นับว่าเป็นนักแสดงอิสระที่ฝีมือการแสดงทรงคุณภาพจริง ๆ สำหรับ กรีน อัษฎาพร เมื่อได้มาแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เผยถึงวิกฤติหนักที่สุดในชีวิตหลังคุณพ่อเสียตรงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องสถานะการเงินที่บ้าน เรื่องชีวิต เรื่องครอบครัว และจุดหักเหที่สุดคือเรื่องความรัก ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากแต่งงานเพราะอยากทุ่มเทเวลาให้กับคุณแม่อย่างเต็มที่จนกว่าจะจากกันไป
พร้อมเปิดความจริงตั้งแต่รับบท รำนำ ในละครเรื่อง กระเช้าสีดา เกิดเรื่องไม่คาดฝันหลายอย่างมากในชีวิต แต่รู้สึกดีใจในเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จในเรื่องของการแสดง
ฟีดแบ็กหลังรับบท รำนำ ดีมาก ?
กรีน อัษฎาพร : ดีมากค่ะ คือ ทุกช่องทางไม่ว่าจะโซเชียลใด ๆ ก็ตามก็คือคนให้การตอบรับดีมากคือ ด่าเยอะมาก นั่นแปลว่าประสบความสำเร็จค่ะ เพราะไม่คิดว่าจะมาเยอะขนาดนี้เยอะถึงขั้นส่งข้อความมาส่วนตัวมาก็มี อย่างแบบคนก็ดูละครที่เราเล่นแล้วก็เอาเท้าไปทาบตรงหน้าโทรทัศน์แล้วก็ส่งมาให้เรา ตอนนั้นยังบอกพี่ฉอด แล้วก็พี่ ๆ นักแสดงคือถึงขั้นนั้นเลยค่ะ
คือเขาดูแล้วอินแต่อาจจะไม่ใช่แค่เราคนเดียว ด้วยความที่เรื่องราวก็ดีอยู่แล้ว แล้วเรื่องมันก็คือชีวิตจริง ๆ ถามว่าเราต้องสร้างความร้ายหนักแค่ไหนที่ไปได้ถึงขนาดนั้น คือจริง ๆ ต้องขอบคุณทางพี่ฉอดค่ะ ทางพี่โอ๋ ทางทีมทุกคนของ CHANGE ค่ะ แล้วก็คุณครูที่สอนแอคติ้งด้วยค่ะ คือกรีนได้ไปเวิร์กช้อปก่อน เอาจริง ๆ ชีวิต กรีนไม่ใช่คนแบบนั้นเลยเพราะเราจะเป็นคนโก๊ะ ๆ สนุกสนานร่าเริง พอได้บทนี้มาก็รู้สึกว่ามันแตกต่างแล้วชีวิตจริงเราเองคงทำไม่ได้ เราสามารถทำในละครได้เราก็เลยอยากทำในละครให้มันดีที่สุด ก็ได้ผู้ใหญ่ ได้พี่โอ๋ ได้ครูสอนแอคติ้งมาช่วยเกลา ตอนแรกก็หาไม่เจอเหมือนกันว่าควรจะประมาณไหน เราก็เลยเริ่มใส่ลีลาความเป็นรำนำมากขึ้นให้คนไม่เคยเห็นว่าเราเคยเล่นแบบนี้ค่ะ
พี่ฉอด เลือกมาหลายคนไหมเอ่ยก่อนที่จะมาเป็น กรีน ?
พี่ฉอด สายทิพย์ : ก็มุ่งไปที่เขาเพราะตอนนั้นคือทราบว่าน้องสามารถออกมาเล่นข้างนอกได้แล้ว เป็นนักแสดงอิสระ และก็เชื่อในความสามารถเขา คิดว่า กรีน ใช่เลยไม่ได้เห็นความร้ายในตัวเขา แต่พอคนเล่นเก่ง คนที่แสดงเก่ง เขาจะเล่นเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งเราอาจจะเห็นเขาจากเรื่องอื่นๆซึ่งบางเรื่องอาจจะแสนดี บางเรื่องก็นางเอ๊กนางเอกเราก็เลยมั่นใจว่าน้องทำได้ แล้วยิ่งพอเราได้เห็นการแสดงของเขามันก็เลยทำให้เราสามารถเพิ่มบท ใส่เข้าไปให้สุดให้เต็มที่ มันพัฒนาไปพร้อม ๆ กันทั้งบทและตัวนักแสดงด้วย และเป็นอะไรที่ดีเพราะทีมนักแสดงเรื่องนี้เขาส่งเขารับกัน เพราะนั่งดูอยู่แล้วจะรู้สึกว่าสนุกค่ะ
บทอะไรยากสุดสำหรับกรีน ?
กรีน อัษฎาพร : ทุกบาทไม่มีอะไรง่าย สำหรับ กรีน เลยค่ะ ทุกสิ่งคือยากหมดและทุกบทต้องผ่านการกลั่นกลอง ผ่านการเขียนบท ผ่านการทำบทมาเยอะมากเพราะฉะนั้น เราเคารพทุกบท ไม่ว่าจะเป็นละครคอมเมดี้หรืออะไรก็ตามมันมีความยากง่ายของเขาอยู่แล้วค่ะ สุดท้ายคือ กรีน ไม่ได้เป็นคนเก่งแต่จะทำให้ดีที่สุดที่จะทำได้ค่ะ ที่ตัดสินใจรับบท รำนำ จริง ๆ ก็คุยปรึกษากับคุณแม่แล้วก็ผู้จัดการ แล้ว กรีน รู้สึกว่าวันนี้ออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วเราก็อยากเติบโต เราก็อยากก้าวหน้าในอาชีพการงานของเราอยู่แล้ว และเราก็อยากรับบทที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป
แล้วก็รู้สึกว่าบทนี้ก็เป็นบทที่ดีแล้วก็ส่งตัวเราด้วยแน่นอนเราเป็นนักแสดง เราก็อยากได้บทที่ส่งตัวเราเนอะ และที่สำคัญเลยคือนักแสดงที่เราได้เล่นด้วยค่ะ แล้วก็โปรดักชันคือดีมาก กรีน รู้สึกว่าถ้าได้เข้ามาอยู่ในตรงนี้ก็จะช่วยส่งเสริมในงานของเราด้วย และเราก็ได้พัฒนาฝีมือของเราด้วย เป็นโอกาสที่ดีของเรามากเพราะว่าได้ซึมซับทักษะการแสดงมากขึ้นไม่ว่าจะได้เจอพี่นุ่น พี่เตอร์ ก๊อต พี่โอ๋ ได้เจอทีมเขียนบท แล้วได้มาเล่นกับค่าย CHANGE2561 ของ พี่ฉอด คือ กรีน ได้อะไรที่เยอะมากจากละครเรื่องนี้เรื่องเดียว ทำให้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองเล่นอะไรได้บ้าง สร้างความแตกต่างอะไรได้บ้างค่ะ
ฮอตมากจากบทนี้จนอาจจะฟังแล้วดูประหลาดสักหน่อย แต่ว่า ณ วันนี้โลกมันก็เคลื่อนตัวไปในทางประหลาด และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริงกับตัว กรีน คือมีคนส่งข้อความมาขอซื้อบางอย่างจากเรา ?
กรีน อัษฎาพร : ใช่ค่ะ จะเรียกว่าอะไรดี ขนเหรอคะ แล้วก็แบบอยากเลี้ยงดู มีเงิน มีค่าตอบแทนให้ถ้าแลกเปลี่ยนเอาอันนี้มาให้ ชุดชั้นในของเราก็จะมีเงินให้แล้วก็จะให้เราส่งไปตามที่อยู่ที่เขาส่งมาให้ประมาณนั้น ขอซื้อของลับ แต่เราก็ไม่ได้ให้เขาไปนะคะ (หัวเราะ)
ส่วนในชีวิตจริงของกรีนที่เจอมรสุมหนักยิ่งกว่าละคร วิกฤติหนึ่งซึ่งเป็นวิกฤติที่สามารถเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องความรักของ น้องกรีน ได้คือ คุณพ่อเสียเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ?
กรีน อัษฎาพร : ก็อยู่ ๆ คุณพ่อเสียกะทันหันค่ะ เขาไม่ได้มีสัญญาณหรืออะไรบอกเลยค่ะ แล้วตอนนั้นคือ กรีน ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อด้วยค่ะ ตอนนั้นคุณพ่ออยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เกาะสมุยค่ะ ตอนนั้นคุณพ่อไปเสียที่สมุย เพราะตอนนั้นคุณพ่ออยู่ต่างจังหวัดตลอดแล้วคือ เราไม่ได้เจอกับคุณพ่อเลยมารู้อีกทีหนึ่งคือรู้ว่าคุณพ่อเสียแล้วแค่นั้นเลยค่ะ
คือกลับมาถึงบ้านแม่บอกว่าป๊าเสียแล้วนะ แค่นั้นเลยแล้วเราก็ช็อกแล้ว สาเหตุที่ทำให้คุณพ่อเสียคือหัวใจวายเฉียบพลันค่ะ ตอนนั้นที่บอกว่าเป็นวิกฤติที่เปลี่ยนชีวิตของเราเลยคือ ตรงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนหลายอย่างมากค่ะ ทั้งเรื่องสถานะการเงินที่บ้าน เรื่องชีวิตของเรา เรื่องครอบครัว และก็เรื่องความรักด้วย วิกฤติการเงินก็เข้ามาใช่ไหมคะ จัดการศพก็ต้องใช้เงินเหมือนกันเราก็เลยต้องขายรถไป ตอนนั้นป๊าเสียกะทันหันและก็เหมือนมีเวลาแค่ 4 วันในการจัดงานศพค่ะ
กรีนเป็นนางเอกมีชื่อเสียง เราถึงขนาดวิกฤติ ณ ตอนนั้นมันถึงขนาดที่เราไม่มีเงินจัดงานศพเลยเหรอ ?
กรีน อัษฎาพร : คือมันก็มีระดับหนึ่งค่ะ แต่เราก็ต้องเผื่อไว้สำหรับที่เราต้องรับผิดชอบต่อเพราะว่าเราก็มีความรับผิดชอบของเราอยู่แล้ว ซึ่งตอนแรกคุณพ่อจะเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ก่อนที่คุณพ่อจะเสีย 2-3 ปีก็จะเป็นตัวกรีนที่รับผิดชอบทั้งหมดค่ะ แล้วคือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคุณพ่อมีวิกฤติหนักขนาดนี้เพราะความจริงยังไม่เปิดเผย แต่พอคุณพ่อเสียปุ๊บ !! วันนั้นเลยมันเกิดมีอะไรเข้ามาหลายอย่างมาก ๆ เราถึงทราบถึงเรื่องสถานะทางการเงิน ก็ต้องมานั่งประชุมทั้งครอบครัวว่าเราจะอย่างไรกันดีกับหนี้ตรงนี้ประมาณ 30 ล้าน
คือกรีนพอทราบบ้างว่าคุณพ่อมีหนี้ประมาณหนึ่งแต่ไม่รู้ว่ามันจะจำนวนเยอะขนาดนี้ แต่พอวันที่คุณพ่อเสียก็มีเหมือนเจ้าหนี้มาที่งานศพด้วยก็เอาเอกสารมาให้เราดูว่าคุณพ่อมายืมไปนะ ไปค้ำอะไรของเขาก็มา ตอนนั้นคือแขกมาเยอะ เยอะจนงงไปหมดแล้วเพื่อนคุณพ่อก็มาเยอะ พอหลังจากจบงานศพไปแล้วก็มานั่งประชุมกันในครอบครัวทำให้เราได้เห็นว่าหนี้ที่มีมันเยอะมาก ซึ่งเป็นหนี้จากการทำธุรกิจของคุณพ่อทั้งหมดเลยค่ะ แล้วในฐานะลูกสาวรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นเราก็งงอยู่ว่าเราต้องทำอะไรยังไงบ้าง แต่คุณป้าบอกเราว่าตัวเลขมันแค่ดูเยอะเฉย ๆ แต่มันมีวิธีการผ่อนโน้นนี่สามารถทำได้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราก็ต้องแบกรับภาระหนี้อีกกี่ปีไม่รู้กว่ามันจะหมด อันนี้คือปัญหาที่เรากังวล
นอกจากมีหนี้ที่เกิดขึ้นแล้วยังมีครอบครัวอื่น ๆ เกิดขึ้นอีก เราเพิ่งรู้ในงานวันนั้น ?
กรีน อัษฎาพร : ใช่ค่ะ แต่จริง ๆ คุณแม่รู้มาก่อนส่วนหนึ่งแล้วด้วยค่ะ แต่จริง ๆ กรีน ก็รู้มาก่อนที่คุณพ่อจะเสียแค่ปีเดียวเอง แต่เราก็ไม่ได้บอกคุณแม่ค่ะ เรื่องครอบครัวที่เพิ่มเข้ามา กรีน แฮปปี้มาก ๆ ที่กรีนมีน้องเพิ่มขึ้นมา แต่เราก็ยังไม่ได้ไปดูแลเขาอะไรมากขนาดนั้นนะคะ แต่ว่าเราก็มีความฝันเนอะ ว่าก็อยากให้น้อง ๆ มีชีวิตที่ดีเพราะตอนนี้แต่ละคนเขาก็มีงานของตัวเอง ซึ่งพวกเขาโตแล้ว ห่างจากเราไม่กี่ปีเองค่ะ
ในฐานะของคนเป็นลูก น้องกรีน บอกว่าแฮปปี้ดีใจที่มีน้องเพิ่ม แล้วในฐานะคุณแม่ล่ะ ตอนนั้นคุณแม่รู้สึกยังไงบ้าง ?
กรีน อัษฎาพร : ตอนนั้น คุณแม่ก็เสียใจค่ะ เพราะว่าในฐานะลูกกับในฐานะที่เป็นคุณแม่ เราไม่ทราบจริง ๆ ความรู้สึกคุณแม่ขนาดไหนเสียใจท่านคงเสียใจ แต่ถึงขั้นไหน โกรธหรืออะไรอย่างนี้ ไม่รู้จริงๆ แต่ขอพูดในฐานะกรีนนะคะ คือเราแฮปปี้ที่มีน้องเพิ่มอีก 2-3 คน ถามว่าก่อนที่จะมาแฮปปี้ กรีนมีโกรธอะไรไหม ไม่โกรธเลยค่ะ พอรู้ความจริงก็แค่ตั้งคำถามว่า ทำไมคุณพ่อถึงไม่บอก ทำไมถึงเก็บไว้ได้ขนาดนี้ แค่นั้นเอง สิ่งที่เรารู้สึกเสียใจก็คือ เรารู้สึกสงสารน้อง ๆ ที่เป็นครอบครัวต่างแม่ค่ะ ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาก็คงเหมือนเราที่อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนกัน
เคยคุยกับคุณแม่มุมนี้ไหมเพราะว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่เราไม่ได้พยายามหาบทสรุปที่เป็นตัวอย่างของโลกนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงในมุมหนึ่ง ซึ่งมันเป็นมุมที่น่าสนใจ คือ ความเข้าใจมันอาจจะตามมาในสักวันอย่างแม่เราเสียใจ แต่ลูกไม่ มันจะมีมุมที่จะรู้สึกว่าทำไมลูกไม่เข้าข้างฉันไหม
กรีน อัษฎาพร : จริง ๆ แล้วถามว่าเราก็มีโมเมนต์ที่เสียใจเหมือนกันค่ะ แต่เหมือนเราแบบเทิร์นตัวเองได้เร็ว แต่คุณแม่ที่ผ่านเรื่องราวมาซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาบ้างซึ่งก็คุณพ่อเนอะ ซึ่งเขาก็คงจะมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันอยู่แล้วมันเป็นสิ่งที่เขามีวิทธิ์ที่จะเสียใจ รู้สึกได้ซึ่งเราก็ยอมรับให้เขาได้อยู่กับความรู้สึกนั้นแต่พอมันผ่านช่วงเวลาไปเอาจริง ๆ แล้ว เวลาที่คุณแม่เสียใจเขาเป็นคนใจกว้างนะคะ เขาก็ยินดีและยังยอมรับอีกครอบครัวด้วย ช่วยเหลือเรื่องเงินที่ขาดเขาก็ให้ ซึ่งเราก็มีโอกาสได้เจอน้อง ๆ ด้วย
คือกรีนอยากเรียนรู้ อยากเจอเขาว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เพราะชีวิตที่ผ่านมา 30 ปี กรีนไม่เคยเจอเขาเลยค่ะ กรีนเลยอยากเจออยากนั่งคุยกับเขาว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง พอได้เจอแล้วแบบเขาเก่งค่ะ กรีนรู้สึกว่าเขาเก่าแล้วเขาฝ่าฟันชีวิตของเขามาเป็นคนดีแบบนี้ได้ยังไงและกรีน รู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่เนี่ย แล้วเรารู้ว่าเขาคือน้องแท้ๆของเรา เราก็อยากให้เขามีชีวิตที่ดีค่ะ เราพร้อมที่จะซัพพอร์ตในทุก ๆ อย่างที่เขาอยากจะทำ
ถ้าพูดถึงในฐานะลูกคนหนึ่งเป็นพี่พี่ก็ตกใจนะ ตกใจที่เรามีน้องซึ่งอายุห่างจากเราไม่เท่าไหร่ถ้าพูดกันตามตรง นั่นหมายถึงคุณพ่อมีครอบครัวที่ซ้อนกันกับคุณแม่มาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่เราหันไปแล้วเราเจอคุณแม่ ตอนนั้นเราให้กำลังใจคุณแม่อย่างไรบ้าง ?
กรีน อัษฎาพร : กรีน อาจจะไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของแม่ที่แท้จริงได้ค่ะ แต่สิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ ณ ตอนนี้คือ อยากตั้งใจทำงานเยอะ ๆ ดี ๆ แล้วอยากให้แม่มีชีวิตที่ดีที่สบาย ไม่ต้องให้เขาต้องกังวลอะไรค่ะ คือบ้านเราไม่ได้เป็นบ้านที่มานั่งพูดหวาน ๆ กันแต่เราจะให้ด้วยการกระทำมากกว่าค่ะ เราก็เลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า นี่คือจุดเปลี่ยนที่ว่าเราไม่ได้โฟกัสเรื่องความรักของคู่รักแล้ว แต่ว่ามาโฟกัสความรักของแม่มากกว่าเพราะว่าแม่คือเป้าหมายใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราเพราะว่าหลังจากที่คุณพ่อเสียไป (ร้องไห้) ทำให้เราเห็นว่าเราเหลือแม่คนเดียว
แล้วเราก็อยากทำให้เขามีความสุขที่สุดถึงแม้ว่าเขาไม่ต้องการ แต่เราก็อยากทำให้เขามากที่สุดและถึงที่สุด ถึงขั้นที่ว่าเราไม่คิดว่าเราอยากจะแต่งงานด้วยซ้ำเพราะว่าเราอยากจะอยู่กับเขาไปจนกว่าเขาจะไปจากเรา คือ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้เขาทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วเพราะเขาเหนื่อยมาเยอะมากแล้ว และแม่เขาก็แบกความรู้สึกของพ่อเรามาเยอะมาก ๆ ค่ะ
ชีวิตตอนนี้ไม่คิดจะแต่งงานแต่ก็มีความรักที่ดีมีคนที่ดีอยู่ข้างกาย อย่าง ธันวา เจอกันอย่างไรเอ่ย ?
กรีน อัษฎาพร : หลังจากที่โสดมาประมาณปีกว่าก็มาเล่นละคร ก็มาเจอกันเพราะว่าถ่ายละครด้วยกัน แต่ที่เราเจอกันตอนแรกก็ไม่ได้ชอบพอกันตั้งแต่ตอนแรกนะคะ แต่เป็นเพราะว่าละครถ่ายกันมาเป็นปีมันก็มีความใกล้ชิดกัน
เห็นว่าตอนแรกไม่ชอบหน้ากันด้วย ?
กรีน อัษฎาพร : คือ กรีน เวลาสมมติจะเล่นกับใครคือ เรารู้สึกว่าเราต้องมีการปฏิสัมพันธ์กันต้องคุยกัน แต่เหมือนแบบทางฝั่งธันวาเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีบุคลิกที่ถ้าไม่สนิทเขาจะไม่คุย เพราะว่าเขามีกำแพงของเขาที่เขาสร้างไว้แล้ว นานอยู่เหมือนกันกว่าที่จะคุยกันได้แบบไฟล์ว ๆ ประมาณ 6 เดือน กว่าจะเริ่มต้นคุยกันได้ซึ่งเพราะเราเวลาที่อยู่ในกองคือเราก็เป็นตัวของเราเอง เขาก็ได้เห็นตัวตนของเราจนเขาก็เข้ามาคุยกับเรา
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เขาบอกว่าประทับใจคือเรื่องที่เวลาที่เราอยู่กอง กรีนก็จะดูแลตัวเองในกองค่ะ แล้วคุณแม่ก็สอนว่าให้เราใช้ของให้เป็นประโยชน์ที่สุดให้คุ้มที่สุดและก็มัธยัสถ์ และยาสีฟัน กรีนแบบบีบจนมันหมดค่ะ เขาก็ได้เห็นเราในโมเมนต์นั้น เขาก็บอกเราว่า กรีนไม่ได้เป็นแบบในข่าวเป็นอย่างที่คนอื่นมอง หรือ เขามองเขาก็เลยน่าจะเริ่มเปิดใจจากตรงนั้น ซึ่งก่อนที่เขาจะเปิดใจเขาก็บอกกรีนนะคะ เขาบอกว่ากรีนน่าจะเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้น่าคบหาด้วย เหมือนฟีลแบบตามข่าว ไม่ได้ดีหรือเปล่าประมาณนั้นค่ะ แต่พอได้มาทำงานด้วยกันมันคือมันไม่ใช่
แต่ถามว่าเรารู้สึกว่าเขาโอเคไหม ตัวกรีนเองก็ไม่ได้โอเคตั้งแต่เริ่มต้นเหมือนเราก็ค่อย ๆ แล้วเราก็ค่อย ๆ ปรับกัน คือ มันไม่รู้เป็นกฎแรงดึงดูอะไรหรือเปล่า คือ กรีน เป็นคนใจร้อนแล้วก็จะได้เจอกับคนที่เหมือนเรามาตลอดเลย คล้ายกับเราตลอด ซึ่งธันวาก็เป็นคนอารมณ์ร้อนบ้างเหมือนกันแต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มันดีที่สุดก็คือ เขาเลือกปรับหลาย ๆ เพื่อเราได้ และเราเลือกที่จะปรับหลาย ๆ อย่างเพื่อเราได้เช่นเดียวกัน
แล้วครอบครัวเรามองความรักครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?
กรีน อัษฎาพร : ก็เหมือนเดิมค่ะ ก็สกรีนนิดหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะว่าเราก็โตขึ้นมาด้วยแล้วด้วยค่ะ
คุณพ่อของกรีนถึงกับเอ่ยปากฝากฝัง กรีน กับ ธันวา มันเหมือนเป็นประโยคที่ปั้มผ่าน ?
กรีน อัษฎาพร : ใช่ค่ะ ฝากด้วยนะ เหมือนเขาได้ผ่านระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งเราสองคนเวลามีปัญหาอะไรกันเราจะใช้อารมณ์กันเยอะและก็มานั่งตกลงกันว่าเราควรใช้เหตุและผลคุยกันมากกว่าเพราะว่าเราก็โต ๆ กันแล้ว แล้วเราก็จะปรับในเรื่องของอารมณ์ว่าถ้าใครที่มีอารมณ์ขึ้นมาปุ๊บอีกคนคือต้องเบรกแล้วลดลงทันที เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดถึงขั้นที่ต้องทะเลาะกันแล้วพูดคำคำนั้นขึ้นมาอีกเพราะว่าจะกลายเป็นว่าคำคำนั้นก็เป็นคำที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แล้วตอนนี้คือ กรีน ห่วงอะไรคุณแม่บ้าง ?
กรีน อัษฎาพร : เรื่องสุขภาพค่ะ แล้วแม่เขาจะเป็นคนแบบไม่ค่อยใช้เงินค่ะ ประหยัดมากคือเขาปวดตัวเขาก็ไม่ยอมไปหาหมอ กรีนก็จะบอกเขาว่าเดี๋ยวกรีนพาไปก็จะมีความดื้อในแบบของแม่ เพราะ กรีน อยากให้เขาอยู่กับเรานานๆอยากให้เขาอยู่กับเราจนน้องสาวเราแต่งงานมีหลานมีอะไร และที่สำคัญคืออยากพาเขาไปเที่ยวเยอะๆเพราะเขาไม่เคยไปเที่ยวเยอะ ๆ เลยเพราะว่าเขาจะกังวลเรื่องเงินมากคือ กรีน อยากให้แม่เลิกกังวลเรื่องเงินไปเลยเพราะว่าเรื่องเงินเป็นความรับผิดชอบของเรา แม่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย ขอแค่แม่บอกว่าอยากทำอะไร ไปที่ไหน กินอะไร คืออยากให้เขาบอกเพราะเราพร้อมที่จะทำให้เขาทุกอย่าง แต่ขอให้เราได้ทำให้แม่เถอะ
อาจจะมีตอนนี้ที่หลายๆคนเจอปัญหาหนักหน่วง น้องกรีน เองคือหนึ่งในคนที่แก้ปัญหา และในฐานะนักสู้คนหนึ่งอยากให้กำลังใจหลาย ๆ คนอย่างไรบ้าง ?
กรีน อัษฎาพร : กรีนอยากจะบอกทุกคนว่า กรีน อาจจะอยู่ในที่สาธารณชนแต่จริง ๆ แล้ว กรีนก็เป็นแค่คนธรรมดาหนี่งคนเดินดินธรรมดาที่มีปัญหาเหมือนกัน แต่แม่จะคอยบอก กรีน ตลอดว่าให้มองคนที่เขาแย่กว่าเราเพราะมีคนที่ลำบากเยอะมาก ๆ จริง ๆ เราถือว่าโชคดีอย่าไปมองว่าเราเจอแต่เรื่องมองว่าเราเหนื่อย เราเจอแต่อุปสรรค ถ้าเรามองคนที่เดือดร้อนกว่าเรา เราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นค่ะ ซึ่งพอเรามองแบบนั้นก็ทำให้เรายิ้มได้สู้ได้ เพราะ กรีน เชื่อว่าทุก ๆ เหตุการณ์ทุก ๆ ปัญหามันมีทางออก แต่อยู่ที่ว่าเราเลือกมองทางไหน ถ้าเราเลือกมองในด้านมืดหรือลบๆมันไม่มีทางออกอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเรามองทางออกที่เป็นสิ่งที่ดี ๆ แล้วเราก็จะเจอเอง ซึ่ง กรีน ก็เจอมาตลอดถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มาแบบสบาย ๆ แต่สุดท้ายมันก็ได้จริง ๆ