได้ ก็เลยได้ไปทานข้าวกัน 1 มื้อ ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ
บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง ?
แบม : ก็เคร่งเครียด พี่โบ๊ทเขาสนใจเรื่องเหตุการณ์บ้านมือง เขาเป็นคนคุยที่มีสาระ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยคุยกับผู้ชายที่มาเดทหรือมาจีบในลักษณะประมาณนี้ ก็แปลกใจนิดนึง ก็โอเคเขามีอีกมุมนึงที่เราไม่เคยเจอ ข้ามคืนนั้นก็ไปต่างประเทศ ก็คุยกันผ่านวีดิโอคอล แล้วพอถึงวันที่แบมจะต้องกลับเมืองไทยแล้ว ตอนนั้นอยู่ซาฟราน มันใกล้ถึงเดือนตุลาคมคือวันเกิด เขาก็บอกว่าเดี๋ยวกลับมา มากินข้าวที่กรุงเทพฯ ด้วยกันนะหลังวันเกิด เราโอเค แต่เขาบอกว่าที่นัดไว้ทานข้าวยกเลิกนะ ตอนแรกก็แบบอะไร เขาบอกเดี๋ยวจะบินไปทานที่นั่นด้วย
พอเขาบอกเดี๋ยวบินมา พี่เชื่อไหม ?
แบม : ช็อก คือแบบนี่อีก 3 วันจะกลับนะ จะมาเหรอ มาได้ยังไงเขาก็บอกไป เดี๋ยวไปพรุ่งนี้เลย
รู้สึกยังไงพอเขามาเซอร์ไพรส์ถึงที่ ?
แบม : เป็นอะไรที่ประทับใจนะ แล้วมา 2-3 วัน ก็รู้สึกว่าเขาก็ต้องชอบเราจริงนะ
วันนั้นตัดสินใจเป็นแฟนกันเลยไหม ?
แบม : ค่ะ ก็กลับมาก็คุยกันต่อ จริง ๆ เราก็เริ่มผู้ใหญ่กันแล้ว เป็นคนใกล้ชิดกันไม่ได้ประกาศอะไรว่าเป็นแฟน แต่ก็คือคบกัน
คบนานไหมกว่าจะมีการขอแต่งงาน ?
แบม : น่าจะประมาณสัก 2 ปี
ติดตามชมรายการ "คุยแซ่บShow" ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama