ดูเหมือนว่าเส้นทางการเดบิวต์เป็นนักร้องเกาหลีของ ลูกหนัง ศีตลา กับวง H1-KEY จะมีแต่อุปสรรคขวากหนาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ โลกออนไลน์และโซเชียลได้ออกแคมเปญ #แบนลูกหนัง ด้วยการขุดออดีตของลูกหนังที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับม็อปบ กปปส. 2557 อันนำไปสู่การรัฐประหาร และตั้ว ศรัณยู พ่อของลูกหนัง ก็เคยเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนสื่อใหญ่ในเกาหลีตีข่าวเรื่องนี้ครึกโครม แต่สุดท้ายทางค่ายก็ยืนยันว่า จะดันลูกหนังเดบิวต์ต่อไป
อ่านเพิ่มเติม ค่ายโนสนโนแคร์ ! โพสต์ภาพ ลูกหนัง ศีตลา เตรียมเดบิวต์ งานนี้เมนต์เดือด
ล่าสุด เหมือนจะมีอุปสรรคอีกระลอก เมื่อ Ja Mezz (จาเมซ) แร็ปเปอร์ชื่อดัง และประธานค่าย Grandline ได้ออกมาเผยข้อมูลอีกด้าน หลังจากที่แฟนเก่าของ Ja Mezz บอกว่าเขามีพฤติกรรมที่รุนแรงกับผู้หญิงขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และขุดประวัติเรื่องการใช้ยาเสพติดของ Ja Mezz อีกด้วย
ทั้งนี้ Ja Mezz ได้ออกมาอธิบายว่า ในโลกออนไลน์ของเกาหลีได้มีการตั้งห้องแชตที่ใช้ชื่อว่า “un-silence ja mezz” และแฟนเก่าของ จาเมซที่ใช้ชื่อว่า นางสาวเอ (นามสมมุติ) ได้ออกมาแฉแหลกถึงพฤติกรรมหลายอย่างของเขา ซึ่ง Ja mezz ได้แยกออกมาเป็นข้อ ๆ ดังนี้
จาเมซเผยว่า เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564 เมื่อทั้งจาเมซและเอ ทะเลาะกันในรถ จาเมซพยายามที่จะเดินออกมา จึงเปิดประตูเพื่อลงจากรถ แต่เอได้ขยุมคอเสื้อของจาเมซเอาไว้เพื่อให้อยู่เคลียร์กันก่อน ด้วยความที่ทั้งคู่โมโหและอารมณ์ร้อน จึงทำให้ทั้งคู่ตบตีกัน เอใช้ความรุนแรงกับจาเมซตลอดเมื่อเวลาที่โมโห อารมณ์เสีย แต่ครั้งนี้จาเมซก็ผลักและใช้ความรุนแรงคืนบ้าง ทำให้เอไปแจ้งความกับตำรวจว่าถูกจาเมซทำร้าย
ตำรวจบอกว่า ทางเอจะไม่เอาเรื่องจาเมซถ้าจาเมซยอมขอโทษ แต่จาเมซรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วเพราะเขาต่างหากที่ถูกตบตี เขาเลยไม่ยอมขอโทษ และนั่นทำให้จาเมซต้องเขียนคำสารภาพทั้งหมดลงไป จาเมซเลยถามตำรวจว่า “คนที่มาแจ้งความก่อน จำเป็นต้องเป็นเหยื่อหรือเปล่า” แต่ตำรวจบอกว่า “คุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขียนรายงานบันทึกประจำวันว่าต่างฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” แต่จาเมซไม่อยากทำแบบนั้นกับคนที่เขารัก เพราะเขามองว่า เขาแค่พยายามจะหลุดออกจากเหตุการณ์ความรุนแรงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทางเอมองว่าตัวเธอคือเหยื่อของความรุนแรง เพราะเธอตั้งใจที่จะลงบันทึกประจำวันเอาไว้ เอมองว่าเรื่องนี้จะเป็นธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้รับคำขอโทษ และการที่ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ แตไม่แจ้งความดำเนินคดี ก็คือเป็นทางออกที่สวยที่สุดแล้ว แต่ทางจาเมซไม่ได้ลงบันทึกประจำวันแจ้งความกลับเพราะไม่อยากเอากฎหมายมาแก้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์
จาเมซเล่าว่า เขาได้ทะเลาะกันกับเอบนชั้นดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่งในย่านเออร์วาน-ดง เอบอกจาเมซว่า “เพราะเธอคนเดียว ทำให้ฉันเกลียดที่จะมีชีวิตอยู่” “เธอคือคนที่ฆ่าฉัน” ซึ่งก่อนหน้านี้ เอเคยพยายามฆ่าตัวตายและข่มขู่จาเมซว่าสิ่งที่เขาทำ ทำให้เธอต้องจ่ายด้วยราคาชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ จาเมซพยายามเข้าใจเอ แต่ยิ่งได้รับคำขู่มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้จาเมซใจเสียมากเท่านั้น (และนี่ทำให้ถึงจุดที่จาเมซบอกเอว่า ก็ไปตายเลยซะสิ)
เอเคยขู่จาเมซหลายครั้งว่าจะกระโดดตึกตาย และจาเมซคิดว่าคงไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นั่นทำให้จาเมซต้องโทร. หาตำรวจ โดยเอามือถือของเอมาโทร ซึ่งพอตำรวจมา ก็พยายามไกล่เกลี่ยจนสถานการณ์เบาบางลง ซึ่งก่อนที่ตำรวจจะมา ตำรวจก็จะส่งข้อความมาบอกว่าได้รับรายงานและกำลังเดินทางไป
จาเมซยอมรับว่า ในอดีตเขาเคยเสพกัญขาและเสพ LSD และถ้าจะมีบทลงโทษใด ๆ เขาก็ขอยอมรับไว้ ส่วนที่เอรู้เรื่องนี้ เพราะจาเมซเคยบอกเอผ่านแชต kakaotalk เอไม่เคยเห็นจาเมซเสพยาเสพติดด้วยตาของตัวเอง
หลังจากนั้น จาเมซได้หันไปรับงานเป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเป็นซีอีโอของค่ายแกรนด์ไลน์ (ค่ายต้นสังกัดของลูกหนัง ศีตลา) จาเมซหันมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ พยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก และยินดีที่ตัวเองได้หลุดพ้นและตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองแล้ว
สุดท้าย จาเมซได้กล่าวว่า ตัวเขาก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องชีวิตส่วนตัวขนาดนี้ แต่การได้เขียนเรื่องนี้ออกมา ก็ทำให้เขาโล่งใจไม่น้อย เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาทำผิดและต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสุดท้าย เขาอยากขอโทษเอและครอบครัวของเธอด้วยที่เขาทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด
สุดท้าย จาเมซบอกว่า “ผมได้ลาออกจากการเป็นซีอีโอของแกรนด์ไลน์ และตอนนี้ก็ตัดสินใจแล้วว่า จะยุบค่ายแกรนด์ไลน์ ผมจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สืบสวน และไม่หนีความรับผิดชอบ ตอนนี้ก็ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ผมขอโทษที่ไม่สามารถนำข่าวดี ๆ มาฝากทุกคนได้”
ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อความที่ประกาศว่า ค่าย Grandline จะยุบค่ายนับตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อข่าวฉาวของจาเมซ ซีอีโอของค่ายและนี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างนักดนตรีและทีมงาน