
ภาพจาก Instagram jakezyrusmusic
กลายเป็นกระแสฮือฮาในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อ เจค ไซรัส (Jake Zyrus) นักร้องดังวัย 29 ปี ซึ่งเป็นชายข้ามเพศ ได้ออกมาโพสต์ภาพเปิดอกเปลือยท่อนบน เผยให้เห็นร่างกายของเขาภายหลังผ่านการผ่าตัดเป็นครั้งแรก นับจากที่เปิดตัวในฐานะชายข้ามเพศเมื่อปี 2560 พร้อมเปิดใจถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจโพสต์ภาพดังกล่าว
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 เจค ที่ขณะนั้นยังใช้ชื่อ ชารีซ เพ็มเพ็งโค (Charice Pempengco) กลายมาเป็นที่รู้จักและสร้างความประทับใจคนทั้งประเทศ หลังปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ของฟิลิปปินส์ เธอเป็นสาวน้อยเสียงมหัศจรรย์ที่โด่งดังจนเคยได้ไปร้องเพลงออกรายการดังอย่าง The Ellen DeGeneres Show รวมถึงรายการดังในอีกหลายประเทศ ก่อนจะปล่อยผลงานอัลบั้ม Charice ในปี 2551
อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 ชารีซทำให้ชาวฟิลิปปินส์ตกตะลึงทั้งประเทศ หลังออกมายอมรับว่าเรื่องที่เธอชื่นชอบเพศเดียวกัน ก่อนที่จะพลิกชีวิตใหม่เป็นชายข้ามเพศเต็มตัวในปี 2560 ผ่านกระบวนการผ่าตัดหน้าอกและรับฮอร์โมน รวมถึงเปลี่ยนชื่อเป็น เจค ไซรัส โดยเขายังเคยออกมายอมรับว่าถึงความเจ็บปวดที่ต้องซ่อนตัวตนทางเพศที่แท้จริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาด้วย
แม้การเปลี่ยนแปลงของเจคจะสร้างความช็อกให้แฟน ๆ และคนในสังคม แต่ก็ยังมีแฟน ๆ ที่ให้การสนับสนุนชีวิตในบทบาทใหม่ของเขา ขณะที่เจคก็ยังทำผลงานเพลงต่อไปและยังคงปล่อยผลงานใหม่ออกมาให้ได้ชมกัน

ภาพจาก Instagram jakezyrusmusic

ภาพจาก Instagram jakezyrusmusic
อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจละทิ้งความกังวลเหล่านั้น และเผยถึงความสุขจากการที่สามารถโชว์ร่างกายของตัวเองต่อผู้คนได้
"คุณอาจจะหัวเราะเยาะฉันหรือไม่ก็ได้ แต่พวกคุณไม่รู้หรอกว่าฉันต้องก้าวผ่านความเจ็บปวด หยาดน้ำตาและเลือด กว่าจะมีความมั่นใจในการโพสต์รูปนี้ ฉันมีความสุข และก็แค่อยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า นี่คือตัวของฉัน ในที่สุดฉันก็สบายใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นได้"

ภาพจาก Instagram jakezyrusmusic
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้เจคโพสต์ภาพนี้ ก็คือการสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนในชุมชนคนข้ามเพศได้ภูมิใจในตัวของพวกเขา
"นี่สำหรับเพื่อน ๆ คนข้ามเพศของฉัน ถ้าพวกคุณกำลังมองหาสัญญาณหรือความมั่นใจในการเปิดตัวตนและภูมิใจในสิ่งที่คุณเป็น ก็ก้าวออกมาเถอะ ฉันจะอยู่กับพวกคุณ เพื่อพวกคุณ ถ้าคุณยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ทุกอย่างย่อมต้องมีช่วงเวลาที่เหมาะสม"
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก inquirer.net
